30 กันยายน 2554

17. ฮิคาริ โนโซมิ ...​​ ฮิฮิ เกือบซวย

     ความจริงแล้วเมืองทากายาม่ายังมีที่เที่ยวอีกเยอะ เสียแต่ว่าหิมะตกไม่ลืมหูลืมตาทำให้เราเดินทางลำบาก อีกที่หนึ่งที่ควรต้องไปเยี่ยมชมนั่นก็คือ หมู่บ้านพื้นเมืองฮิดะ (Hida Folk Village) สามารถเดินไปได้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง หรือจะนั่งรถเมล์ไปก็ได้ประมาณ 
10 นาที ที่นั่นมีบ้านเก่าแบบโบราณแท้ๆ (Gassho-zukuri) เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
ให้ผู้คนได้ชม ซึ่งอยู่ห่างจากทากายาม่าไปไม่ไกลนักสามารถนั่งรถเมล์ไปใช้เวลาประมาณ 
50 นาทีก็ถึง ถ้าจะออกไปนอกเมืองเพื่อชมหมู่บ้านโบราณที่อยู่ในหุบเขาโชกาว่า (Shogawa) ก็จะเพิ่มอรรถรสมากขึ้นไปอีก เพราะเขตชิรากาว่าโก (Shiragawa-go) และเขตโกกายาม่า (Gokayama) นั้นเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโบราณขนานแท้ คุณจะพบกับบ้านเก่ามากมายที่สร้างด้วยวิถีโบราณ ส่วนใหญ่บ้านเหล่านี้เลี้ยงไหมเป็นอาชีพ เพราะฉะนั้นโครงสร้างของบ้าน อากาศแสงแดด ความร้อนจึงต้องเอื้ออำนวนต่ออาชีพเขาด้วย หลังคาของบ้านแบบโบราณนี้
มีลักษณะเหมือนมือที่พนม อันนี้นอกจากเรื่องความสวยงามคงทนแล้วยังมีส่วนเรื่องการทนทานต่อดินฟ้าอากาศ ต้องแข็งแรงพอที่จะทนหิมะที่ตกหนัก รวมทั้งความชื้นของฝน บ้านบางหลังยังเปิดให้พักค้างคืนได้อีกด้วย อันนี้น่าลองมากๆ เพราะจะได้ซึมซับความเป็นอยู่แบบโบราณโดยแท้
     เนื่องจากอากาศไม่เป็นใจเราเลยต้องถอดใจจากที่เที่ยวอีกหลายแห่ง เดินคอตกกลับไปยังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางเข้าโตเกียว เราแวะรับกระเป๋าที่ร้านเดลี่แล้วเลยตัดสินใจซื้ออาหารกล่องเผื่อไว้ทานในรถไฟเพราะกว่าจะไปถึงโตเกียวก็ดึกดื่นแล้ว
     ใช้เวลาประมาณ 2 ½ ชั่วโมงในการเดินทางกลับมาต่อรถไฟที่นาโกย่า ด้วยความเร่งรีบ
เราก้าวขึ้นชานชาลาเบอร์ที่รถไฟจะเทียบท่าในอีกไม่กี่นาทีถัดไป รถวิ่งฉิวมาจอดพอดีฉันก็รีบก้าวเท้าเข้ารถ ลากกระเป๋าอันหนักไปหาที่วาง ประตูปิดในอึดใจ ฉันเดินไปหาที่นั่งตามเบอร์ตั๋วที่ระบุไว้ตอนจอง ปรากฏว่าตรงนั้นมีชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่ก่อน ฉันก็เลยยื่นตั๋วให้เขาดูว่านี่มันที่ของฉันนะจ๊ะ เขาก็ทำหน้างงๆ พร้อมกับควักตั๋วของตัวเองมาดู ซึ่งปรากฏว่าเป็นเบอร์เดียวกัน 
เอาล่ะสิ ใครผิดใครถูก ใครออกตั๋วผิดรึเปล่า หัวใจฉันเต้นแรง ซักครู่พนักงานเดินตั๋ว
เดินมาทันใจ เขาหยิบตั๋วฉันไปดูพร้อมกับพูดว่า
     “ตั๋วของคุณต้องขึ้นรถไฟฮิคาริ (Hikari) แต่คันนี้คือรถไฟโนโซมิ (Nozomi)”
     “ฮ้า !!!!! เป็นไปได้ยังไง นี่ฉันขึ้นรถไฟผิดคันหรือนี่” ฉันหน้าซีดเผือดทันที พูดอะไร
ไม่ออกได้แต่ทำหน้าเหว๋อ 
     “เออ พี่ก็เห็นเหมือนกันว่าฮิคาริมันต้องจอดอีกด้านหนึ่งของชานชาลา” พี่ตุ๊กเพ่ิงเฉลย ทำไมไม่ยั้งกันไว้ตอนที่วิ่งขึ้นรถไฟ ไหงกลับตามกันขึ้นมาเฉยเลย
     “แล้ว แล้ว ทำไงดีคะ ฉันสามารถลงที่ป้ายหน้าได้มั้ยคะ” ฉันทำเสียงเล็กเสียงน้อยถามพนักงาน
     เขามองหน้าฉันอย่างอ่อนใจแล้วตอบ “ได้ครับ เดี๋ยวคุณลงป้ายหน้าแล้วกัน ชื่อป้าย
ชินโยโกฮาม่า แล้วไปต่อรถไฟฮิคาริซึ่งจะจอดที่นั่นเหมือนกัน”
     ตอนแรกฉันใจหายวาบเพราะกลัวว่าถ้าเกิดเจ้ารถไฟโนโซมินี้ไม่เดินทางเข้าโตเกียวแต่ไปเมืองอื่นเราจะยิ่งเสียเวลาไปกันใหญ่ แต่ก็คงพอมีบุญอยู่บ้างที่อะไรๆ ไม่เลวร้ายเกินไปนัก 
ที่รู้สึกว่าโชคดีอีกอย่างก็คือปกติแล้วรถไฟโนโซมิเป็นรถไฟชนิดเดียวที่ไม่สามารถใช้ตั๋วเจอาร์จองได้ ถ้าจะขึ้นต้องเสียเงินสถานเดียว นี่ยังดีนะที่พนักงานยังใจดีกับฉันอยู่บ้าง คงสงสารเห็นหน้าซีดเผือดเหลือสองนิ้ว โชคดีอีกที่รถไฟทั้งขบวนนั้นว่างสนิท (คนเดินทางออกนอกเมือง
ไปเยี่ยมญาติกันหมดแล้ว) มีที่เหลือให้นักท่องเที่ยวเซ่อซ่าอย่างเราเลือกนั่งตามสะดวก
     ไอ้เจ้าป้ายชินโยโกฮาม่าที่ว่าป้ายต่อไปน่ะ มันไกลโขอยู่ เรียกว่าเป็นป้ายก่อนเข้าโตเกียว เราเลยนั่งโนโซมิกันยาวเลย ไม่มีกะจิตกะใจจะหลับหรือจะกินอะไรทั้งสิ้นกลัวหอบกระเป๋าลงไม่ทัน คราวนี้โดนจ่ายเงินแน่ถ้ายังขืนนั่งต่อไปถึงโตเกียว  
     ในที่สุดเราก็เเปลี่ยนเป็นรถไฟฮิคาริแล้วก็เดินทางต่อไปถึงสถานีโตเกียว ตัดสินใจว่าจะนั่งแท้กซี่เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่ถ้ามาจากสนามบินนาริตะก็สามารถนั่งรถไฟสายเคไซ (Keisei) ไปลงที่สถานีอูเอโนะ แล้วต่อรถแท้กซี่ ถ้ามารถใต้ดินสายชิโยดะ (Chiyoda) ก็ไปลงที่สถานียูชิม่า (Yushima) แล้วเดินต่ออีกหน่อย
     แท้กซี่ที่โตเกียวนี่ทันสมัยสุดๆ แค่บอกชื่อโรงแรมและย่านอูเอโนะเท่านั้น เขาก็เปิดจอตรงด้านหน้า สามารถว่ิงตามเส้นทางที่แสดงไว้บนจอไปจนถึงหน้าโรงแรมได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าหันมาถามผู้โดยสารว่าไปทางไหนเหมือนแท้กซี่ที่เมืองไทยล่ะก็คงต้องหากันทั้งคืน หมดค่าแท้กซี่ไป 1,640 เยน
     เราไปถึงโรงแรมอิโดย่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว เราเคยมาอยู่ที่นี่แล้วเมื่อหลายปีก่อนเลยรู้สึก
คุ้้นเคย พนักงานก็หน้าเดิม ห้องพักอยู่ชั้นหนึ่งเลยไม่ต้องหอบห้ิวกระเป๋าให้เหนื่อยยาก เราจองห้องพักแบบญี่ปุ่น (Ryokan) อีกเช่นเคย ที่นี่มีห้องสองแบบทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก 
แต่ที่ดีก็คือมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำส่วนตัวสะดวกมาก แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย ถ้านอนครบ 5 คืนจะได้แถมอาหารเย็นหนึ่งมื้อ ใครสนใจอยากพักลองดูรายละเอียดและจองห้องได้ที่เว็บไซต์ www.hoteledoya.com


     เราเอากระเป๋าไปเก็บในห้องและเริ่มแกะอาหารมื้อเย็นที่ซื้อจากทากายาม่าออกมาเตรียมตัวทาน โชคดีที่อิโดย่ามีเครื่องอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวพร้อม มีไมโครเวฟ
ให้อุ่่นอาหาร คูลเลอร์ให้เติมน้ำดื่มกาต้มน้ำร้อน กาแฟมีให้ตลอด 24 ชั่วโมง แถมมีโทรศัพท์แบบโทรทางไกลโดยใช้บัตรโทรศัพท์ในโรงแรมอีกด้วย
      เมื่ออ่ิมท้องก็เลยผลัดกันไปส่งข่าวคราวถึงคนทางบ้านกัน โทรศัพท์สาธารณะที่ญี่ปุ่น
ใช้ยากนิดหน่อยแต่ที่โรงแรมมีบอกขั้นตอนอย่างละเอียดเราก็เลยโทรได้สำเร็จ เคล็ดลับก็คือต้องซื้อบัตรโทรศัพท์ทางไกลจากร้านสะดวกซื้อ แล้วก่อนจะโทรได้ต้องหยอดเหรียญสิบเยน
ลงไปก่อนแล้วก็กดตามขั้นตอน แม้ว่าเสียงโอเปอร์เรเตอร์จะพูดอะไรไม่ต้องสนใจ เพราะถึงสนใจก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ซักครู่สัญญาณก็จะต่อไปยังเลขหมายที่เรากดไป  
     ฉันเห็นมีฝรั่งยืนโวยวายเรื่องหยอดเหรียญนี้ซะใหญ่โต ว่าทำไมถึงต้องหยอดอีกในเมื่อจ่ายเงินค่าบัตรไปแล้ว แหม ! สิบเยนเนี่ยนะ เรื่องใหญ่มาก โทรเสร็จเครื่องมันก็คืนเงินกลับออกมาอยู่ดี ฉันล่ะไม่เข้าใจคนประเภทนี้เลย ขอให้ได้โวยไว้ก่อน ปกป้องสิทธิ์ตัวเองสุดฤทธิ์สุดเดช 
ขอให้ลืมหูลืมตากันบ้างเถอะ ไปโวยวายเรียกร้องสิทธิ์ให้กับคนที่เค้าถูกเอาเปรียบ ถูกริดรอนสิทธิมนุษยชนดีกว่ามั้ย ให้ตายเถอะ
     อีกครู่หนึ่งก็มีสาวฝรั่งอีกนางหนึ่งมายืนโวยวายเสียงหลงอยู่หน้าเคาน์เตอร์ของพนักงานต้อนรับ ต่อว่าต่อขานว่าของของเธอหายไปจากห้อง ให้ทางโรงแรมรับผิดชอบ โทษว่าพนักงานทำความสะอาดซุ่มซ่ามบ้างล่ะ อะไรอื่นๆ อีกมากมาย ในขณะที่พนักงานต้อนรับก็พยายามอธิบาย เมื่อไหร่ที่เขาปริปากพูดยัยฝรั่งนั่นก็สวนเสียงแหลมขึ้นมาทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดอะไรเลย แถมยังตะคอกอีกว่าให้ไปเรียกคนที่พูดภาษาอังกฤษรู้เรื่องมาพูดกับหล่อน ฉันมองไปแล้วรู้สึกว่าเป็นภาพที่น่าสงสารมากๆ คนนึงก็ใส่ๆๆๆ อย่างเดียว อีกคนก็พยายามที่จะช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ บางทีคนเราชอบใช้อำนาจมากเกินไปรึเปล่า ยิ่งกับคนที่ไม่มีทางสู้ คนที่สุภาพไม่โต้ตอบ ทำให้บางครั้งตกเป็นเหยื่อของคนที่บ้าอำนาจโดยที่อาจจะไม่ได้เป็นคนผิด คนที่โมโหโทโสอารมณ์ก็จะขุ่นมัว มีความทุกข์ มีแต่ความไม่พอใจกับทุกสิ่ง
ทุกคนรอบตัว ฉันมองว่าคนที่ระงับอารมณ์ไม่ตอบโต้ถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง

29 กันยายน 2554

16. วันเท้าแข็ง

     เราตื่นแต่เช้าตรู่เพราะต้องออกเดินทางจากเมืองเกียวโตเพื่อไปแวะเที่ยวที่เมืองทากายาม่า (Takayama) ฉลองวันแรกของปี ลงไปชั้นใต้ดินเพื่อทานอาหารเช้าที่วันนี้มีหน้าตาแปลกและทานยากซักหน่อย เป็นกุ้งต้มทั้งตัวกับปลาช้ินเล็ก รสชาติจืดๆ และมีอะไรไม่รู้รสชาติหวานๆ อีกสองสามชิ้น ยังดีที่มีเต้าหู้และซุปที่รสชาติคุ้นเคยหน่อย ถ้าต้องให้คะแนนคงได้แค่ 4 เต็ม 10 ถ้าเทียบกับโรงแรมแรกที่อยู่นี่เทียบกันไม่ติดเลย โรงแรมนี้ดูจะเน้นดีไซน์มากไปหน่อย ดีไซน์ไปซะทุกเรื่อง มันก็เลยไม่ค่อยอบอุ่น ยังนึกถึงหน้าคุณแม่บ้านที่คอยเอาอกเอาใจเรา
ไม่หาย ถ้าให้แนะนำก็ต้องบอกว่าอยู่โรงแรมแรก อ่ิม อร่อย สบาย ได้อารมณ์กว่ากันเยอะ
     เราออกเดินไปสถานีรถไฟตอนแปดโมงกว่าๆ หนาวก็หนาวแถมเดินลำบากเพราะไอ้กระเป๋าพิการอีกแต่ก็ไม่เกินความพยายามอยากเที่ยวไปได้ จัดการจองตั๋วรถไฟชิงคันเซน (Shinkansen) โดยใช้บัตรเบ่งเจอาร์พาส รถไฟชิงคันเซนมีชื่อเล่นเรียกกันติดปากว่า “Bullet Train” หรือรถไฟกระสุน มาจากความเร็วของมันนั่นเอง ถือว่าเป็นระบบการขนส่งมวลชนที่เวิร์คมากๆ และถือเป็นความภูมิใจของชาวญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะไม่ใช่รถไฟที่เร็วที่สุด
ในโลกแล้ว แต่ความถี่และความตรงต่อเวลานับว่าสุดยอด แนะนำว่าควรจองที่นั่งเพราะบางทีขบวนที่ไม่ต้องจองที่อาจจะเต็ม ยิ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ชิงคันเซนนั้นมีหลายยี่ห้อต้องดูรหัสและเวลาให้ดี ขึ้นแรกๆ อาจมีงงได้
     เราต้องไปลงที่นาโกย่า (Nagoya) ก่อนเพื่อเปลี่ยนรถไฟไปยังเมืองทากายาม่า ใช้เวลา
สิริรวมแล้วก็ 3 ½ ชั่วโมง ฉันใช้เวลาหลับอย่างเต็มอ่ิม เพราะเมื่อคืนนอนน้อย เมื่อรถไฟใกล้เข้าเมืองทากายาม่าบรรยกาศเร่ิมอึมครึมและมีหิมะตกบ้านเรือนถูกปกคลุมขาวไปหมด ดูๆ ไปก็สวยดี แต่คงไม่สวยแน่ถ้าเราต้องเดินตากและย่ำหิมะตลอดวันนี้ ฉันเกิดความกังวลเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยชอบความเฉอะแฉะ เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนจอดเทียบชานชลาหิมะก็ยังตกไม่หยุด คราวนี้ก็ต้องเร่ิมทำใจเพราะเราไม่ควรให้อะไรมาเป็นอุปสรรคการเที่ยวของเราได้
     เราลากกระเป๋าเพื่อหาล้อกเกอร์ภายในสถานีรถไฟ แต่ทุกตู้เต็มหมดแม้จะมีอยู่จำนวนมากก็ตาม ฉันจึงเดินไปที่ศูนย์ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว พนักงานให้ความช่วยเหลือดีมาก บอกว่าที่ร้านสะดวกซื้อที่ชื่อเดลี่ (Daily) นั้่นรับฝากกระเป๋า ฉันจึงหยิบแผนที่ภาษาอังกฤษมาประกอบการเดินเที่ยว ร้านเดลี่อยู่ทางด้านขวาของสถานีไม่ไกล เดินเข้าไปบอกฝากกับพนักงานได้เลย ค่าบริการใบละ 500 เยน ฝากได้ถึง 5 โมงเย็น
     เมื่อสัมภาระหลุดจากตัวไปแล้วคราวนี้ก็เดินสบายตัว มุ่งหน้าเข้าเมืองเก่าตามแผนที่ที่ได้มา ทากายาม่าเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพราะอนุรักษ์บ้านเก่า ของเก่า ศิลปะต่างๆ ไว้ได้อย่างดี ย่านซานโนมาชิ (Sannomachi) เป็นย่านที่เขาอนุรักษ์บ้านเก่าไว้ตั้งแต่สมัยเอโดะ เป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยหุบเขาทำให้ทำการเกษตรได้ไม่ดีแต่มีชื่อเสียงทางด้านไม้ มีช่าง
มีฝีมือมากมาย เราเดินตามถนนเล็กๆ ที่มีบ้านเก่ารายล้อม ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก พิพิธภัณฑ์ เดินแล้วเหมือนย้อนไปอยู่ในยุคเก่า ตามหัวมุมถนนยังมีรถลากให้บริการอีกด้วย เราเดินดูได้ซักพักก็ต้องยอมแพ้ธรรมชาติ หิมะเร่ิมตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราเดินต่อไม่ไหว แวะเข้าไปพักที่ร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งตกแต่งเหมือนบ้านเก่าสมัยโบราณ น่ารัก อบอุ่นมากๆ มีรายการอาหารไม่มากนัก และเนื่องจากร้านอาหารละแวกนั้นปิดไปหลายร้าน ร้านนี้เลยต้องรับลูกค้าเต็มๆ ทำให้อาหารหลายจานหมดลง ฉันจึงต้องทานข้าวหน้าเนื้อย่าง ราคาจานละ 1,100 เยน มาพร้อมกับซุปและผักดอง น้ำชาร้อนบริการฟรี ความจริงฉันไม่ทานเนื้อวัวมาหลายปีแล้ว แต่ทำไงได้ จังหวะนั้นมีอะไรก็ต้องทาน ความจริงแล้วละแวกนี้โด่งดังเรื่องเนื้อย่างมาก ถ้าใครชอบทานเนื้อก็แนะนำให้ลองทานดู เนื้อจะย่างสุกเฉพาะด้านนอก
ส่วนด้านในยังไม่สุกดี แต่รสชาติอร่อยเลิศมาก เรานั่งพักในร้านให้หายหนาวซักครู่ก็ออกเดินทางต่อ หิมะยังไม่หยุด แต่ด้วยเวลาที่เรามีไม่มาก ทำให้ต้องฝ่าลุยกับธรรมชาติ เค้าบอกกันว่าอยู่ใต้ฟ้า (ไทย) อย่ากลัวฝน เพราะงั้นอยู่ใต้ฟ้า (ญี่ปุ่น) ก็ต้องไม่กลัวหิมะ คิดซะว่าเป็นเรื่องสนุกแล้วกัน ปีๆ นึงเราจะได้เจอหิมะกันกี่มากน้อยเชียว






     ที่ต่อไปที่แวะคือพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านคุซากาเบ้ (Kusakabe-Mingeikan) เป็นบ้านเก่าของตระกูลพ่อค้า คุซากาเบ้ ต่อมาจึงทำเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนได้ศึกษาเกี่ยวกับเครื่องใช้ข้าวของโบราณ และได้ดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมสมัยเอโดะ นับว่าเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ
     เมื่อเข้าไปด้านในจะเจอเคาน์เตอร์เก็บค่าเข้าชมราคา 500 เยน สามารถเดินชมและถ่ายรูปได้ตามสบายในส่วนด้านหน้าเป็นบ้านเก่าที่จัดวางข้าวของเครื่องใช้ไว้เหมือนบ้านคนปกติ 
นั่นก็เพราะเป็นบ้านที่สร้างโดยสามัญชนคนธรรมดาไม่ใช่พวกซามูไร ส่วนถัดไปด้านในจะมี
อีกหลังหนึ่งที่เน้นโชว์ของสะสมต่างๆ ภายในมีบริเวณกว้างขวางแถมยังมีห้องต้อนรับ
นักท่องเที่ยวอีกด้วย ซึ่งเป็นห้องที่ติดฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่น มีชาเขียวเสิร์ฟพร้อมกับ
ขนมแป้งทอด (Rice Cracker) เรานั่งกันอยู่พักใหญ่เพราะข้างนอกมันหนาวเหลือเกิน แถมหิมะก็ตกไม่หยุด ที่แย่ไปกว่านั้นน้ำได้ซึมเข้าไปในรองเท้าฉันทำให้เท้าแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว จึงต้องถอดรองเท้าถุงเท้าออกมาอังฮีทเตอร์ช่วยให้คลายความแข็งลง ไม่งั้นคงเดินต่อด้วยความยากลำบากมาก




     กะว่าจะไปดูบ้านเก่าต่ออีกหลัง (Yoshijima Heritage House) ซึ่งหลังนี้ในสมัยโบราณเป็นบ้านที่มีชื่อเสียงในการต้มสาเกขาย เสียดายที่วันนี้ปิด ว่ากันว่าบ้านหลังนี้ในส่วนของสถาปัตยกรรมจะดูมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าบ้านคุซากาเบ้
     ไม่เป็นไร เราไปที่ที่เค้าเปิดก็ได้ ว่าแล้วก็ตรงไปศาลเจ้า ซากุระยาม่า ฮาชิมังกุ (Sakurayama Hashimangu) เป็นวัดที่ชาวเมืองที่อาศัยอยู่แถบทิศเหนือจะมากราบไหว้
พระกัน ที่วัดนี้ยังมีห้องเก็บรถแห่ถึง 4 จากทั้งหมด 11 คันจึงจะถูกนำมาแห่รอบเมืองในช่วงเทศกาลสำคัญ เทศกาลแห่รถประจำปีซึ่งที่ทากายาม่านี้ถือเป็นเมืองที่มีการจัดเทศกาลรถแห่ย่ิงใหญ่และสวยงามติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น (อีกสองที่คือย่านกิออนที่เกียวโต (Gion Festival, Kyoto) และที่ชิชิบุ ไซตามะ (Shishibu Night Festival, Saitama Prefecture) ) 
มีการจัดสองช่วงคือช่วงฤดูใบไม้ผลิช่วงวันที่ 9-10 เมษายน และช่วงฤดูใบไม้ร่วงวันที่ 9 ตุลาคม ใครไปญี่ปุ่นช่วงนั้นลองแวะไปร่วมเทศกาลดู เค้าบอกว่าจัดงานใหญ่โต ผู้คนต่างพากันออกมาเฉลิมฉลองแต่งตัวแบบพื้นเมืองโบราณ มีการแสดง ร้องรำทำเพลงและมีการแสดง
หุ่นกระบอกโบราณด้วย ช่วงนั้นคงเป็นช่วงแห่งสีสันและรอยยิ้ม ชาวเมืองคงภูมิใจที่ได้โชว์วัฒนธรรมโบราณให้นักท่องเที่ยวได้ดูกัน การรักษาขนมธรรมเนียม ศิลปะ ประเพณีโบราณไว้ได้อย่างเหนียวแน่นนั้นต้องอาศัยผู้คนชาวเมืองนี่แหล่ะ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่สนใจใส่ใจที่จะอนุรักษ์ของดีของโบราณก็มีอันต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา
     ตอนที่เราไปถึงนั้นหิมะตกค่อนข้างหนักทำให้ศาลเจ้าถูกปกคลุมไปด้วยปุยสีขาว ประกอบฉากหลังที่เป็นต้นไม้ใหญ่ให้ความรู้สึกสวยแบบลึกลับดี ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นมีชาวบ้านก่อกองไฟให้ความอบอุ่นแก่ผู้คนที่ผ่านไปมา ฉันก็ไปยืนอังมืออยู่พักหนึ่งให้คลายหนาวลง แม้ว่าหิมะจะตกแต่ผู้คนก็ไม่ได้ย่อท้อในการมาไหว้พระกัน อาจเพราะเป็นวันแรกของปีจึงต้องมาขอพรให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตตลอดทั้งปี
     ฉันได้แต่หวังเหมือนกันว่าปีวัวดุนี้คงจะโชคดีเพราะตั้งแต่มาญี่ปุ่นได้ไปเยี่ยมวัดและศาลเจ้ามานับไม่ถ้วน แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าใจเรา ถ้าเรากำหนดความคิดความรู้สึกได้ไม่ปล่อยให้เผลอไผลไปตามอารมณ์อันอ่อนไหว เราก็จะสามารถควบคุมความรู้สึกไม่ถูกกระทบและ
สั่นคลอนได้ง่ายๆ ตามสิ่งแวดล้อมหรือบรรทัดฐานที่คนอื่นวางไว้

28 กันยายน 2554

15. ลั่นระฆังขจัดกิเลส

     ยัง ยังไม่สะใจ ใครบอกว่าเราจะยอมนอนเร็วในคืนสุดท้ายของปี
     เมื่อนาฬิกาเดินมาถึงห้าทุ่ม เราก็พร้อมออกเดินทางไปเที่ยววัดกัน จากที่ได้ไถ่ถามพนักงานโรงแรมว่ามีที่ไหนฉลองปีใหม่แบบญี่ปุ้นญี่ปุ่นบ้าง ได้รับคำตอบว่าคือวัดชิโอนิน (Chion-in Temple) วัดพุทธนิกายโจโด (Jodo) หรือ เพียวแลนด์ (Pure land) ที่มีท่าน โฮเนน (Honen) เป็นศาสดา ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ศาสนาพุทธกลับมาถูกนับถือและเข้าถึงได้จากคนทุกชนชั้น
ไม่เฉพาะชนชั้นสูงเหมือนที่เป็นก่อนหน้านั้น วัดนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ 1234 ตรงที่ที่ท่านโฮเนน
มรณะภาพ วัดนี้ยังโด่งดังจากการใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังฮอลลีวู้ดเรื่องดัง “The Last Samurai” อีกด้วย
     เราต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ตรงสถานีเกียวโต ดูเหมือนว่ามีคนมากมายที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกับเรา คนต่อแถวขึ้นรถเมล์กันอย่างแน่น เราต้องรอรถคันที่สองถึงจะสามารถตะกายขึ้นไปได้ แน่นอนว่ายืนตลอดสายแต่วัดอยู่ไม่ไกลนักจึงใช้เวลาเมื่อยไม่นาน
     ส่ิงที่เด่นตระหง่านตั้งแต่ทางเข้านั้นก็คือประตูด้านหน้าที่ใหญ่โตอลังการมาก เป็นประตูวัดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นสูงถึง 24 เมตรทีเดียว เราต้องอ้อมไปเดินขึ้นจากทางด้านข้างซึ่งเป็นบันไดขึ้นเนินไปหอระฆังที่เป็นไฮไลท์ของคืนนี้ ระฆังที่นี่มีขนาดใหญ่มาก หนักถึง 74 ตัน ต้องใช้พระจำนวน 17 รูปในการลั่นระฆังในคืนสุดท้ายของปีเป็นธรรมเนียมที่พระจะสวดมนต์และลั่นระฆังจำนวน 108 ครั้ง ซึ่งเป็นการปัดเป่ากิเลสที่เรามีอยู่กับตัวถึง 108 ชนิดด้วยกัน




     เราเดินท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดกันเพื่อเข้าไปดูพิธีลั่นระฆัง มีทั้งคนท้องถิ่นและ
นักท่องเที่ยว ทางวัดจัดระเบียบไว้ค่อนข้างดี มีเชือกกั้นให้คนเข้าไปได้เป็นกลุ่ม เมื่อเห็นว่าเร่ิมเบียดกันมากก็จะกั้นไว้ด้านนอกก่อน เราเดินลื่นไหลไปตามคลื่นฝูงชน หยุดเพื่อถ่ายรูปการ
ลั่นระฆังบ้างเป็นระยะ ดูเหมือนว่าผู้คนจะสนุกไปกับจังหวะการผลักไม้ขนาดใหญ่ให้ชนกับระฆังพร้อมกับเสียงสวดมนต์ของพระ เมื่อเดินวนครบรอบก็ต้องเดินออกไปอีกทางหนึ่ง รอบๆ วัดมีร้านค้ามาตั้งขายอาหารและขนมให้คนที่มาเที่ยวได้กินกันเราเองก็พยายามหาอะไรทานเพราะมื้อค่ำทานไม่ค่อยอิ่มนัก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรถูกใจเท่าไหร่ ความจริงน่าจะทานบะหมี่
ซะหน่อย เพราะเค้าเชื่อกันว่าการทานบะหมี่ในวันแรกของปีจะทำให้อายุยืนยาว 
     เมื่อกลับออกมาจากวัดแล้วเราต้องนั่งรอรถเมล์ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ รอ ร้อ รอ ไม่มีทีท่าว่าจะมีรถเมล์ แถมการจราจรบริเวณหน้าวัดนั้นติดหนึบ จึงตัดสินใจข้ามถนนเข้าไป
ยังซอยเล็กๆ เพื่อเรียกแท้กซี่หวังใจว่าจะสามารถลัดไปออกถนนด้านอื่นได้
     ฉันบอกชื่อถนนที่ตัดผ่านด้านหน้าโรงแรมของเรากับคุณลุงแท้กซี่ แกก็ไม่ได้ถามอะไร
พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ออกรถ นั่งไปซักพักแกก็จอดตรงถนนหน้าตาไม่คุ้นเคยเอาซะเลย ฉันเร่ิมวิตกกังวล ไอ้ครั้นจะลงตรงนั้นแล้วเดินต่อเห็นทีว่าจะไม่เข้าท่า เลยบอกแกไปว่าไม่ใช่ที่ที่เรา
จะไป เอาเป็นว่าไปส่งใกล้ๆ สถานีเกียวโตก็แล้วกัน หลังจากนั้นเราคงไม่หลงทางอย่างแน่นอน เดินต่อเอาเองอีกนิดก็ได้ แกก็ออกรถขับต่อไปเลี้ยวนู่นเลี้ยวนี่ ทันใดนั้นเองถนนเร่ิมคุ้นตา เมื่อมองไปยังด้านหน้าเห็นป้ายโรงแรม “โตว่า” อยู่ไม่ไกล รีบแจ้งแก่คุณลุงทันที ไม่รู้ว่าแกเก่งหรือเราเก่งกันแน่ที่สามารถพามาถึงหน้าโรงแรมได้โดยไม่ต้องเดินต่อ มิเตอร์บอกราคาที่ 1,620 เยน ฉันควักเงินออกมาจ่าย ปรากฏว่าคุณลุงแกไม่ยอมรับเงิน แกรับไปแค่แบ้งค์พันเยน แล้วที่เหลือคืนเรามา ฉันพยายามยัดเยียดให้แก แต่ยังไง้ยังไงแกก็ไม่ยอมท่าเดียว แกคงคิดว่า
แกขับรถอ้อมไปมาทำให้เราต้องเสียเงินเยอะล่ะมั้ง แหมคนดีๆ อย่างนี้หายากจริงๆ 
เราขอบคุณคุณลุงพร้อมรอยยิ้ม
     ได้แต่คิดว่าคงเป็นความโชคดีที่ได้เดินผ่านเสาโทริหมื่นต้น และฟังเสียงระฆังที่วัดชิโอนินปัดเป่ากิเลสออกไปเป็นแน่ถึงได้เจอเรื่องดีๆ คนดีๆ ตั้งแต่วันแรกของปี 2009 ขนาดนี้ 

27 กันยายน 2554

14. ตามล่่าเสาโทริ

     ตอนบ่ายเราไปเที่ยวศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเกียวโตมีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นนั่นก็คือเสาโทริสีส้มนับหมื่นต้น และยังเป็นที่ถ่ายทำฉากหนึ่งในหนังเรื่องเกอิชาอีกด้วย ศาลเจ้านี้เป็นผู้นำศาลเจ้าทั้งหมดที่บูชาเทพเจ้าอินาริ (Inari) เทพเจ้าแห่งข้าวและสาเก ซึ่งมีถึง 40,000 ศาลเจ้า มีตัวแทนเป็นรูปปั้นหมาจิ้งจอก
พันผ้ากันเปื้อนสีแดงคาบกุญแจของยุ้งฉางข้าว ซึ่งถือเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้า ถ้าเห็นรูปปั้นหมาจิ้งจอกที่ไหนก็เดาได้เลยว่าศาลเจ้านั้นๆ นับถือเทพเจ้าอินาริ ในปัจจุบันเทพเจ้าอินาริได้รับการนับถือจากนักธุรกิจที่มักจะมาขอพรให้มีความเจิรญก้าวหน้า ประสบความสำเร็จ วัดนี้จึงได้รับเงินบริจาคและทำนุบำรุงโดยนักธุรกิจเหล่านั้น เสาโทริจำนวนมากก็ได้รับบริจาคจากคน
กลุ่มนี้ 





     บริเวณละแวกนี้มีอาหารขึ้นชื่อที่เป็นที่นิยมนั่นก็คืออุด้งราดด้วยเต้าหู้ทอดเพราะเป็นอาหารจานโปรดของเจ้าหมาจ้ิงจอก (แหมทานอาหารเพื่อสุขภาพนะเนี่ย เป็นหมาจิ้งจอกมังสวิรัติ
รึเปล่าก็ไม่รู้)
     เค้าบอกกันว่า (เค้าไหนก็ไม่รู้นะ) ถ้าสามารถเดินขึ้นไปถึงยอดเขาผ่านเสาโทริสีส้มสดจำนวนหมื่นต้นนี้ได้ล่ะก็ จะโชคดีตลอดทั้งปี มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง เราเดินดูรอบๆ วัด บริจาคเงินเล็กน้อย แล้วก็เดินไปยังทางเข้าที่จะนำไปสู่ยอดเขา ตอนนั้นยังไม่ได้คิดเรื่องจะเดินไปให้ถึงจุดสูงสุด เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับการถ่ายรูปเสาสีส้มสวยที่มีมากมาย เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็ลังเลว่าจะไปต่อดีมั้ย ไม่แน่ใจว่ามันจะไกลอีกซักแค่ไหน ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงในการเดิน เมื่อเดินมาถึงตรงจุดพัก เรานั่งหอบแฮ่กๆ คิดว่าจะหยุดตรงนั้น เพราะก็สูงพอที่จะเห็นวิวเมืองได้แล้ว แต่เมื่อคิดถึงคำพูดที่ว่าจะทำให้โชคดีตลอดทั้งปี ก็เป็นสิ่งดึงดูดที่ทำให้เราเกิดฮึกเฮิมขึ้นมา มีชายหนุ่มสองคนเดินกลับลงมาจากด้านบน ฉันจึงถามเขาว่ายอดเขานั้นต้องไปอีกไกลแค่ไหน เขาบอกว่าประมาณครึ่งชั่วโมงเดิน ในช่วงเวลานั้นเหมือนต้องตัดสินใจครั้งย่ิงใหญ่แต่เมื่อทบทวนดูว่าเราเคยเดินไปถึงยอดทักซังที่ภูฏานมาแล้ว ไม่น่ามีอะไรจะโหดไปกว่านั้นได้ ก็เลยตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมเดินต่อ



     เราเดินไปท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อยๆ มืดลง ในเว็บไซต์แนะนำศาลเจ้านี้บอกว่า การเดินขึ้นในช่วงเวลาเย็นนั้นเป็นช่วงที่ดีที่สุด จากที่เราตื่นเต้นกับเจ้าเสาโทริสีส้ม หยุดถ่ายรูปเพลิดเพลิน เมื่อสูงขึ้นไปเรื่อยๆ กลับไม่อยากเห็นเสาอีกเลย เพราะนั่นหมายความว่า “ยังต้องไปต่ออีก ยังไม่ถึงนะ” เราเกือบท้อใจหลายรอบ แต่เสียดายเวลาและระยะทางที่ผ่านมา ถ้าตัดสินใจหันหลังกลับลงไปอาจเสียใจทีหลังเพราะระยะทางเหลือเพียงนิดเดียวเท่านั้น เราคิดแบบนั้นอยู่หลายรอบกว่าที่เราจะหอบสังขารขึ้นไปถึงยอดนั้นก็เกือบมืดสนิท มีศาลเจ้าตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน มีเพียงมนุษย์ไม่กี่ชีวิตที่ขึ้นมาถึง ทำให้เรารู้สึกภูมิใจ จึงขึ้นไปขอพรเทพเจ้าให้ประสบความสำเร็จ พบเจอแต่คนดีๆ สิ่งดีๆ ตลอดปีใหม่นี้


     ไม่อยากจะคิดเลยว่าเราต้องใช้เวลาอีกแค่ไหนในการเดินกลับลงไปด้านล่าง ฟ้าเร่ิมมืดสนิท ไฟจากตะเกียงตามเสาโทริมีเพียงเลือนลาง เรามุ่งหน้าเดินลงอย่างเดียว ไม่หยุด ไม่พูดคุย 
ขาลงดูเหมือนจะเร็วกว่าขาขึ้น แต่ก็เหนื่อยและปวดขาไม่แพ้กัน ในที่สุดเราก็ลงมาถึงด้านล่างจนได้ บริเวณวัดเริ่มมีร้านมาจัดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานในคืนนี้


     เรารอรถเมล์อยู่นานมากเพราะรถสายนี้วิ่งไม่ถี่ จึงตัดสินใจไปขึ้นเจอาร์แทน ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็กลับไปถึงสถานีเกียวโต เราแวะเดินเล่นใน Porta ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใต้สถานีรถไฟเกียวโต เป็นแหล่งรวมทุกอย่าง สามารถซื้อหาของฝาก เสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ รวมทั้งของกิน ร้านอาหาร คาเฟ่มากมาย แต่โชคไม่เข้าข้างเรา วันนี้ร้านส่วนใหญ่ปิดสองทุ่ม คงเพราะเป็นวันสุดท้ายของปี เราจึงต้องเดินตากลมหนาวกลับโรงแรมโดยแวะซื้อแซนวิชและบะหมี่จากลอว์ซัน (Lawson) ไปกินกันตาย แต่จะว่าไปของที่ขายในร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็น Family mart, Lawson หรือ 7 Eleven นับว่ามีคุณภาพดี แถมบางทีมีของหน้าตาแปลกๆ อาหารก็รสชาติดีใช้ได้ สามารถฝากผีฝากไข้ เอ้ย… ฝากท้องไว้กับร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ได้ ทำให้ชีวิตสะดวกใช้ไปได้มาก 

26 กันยายน 2554

13. วัดเล็ก ... วัดน้อย

     เมื่อเดินรอบๆ สวนแล้ว ตรงไปยังทางออกอีกด้านหนึ่งจะสามารถเดินลัดเลาะป่าไผ่เพื่อไปเที่ยวยังที่ต่อๆ ไปได้ ป่าไผ่นี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะเดินลอดกัน ตรงกลางเป็นถนนเล็กๆ สองข้างถูกโอบล้อมด้วยต้นไผ่สูงลำต้นสีเขียวสดโบกไหวเมื่อยามต้องลมเสียดสีกันส่งเสียงเหมือนเสียงดนตรี ถ้าแวะมาแถวนี้แล้วไม่ได้เดินลอดป่าไผ่ก็เหมือนว่ามาไม่ถึง


     เดินต่อไปไม่นานนักเราก็มาถึงวัด โจแจกโคจิ (Jojakkoji) วัดเล็กๆ ที่อยู่บนภูเขาโอกุระ (Ogura) อายุกว่า 400 ปีแล้ว ต้องเสียค่าเข้า 200 เยน ตอนที่เราไปถึงนั้นไม่มีผู้คนเลย 
แต่เราก็เข้าไปชมอยู่ดีซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกเพราะฉันชอบในความสวยแบบน่ิงๆ ไม่โฉ่งฉ่าง เหมือนต้องเข้าไปค้นหาถึงจะเจอของดี ต้นไม้ที่ปราศจากใบเขียวมีเพียงก่ิงก้านที่ยังยืนหยัดท่ามกลางอากาศหนาวรอคอยการผลิใบอีกครั้ง อยู่ด้วยกันอย่างลงตัวกับวัดเล็กๆ และสวนน้อยๆ ที่ทางวัดดูแลไว้อย่างดีทำให้มีสีเขียวแซมอยู่บ้างพอมีชีวิตชีวา 




     เราเดินต่อมายังด้านล่างที่ผ่านบ้านเรือนผู้คน เป็นบ้านไม้แบบโบราณ ดูสวยเก๋ มีสไตล์ และถูกอนุรักษ์เอาไว้อย่างดี เดินตัดผ่านซอยเล็กๆ ที่จะนำเราไปสู่ตัวเมือง ก็พบศาลเจ้าเล็กๆ 
โนโนมิยะ (Nonomiya Shrine) ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่แปลกแตกต่างจากศาลเจ้าอื่นก็สังเกตุได้ตั้งแต่ทางเข้าเลย เพราะเสาโทริที่นี่เป็นสีดำ ไม่เหมือนที่อื่นที่มักเป็นสีส้ม เป็นที่สถิตของเทพเจ้าหลายองค์ เน้นเรื่องการให้พรเรื่องคู่และการคลอดลูก ในสมัยก่อนเจ้าหญิงจะต้องถูกส่งตัวมาอยู่ที่ศาลเจ้านี้และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อที่จะชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ก่อนที่จะรับหน้าที่เป็นพระระดับสูงที่ศาลเจ้าอิเซ่ (Ise Shrine) ศาลเจ้าโนโนมิยะแห่งนี้ยังปรากฏอยู่ในนิยายเรื่องเกนจิอีกด้วย
     ภายในบริเวณด้านในนั้นในส่วนด้านซ้ายมือมีหินสีดำวางอยู่ เชื่อกันว่าถ้ามาสวดมนต์ขอพรและได้สัมผัสหินก้อนนี้ความปรารถนาที่ตั้งใจมาขอก็จะเกิดผลขึ้นจริง เห็นมีคนเขียนขอพรบนแผ่นป้ายไปแขวนไว้มากมาย รูปแบบหนึ่งที่เป็นแบบเฉพาะเจาะจงของที่ศาลเจ้านี้คือรูปวาดของเจ้าหญิงและรถแห่ซึ่งเป็นตอนหนึ่งที่ปรากฏในนิยายเรื่องเกนจิ




     เราเดินกลับลงมาจากเนินเขาเพื่อไปหาอะไรทานตรงใจกลางเขต ระหว่างที่เดินออกจากซอยเล็กๆ ก็เหลือบไปเห็นขนมหน้าตาแปลกๆ ดูน่าทาน เป็นขนมเผือกและมันบดทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ทอดให้ร้อนบนเตา ขายเป็นชุดคู่กับน้ำเต้าหู้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน ขนมหมดไปอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายเราอบอุ่นขึ้นมาก เราไปหาอาหารทานแถวๆ สถานีรถไฟ ฉันทานโซบะเย็นมากับปลาแห้งๆ ทั้งตัว รสชาติหวานๆ แปลกลิ้นดี ส่วนพี่ตุ๊กผู้ไม่พิสมัยการลองของแปลกจึงสั่งคัทซึด้งกุ้ง หลังจากนั้นเราก็ไปทานขนมหวานต่อที่ร้านข้างๆ “Matcha Parfait” ซึ่งเป็นการรวมขนมญี่ปุ่นไว้ในถ้วยเดียวกัน ตั้งแต่ไอสกรีมชาเขียว ขนมโมจิถั่วแดงบด และเค้กชาเขียว นับว่าเป็นความอร่อยอีกรูปแบบหนึ่ง ประมาณว่าเราจะลองทานขนมชาเขียวไปทุกย่านเพื่อคัดให้เข้ารอบว่าใครจะอร่อยเด็ดที่สุด แต่เอาเข้าจริงๆ ก็เหมือนเฉือนกันไม่ลง เพราะแต่ละที่ก็มีลีลาไม่แพ้กัน สรุปว่าคนได้เปรียบคือนักท่องเที่ยวนั่นเอง ดูเหมือนว่าฉันค่อนข้างจะทานมากกว่าปกติเวลาที่เดินทางท่องเที่ยว คงเป็นเพราะว่าไม่ต้องมีความกังวลอะไรมาก ปล่อยตัวตามสบาย แถมต้องเดินเยอะอากาศก็หนาว เลยมีข้อแก้ตัวให้ได้ทานได้เยอะกว่าปกติหน่อย


     เราตัดสินใจว่าจะเดินทางกลับโดยรถไฟเจอาร์เพราะไหนๆ ก็มีตั๋วอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่ารถเมล์แถมยังประหยัดเวลากว่า สถานีเจอาร์นั้นอยู่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนเพราะต้องเดินเข้าซอยไปลึกทีเดียวอาจจะทำให้เปลี่ยนใจได้ระหว่างทางเพราะนึกว่าหลง 

25 กันยายน 2554

12. เราไม่ได้อยู่ในโลกเพียงเดียวดาย

     ตื่นแต่เช้าลงมายังด้านล่างของโรงแรมโตว่าที่เป็นที่ตั้งของห้องอาหารมื้อเช้า จัดอยู่เป็นสัดส่วน เราแง้มประตูออก แล้วก็เจอกับโต๊ะอาหารที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยตามจำนวนแขกที่พัก โต๊ะอาหารมีขนาดเตี้ยต้องนั่งกับพื้น เมื่อเราไปถึงพนักงานที่อยู่ในชุดแบบฟอร์มทันสมัยปนกับโบราณออกมาต้อนรับและพาไปยังโต๊ะของเรา เขาจุดไฟในเตาเล็กๆ ของแต่ละคนเพื่ออุ่นเต้าหู้ และไปนำชาร้อนมาเสริฟ เรารู้สึกเกร็งๆ นิดหน่อย เพราะดูว่าจะเป็นการทานที่ไฮโซ
กว่าโรงแรมแรก อาหารหลักนั้นคือปลาแซลม่อนย่างเกลือ ไข่ต้มในน้ำซีอ้ิว พร้อมกับเครื่องเคียงคือผัก ทานพร้อมข้าว หน้าตาดูน่าดูมากกว่าน่ากิน เราเลยต้องค่อยๆ เล็มอาหารและทำเสียงเบาสุดๆ แขกเร่ิมทยอยเข้ามาในห้องอาหาร ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากว่าการทานอาหารในมื้อนี้ค่อนข้างดูเป็นทางการเราเลยใช้เวลาไม่มากนัก อยากออกไปเที่ยวเร็วๆ



     ก่อนที่จะออกเดินทางไปเที่ยวในเขต อารายาชิม่า (Arayashima) เราแวะขอคำแนะนำจากพนักงานต้อนรับสำหรับการฉลองปีใหม่ในคืนนี้ แบบที่เป็น traditional จริงๆ คือฉลองปีใหม่แบบชาวญี่ปุ่นแท้ๆ ว่าไปนั่น เธอแนะนำว่าให้ไปที่วัด ชิโอนิน (Chionin) เพราะจะมีการลั่นระฆังต้อนรับปีใหม่ตอนเที่ยงคืน
     เรานั่งรถเมล์สาย 28 เพื่อไปยังเขตอารายาชิม่า ซึ่งไม่สามารถใช้ตั๋ววันได้ ต้องจ่ายเป็นเที่ยวราคา 210 เยน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ลงที่ป้าย Arashiyama Koen เมื่อลงมา
จะเจอสะพานไม้ยาวชื่อว่า โทเก็ตซึ (Togetsu-kyo) ข้ามแม่น้ำคัตซุระ (Katsura) วิวบริเวณนี้สวยงามเป็นธรรมชาติมากๆ มีแม่น้ำไหลเอื่อยพาดผ่านด้านหน้าภูเขาที่มีต้นไม้ปกคลุมรกครึ้ม ถ้ามาช่วงซากุระบานก็จะมีสีสันสวยงามกว่านี้ แต่อาจจะไม่สงบเท่ากับหน้าหนาว คงมี
นักท่องเที่ยวพลุกพล่านยืนถ่ายรูปคู่กับธรรมชาติอันสวยงามจนไม่มีพื้นที่ให้เราได้สัมผัส
ความงามได้เต็มอิ่มเท่าไหร่นัก การท่องเที่ยวนั้นอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าไม่มีธรรมชาติอันสวยงามอ่อนหวาน ก็อาจไม่มีตัวดึงดูดผู้คนให้แห่กันเข้ามาดูชม เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ดี ถ้าปีไหนต้นซากุระเกิดงอนมนุษย์ไม่ยอมผลิดอกให้ได้ชมกัน ถึงเวลานั้นชาวญี่ปุ่นคงต้องร้องไห้ ธรรมชาติเกิดดับและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ยิ่งในภาวะปัจจุบันที่มนุษย์เบียดเบียนพื้นที่ของธรรมชาติมากขึ้น ทำให้ภาพที่เคยสวยกลับหมองลง ต้นไม้ดอกไม้ที่เคยพล้ิวไหวยามต้องลมกลับกลายเป็นตึกสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท้าทายอำนาจของธรรมชาติ ตึกสูงเหล่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลเฉกเช่นธรรมชาติจึงยังขาดเสน่ห์ที่น่าหลงไหลและค้นหา ลองคิดดูง่ายๆ ว่า เราจะสามารถถ่ายรูปตึกตึกเดิมซ้ำๆ ได้ซักกี่หน แต่สำหรับต้นไม้หนึ่งต้น ถ่ายทุกวันก็แตกต่างกันได้ทุกวัน



     เราเดินข้ามสะพานเพื่อไปเที่ยวที่วัด เท็นริวจิ (Tenryuji) ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสะพาน 
เดินไปไม่ไกลนัก วัดนี้มีอายุอานามกว่า 350 ปี ตัววัดนั้นเคยถูกไฟไหม้เผาทำลายจนต้องสร้างขึ้นใหม่ แต่สวนโดยรอบกลับรอดพ้นมาได้ ถ้าอยากเข้าชมต้องเสียเงิน 600 เยน ซึ่งสามารถเดินดูวัดในส่วนด้านในรวมทั้งสวนเซนที่อยู่รอบๆ ภายในวัดนั้นเปิดโชว์ห้องต่างๆ ซึ่งไม่มี
ของประดับประดาอะไรมากมาย ส่วนใหญ่เป็นห้องโล่งๆ แต่บรรยากาศสงบสดชื่น เพราะ
โอบล้อมด้วยสวนเซนและมีบ่อน้ำบ่อใหญ่อยู่ตรงกลาง 




     ที่วัดนี้มีโปรแกรมเปิดรับคนที่มีความประสงค์จะฝึกสมาธิแบบเซนให้มาพักอาศัยที่วัดได้โดยไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนาพุทธนิกายเซน และเป็นชนชาติใดก็สามารถเข้าร่วมได้ ฉันลองเข้าไปดูรายละเอียดแล้ว ต้องยอมแพ้ตรงที่เวลาเร่ิมต้นของการฝึกนี่แหล่ะ เพราะเขาเริ่มกันตั้งแต่ตี 3 เลยทีเดียว อืมม์ บาปยังหนาอยู่มาก




     ฉันชอบคำสอนอันหนึ่งของท่าน ซาไก โตกุเกน (Sakai Tokugen) ท่านเป็นพระรูปหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการเผยแพร่คำสอนของนิกายเซน ท่านให้ความสำคัญในการอยู่ร่วมกันบนโลกผืนนี้ไว้อย่างดีไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ภูเขา ต้นไม้ เหล่านกกา แต่ละชีวิตล้วนมีผลกระทบต่อกัน
และกัน เราไม่ได้อยู่บนโลกเพียงโดดเดี่ยวเดียวดาย เราไม่ได้มีอิทธิพลต่อการอยู่ของเรา 
หากแต่เป็นสิ่งรอบๆ ตัวเราต่างหาก เราจึงควรต้องอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

“Our existence here and now is not due to our own force, but to the force, blessing and support of all around us.  
This is not only true for ourselves.  Mountains, trees, and birds — all beings exist accordingly."
Sakai Tokugen

24 กันยายน 2554

11. หารักแท้ที่วัด

     ย่านกิออนมีศาสนสถานหลายแห่งที่น่าสนใจ ศาลเจ้าแรกที่เราแวะไปคือ ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าของศาสนาชินโต สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งความเจริญรุ่งเรืองและสุขภาพสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ 656  และได้รับการบูรณะล่าสุดเมื่อปี 1654 อยู่ติดถนนใหญ่ใกล้แหล่งช้อปปิ้งทำให้หาได้ง่ายมาก และเป็นที่นิยมของผู้คนชาวเมืองแวะเวียนมาสวดมนต์ขอพร เป็นศาลเจ้าที่ประกอบพิธีฉลองเทศกาลที่สำคัญที่สุดของเมืองเกียวโตนั่นก็คือ Gion Matsuri (กิออน มัสซุริ) ซึ่งแรกเริ่มนั้นจัดขึ้นเพื่อขับไล่โรคระบาดที่เกิดขึ้นภายในเมือง เขาจะจัดขบวนพาเหรดแห่ศาลเจ้าขนาดเล็กไปตามถนนที่มีชาวบ้านมาออกร้านขายอาหารและขนมต่างๆตามสองข้างทาง ผู้คนต่างร่วมใจกันแต่งชุดพื้นเมืองมาร่วมงาน เมื่อจัดเป็นประจำทุกปีก็เลยกลายเป็นพิธีที่สำคัญและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมาก หากอยากมาร่วมงานก็ต้องมาในช่วงเดือนกรกฏาคม
     ศาลเจ้ายาซากะโดดเด่นตั้งแต่ประตูทางเข้าสีส้มที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมนั้นสะดุดตาแต่ไกล ยังไงซะก็ไม่หลงไปวัดอื่นแน่ เมื่อผ่านเข้ามาด้านในแล้วจะมีบริเวณด้านหน้าที่กว้างขวาง มีเวทีสำหรับประกอบพิธี และอีกฝั่งหนึ่งเป็นตึกชั้นเดียวที่คนมาไหว้พระขอพรและบริจาคเงินโดยโยนลงไปในกล่องขนาดใหญ่ และสั่นกระดิ่งเพื่อปลุกเทพเจ้าให้ฟังคำสวดมนต์อ้อนวอน รอบๆ จะมีโคมกระดาษห้อยอยู่ซึ่งไฟจะเปิดในยามค่ำคืน ตัวหนังสือที่เขียนไว้บนโคมนั้นเป็นชื่อของสปอนเซอร์ที่สนับสนุนวัดซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจร้านค้าที่อยู่ในเกียวโต




     เมื่อเดินออกจากวัดแล้วที่พลาดไม่ได้ก็คือตรอก อิชิเบ โคจิ (Ishibe-koji lane) เป็นย่านเก่าแก่ของเมืองเราสามารถลัดเลาะเข้าไปเดินเล่นในซอยเล็กๆ เพื่อชมโรงแรม ร้านชา บ้านไม้เก่า ซึ่งมีต้นไม้ที่แทรกตัวอยู่อย่างสงบ สะท้อนให้เห็นสถาปัตยกรรมและความเป็นอยู่แบบโบราณได้อย่างดี



     เมื่อเดินออกจากซอยเล็กแล้ว แนะนำให้ไปเดินเล่นแถวๆ ถนนนิเนนซากา (Ninenzaka) และซานเนนซากา  (Sannenzaka) ซึ่งเป็นส่วนโบราณของเมืองที่ถูกอนุรักษณ์ไว้อย่างดี สองข้างทางเป็นร้านรวงขายของพื้นเมือง อาหาร ขนม ของใช้ต่างๆ ที่น่าสนใจมากๆ เดินแล้วต้องระวังกระเป๋าหน่อยเพราะเผลอใจไปนิดเดียวก็ต้องเสียเงินให้กับของล่อตาต่างๆ ถนนตรงนี้ค่อนข้างที่จะเป็นเนิน และไม่เรียบนัก ต้องระวังให้ดีเวลาเดินเที่ยว ถ้าเผลอลื่นหกล้ม คนโบร่ำโบราณแถวนั้นเค้าเชื่อกันว่าจะประสบกับโชคไม่ดีไปถึงสองสามปี … ไอ้หย๋า …





     เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะถึงทางเข้า จิชู จินจา (Jishu Jinja) เป็นสถานที่ยอดฮิตของหมู่วัยรุ่น เพราะเป็นศาลเจ้าที่บูชาเทพเจ้าแห่งความรักและการมีคู่ ตรงลานด้านหน้ามีหินสีดำตั้งอยู่สองก้อน ระยะห่างจากกันไม่มากนัก ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้าปิดตาเดินจากก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งโดยไม่มีคนช่วยบอกทางได้สำเร็จล่ะก็จะโชคดีในเรื่องความรัก ฉันเห็นมีวัยรุ่นมาทดลองกันหลายคน หัวเราะคิกคักสนุกสนานกันใหญ่วัยรุ่นก็เหมือนกันทุกประเทศ สนใจใส่ใจกับเรื่องของหัวใจเป็นหลัก ยังไม่ค่อยมีความทุกข์ร้อนกับเรื่องอื่นๆ นัก ถ้าเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวคงต้องรอคิวเดินกันนานหน่อย เผลอๆ อาจจะหลับตาเดินชนเนื้อคู่ที่มาเที่ยววัด ก็ดีไปอีกแบบ





     เดินไปอีกนิดก็จะเข้าไปสู่เขตวัด คิโยมิซุ (Kiyomizu Temple) วัดนี้เป็นวัดที่ผู้คนนิยมมาไหว้พระกันมาก มีพระพุทธรูปที่สำคัญซึ่งมี 11 หน้าและ 1,000 แขน ตัววัดนั้นสร้้างจากไม้ทั้งหมดและมีเทคนิคการสร้างที่ไม่ใช้ตะปูตอกแม้แต่ตัวเดียว น่าอัศจรรย์มาก เป็นหนึ่งในวัดที่องค์การยูเนสโกเลือกให้เป็นมรดกโลก แม้ว่าจะรอดพ้นจากการถูกทำลายในช่วงสงครามโอนินเพราะเป็นเพียงนิกายเล็กๆ ที่ไม่มีอิทธิพลอะไรมากมาย แต่ก็ไม่รอดจากการถูกไฟไหม้ วัดนี้ถ้าเปรียบเป็นผู้หญิงก็ต้องบอกว่าเป็นผู้หญิงที่สวยทุกมุม ไม่ว่าจะด้านข้างซ้ายขวาหรือด้านหน้า มองไกลมองใกล้ก็มีเสน่ห์สวยไปหมด เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะให้ความรู้สึกขลังและสงบเพราะอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่บนเนินเขา อีกทั้งยังรู้สึกถึงความมั่นคงหนักแน่นอาจเป็นเพราะเสาไม้ขนาดใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญของวัดนี้ เมื่อเดินต่อไปก็จะสามารถถ่ายรูปวัดด้านหน้าเต็มๆ จากหลายๆ มุม ซึ่งจะเห็นโครงสร้างของวัดอย่างชัดเจนว่าใหญ่โตและมีไม้ประกอบเป็นตัววัดมากมายขนาดไหน แถมยังสามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตอีกด้วย ก่อนที่จะเดินออกจากวัด
จะมีบ่อน้ำแร่ให้คนมาตักดื่มเชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ สองข้างทางของทางเดินลงจากตัววัดนั้นมีต้นซากุระเรียงราย ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิเชื่อว่าคงสวยงามอ่อนหวานมากๆ เป็นแน่ แต่ตอนที่เราเดินกลับออกไปนั้นเป็นช่วงเย็นที่อากาศเร่ิมหนาวขึ้นเรื่อยๆ จึงได้อีกความรู้สึกหนึ่งแทน ฉันรู้สึกว่าที่ญี่ปุ่นนั้นหลักศาสนาได้สอดแทรกเรื่องราวการอยู่ร่วมกับธรรมชาติเข้าไปค่อนข้างเยอะ ทำให้ทุกๆ ที่มีพื้นที่สำหรับธรรมชาติให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องมีก็เลยเจียดที่เข้าไปหน่อยนึงพอให้ได้อารมณ์


     เราเดินกลับลงไปเพื่อซื้อของฝากซึ่งเป็นของกินล้วนๆ มาญี่ปุ่นคราวนี้เราติดใจรสชาติของขนมโมจิรสงาดำอย่างมาก เพราะเบื่ออะไรที่เป็นชาเขียวแล้ว อันเนื่องมาจากสินค้าและโฆษณาที่เมืองไทยที่ทั้งบอกกล่าว สั่งสอน จนกระทั่งยัดเยียดให้เรารู้สึกว่าชาเขียวเหมือนเป็นยาวิเศษทำได้ทุกอย่าง สรรพคุณดีซะจนต้องซื้อดื่มกันทุกวัน วันละหลายขวด ส่งผลให้ผู้ประกอบการนั้นร่ำรวยกันเป็นแถว



     เรานั่งรถเมล์กลับไปย่านช้อปปิ้ง และพุ่งตรงไปยังห้างฯ “มินา” (Mina) เพื่อหาที่เข้าห้องน้ำ ห้างฯมินาเป็นห้างไม่ใหญ่โตมากนัก แต่การจัดร้านค่อนข้างน่าเดิน และมีข้าวของที่น่าสนใจ ด้านบนมีร้าน “ยูนิโคล” (Uniqlo) ซึ่งขายเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้ายืด เพ้นท์ลายต่างๆ ราคาย่อมเยาว์ เหมือนเลียนแบบมูจิแต่ดีไซน์สู้ไม่ได้ ที่แตกต่างคือสีสันที่มีความหลากหลาย เพราะมูจิมักเน้นแต่แนว Earth Tone 
     วันนี้เราเกรงว่าจะหาอะไรทานไม่ได้อีก ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาหาร้านอาหารกันก่อนที่จะทำอะไรกันต่อเดินๆ ไปก็หันไปพบกับร้านบะหมี่ร้านนึง ที่มีข้อความดึงดูดใจให้ต้องลอง เค้าเขียนไว้หน้าร้านว่า “If you come to Japan, you have to enjoy this noodle” แถมยังมีรูปเชฟยืนทำหน้ามุ่งมั่นด้านหลังเป็นไฟลุกท่วม ประหนึ่งโฆษณารายการทีวีแชมเปี้ยน นั่นแหล่ะก็สามารถกระตุกต่อมน้ำลายของเราให้สูบฉีดเต็มปากแล้ว เรายืนเก้ๆ กังๆ ตรงหน้าตู้หยอดเหรียญเพราะไม่รู้ว่าจะเลือกบะหมี่แบบไหนดี เนื่องมาจากว่าอ่่านไม่ออกซักตัว ทันใดนั้นเองก็มีอัศวินขี่ม้าขาวตาหยีมาช่วย หนึ่งในพนักงานของร้านภูมิใจนำเสนอเมนูเบอร์ 1 บอกว่าเป็นบะหมี่จานเด็ดของร้าน เป็นที่นิยมมากๆ ใครแวะมาเป็นต้องสั่งจานนี้อยู่ร่ำไป ฉันก็เลยกดปุ่มสั่งไปหนึ่งจาน ราคาประมาณ 850 เยน แต่ด้วยความเป็นคนช่างลอง เลยกดปุ่มเบอร์ 2 ให้กับตัวเอง
     ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ประมาณหนึ่งคูหา มีโต๊ะนั่งเรียงๆ เป็นแถวหันหน้าไปทางเดียวกันเหมือนเวลาทำข้อสอบ ซึ่งด้านหน้านั้นเป็นครัวแบบเปิด คือมีกระจกใสให้เราเห็นว่าเชฟแต่ละคนปรุงอาหารกันยังไงซักครู่บะหมี่ก็ถูกนำมาเสริฟ ของพี่ตุ๊กเป็นบะหมี่น้ำข้นมีหมูฝานบางๆ โปะหน้า ส่วนของฉันน่าจะเป็นบะหมี่หมูตุ๋นเพราะน้ำเข้มข้นกว่าแถมมีไข่ต้มแบบยางมะตูมมาด้วย เมื่อได้ซดน้ำเข้าไปคำแรก น้ำตาแทบไหล เปล่าไม่ได้เผ็ด แต่รสชาตินั้นอร่อยมากๆ สมกับคำโฆษณาที่ติดไว้หน้าร้าน เพราะงั้นฉันเลยอยากบอกต่อว่า “ถ้าแวะมาเกียวโต คุณต้องแวะมาทานบะหมี่ร้านนี้ซักมื้อ”



     เราเดินทอดน่องไปตามถนนและตรอกซอกซอย ซึ่งวันนี้ร้านรวงไม่ค่อยคึกคักนัก แถมปิดเร็วมาก เลยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน ทำลายสถิติการไม่ได้ซื้อของนานถึงหนึ่งวันเต็ม