13 ตุลาคม 2554

30. มีตกก็ย่อมต้องมีขึ้น

     นับว่าการไปเที่ยวญี่ปุ่นในครั้งที่สองนั้นฉันได้เห็น ได้พบเจอ ได้ความรู้อะไรมากมาย 
ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ วัฒนธรรม และความศิวิไลส์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศเขา จากที่เคยเฉยๆ กับญี่ปุ่น เมื่อได้กลับมาอีกครั้งทำให้รู้สึกชื่นชอบและชื่นชมมากขึ้น ความเหินห่าง
กลายเป็นความคุ้นเคย รู้สึกดีเมื่ออยู่ใกล้ๆ เพราะเขามีข้อดีมากกว่าข้อเสีย อยากมีโอกาส
ได้เจอและทำความรู้จักกันมากกว่าเดิม เพราะญี่ปุ่นคงยังมีเรื่องราวอีกหลายแง่หลายมุมให้ได้ค้นหา และแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญชะตากรรมอย่างไร ฉันก็เชื่อว่าเขาจะลุกขึ้นมายืดหยัดใหม่ได้อย่างแข็งแรงดั่งพระอาทิตย์ที่ส่องแสงแรง ก็ด้วยเพราะพลังของคนในประเทศเขาที่ต่างมีความมุ่งมั่น จริงจัง เสียสละเพื่อส่วนรวม และที่สำคัญที่สุดนั้น การมีวินัยที่ดีย่อมนำไปสู่ความสำเร็จได้ในไม่ช้าก็เร็ว พูดแล้วก็สะท้อนใจกับบ้านเมืองของตัวเอง ถ้าเรามีคุณลักษณะที่ดีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของคนญี่ปุ่น ประเทศของเราคงจะไม่เป็นเช่นวันนี้

     ขอเป็นกำลังใจให้กับชาวอาทิตย์อุทัย

12 ตุลาคม 2554

29. กัปตันชลิสา

     มีใครเคยอยากเป็นนักบินบ้างรึเปล่า
     หรืออยากเป็นแฟนกับนักบิน
     อาชีพนักบินน่าจะเป็นอาชีพในฝันของใครหลายๆ คน ฉันรู้สึกชื่นชมกับอาชีนักบิน
พอสมควรเพราะอย่างแรกดูเท่ห์ดี ได้บินเหมือนนกลอยไปกับเมฆบนฟ้า รายได้ก็เป็นกอบ
เป็นกำแถมได้เที่ยวไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกอีก ในชีวิตฉันรู้จักกับนักบินตัวเป็นๆ ก็มีพี่เขย
พี่ตุ๊กนี่แหล่ะ กัปตันอ๋อเป็นนักบินมาหลายสิบปีแล้ว ประสบการณ์การบินนั้นคงเรียกได้ว่าปิดตาบินได้ เป็นความใฝ่ฝันของฉันหนึ่งอย่างที่จะได้เข้าไปนั่งในห้องกัปตัน ได้เห็นวิวท้องฟ้า
อันกว้างไกล เห็นการทำงานของกัปตันว่าขับเครื่องบินมันจะยากกว่าขับรถแค่ไหน
     ความฝันนั้นไม่ไกลเกินเอื้อมเพราะเราได้จัดแจงจองตั๋วเที่ยวบินเดียวกับที่กัปตันอ๋อจะบินกลับจากโตเกียว ไม่มีเรื่องของความบังเอิญ ทั้งหมดคือความตั้งใจและการวางแผนอย่างดี
     ขากลับกรุงเทพนั้นจะใช้เวลาบินถึง 7 ชั่วโมง นานกว่าขาไปมาก เพราะต้องบินสวนทางกับลมในช่วงฤดูหนาว และแล้วเวลาที่ฉันรอคอยก็มาถึง สจ๊วตหนุ่มน้อยเดินมาหาฉันและบอกว่าช่วงนี้สามารถเข้าไปพบกับกัปตันอ๋อได้แล้ว เพราะนำเครื่องขึ้นเรียบร้อย อากาศปกติดี สามารถปรับให้เป็นการขับเครื่องด้วยระบบอัตโนมัติได้แล้ว ฉันเดินตามหนุ่มน้อยไปถึง
หน้าห้องกัปตัน ไม่ใช่ว่าจะเข้ากันได้ง่ายๆ ต้องขออนุญาตกัปตันให้เปิดประตูให้หรือกดระหัสลับเพื่อเปิดประตู ไม่งั้นผู้ร้ายก็เข้าถึงตัวกัปตันได้ง่ายๆ น่ะสิ บรรยากาศภายในห้องกัปตันนั้นเต็มไปด้วยเครื่องมือบังคับการบิน กัปตันอ๋อนั่งทางด้านซ้ายมือ ส่วนกัปตันผู้ช่วย
นั่งด้านขวา ทั้งสองยิ้มแย้มต้อนรับเรา มีเก้าอี้ด้านหลังอีกสองที่สำหรับผู้ช่วย ซึ่งปกติในห้องนั้นจะมี 3 คน กัปตัน และผู้ช่วยอีกสอง เก้าอี้ที่เรานั่งไม่ได้สบายเหมือนเก้าอี้ผู้โดยสาร ขนาดก็เล็ก เอนไม่ได้ แถมเข็มขัดนิรภัยยังมีสายระโยงระยางรัดตั้งแต่เป้าจนถึงตัว ดูแล้วเหมือนเก้าอี้รถแข่งมากกว่า ครั้งแรกของการเข้ามาดูวิวในห้องกัปตันน่าตื่นเต้นสำหรับฉันมาก ด้านหน้าเครื่องบินนั้นเป็นกระจกรอบด้านทำให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาอย่างแรง จึงต้องมีแผ่นฟิล์มแปะอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านข้างของนักบินทั้งสอง แว่นกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ สำหรับกัปตัน ห้องค่อนข้างอบอ้าวเพราะแรงแสงแดด จะว่าไปแล้วไม่ใช่ห้องที่สบายเลยซักนิด กัปตันอ๋อและผู้ช่วยมือหนึ่งสามารถคุยกับเราได้อย่างสนุกสนานเพราะอากาศค่อนข้างดีและเครื่องบินกำลังบินอยู่ในระดับสูง ไม่ต้องปรับปุ่มอะไรมากในตอนนั้น ฉันก็ถามปัญหาอะไรติงต๊องไปเรื่อย เช่นว่า ในห้องนักบินมีปืนมั้ย เผื่อว่าผู้ร้ายบุกเข้ามาปล้นเหมือนในหนัง พี่อ๋อบอกว่าไม่มี มีแต่ขวาน อืมม์ งั้นกัปตันคงต้องมีทักษะในการจาม (ขวาน) ค่อนข้างดีสินะ ฉันได้เรียนรู้ว่าในเครื่องบินแต่ละลำคนที่ใหญ่ที่สุด มีอำนาจมากที่สุดก็คือกัปตัน กัปตันสามารถสั่งเป็นสั่งตายได้ เพราะฉะนั้นคุณจะมีเรื่องกับใครก็ได้แต่ต้องเว้นกัปตัน นั่งดูอยู่ซักครู่ฉันก็ขอตัวออกไปเพราะเกรงใจ เดี๋ยวจะรบกวนการทำงาน พี่อ๋อใจดีบอกให้กลับมาอีกครั้งตอนที่เครื่องจะลง ซึ่งทำให้ฉันตั้งตารอเวลานั้นมากๆ ตลอดเวลาที่กลับไปนั่งยังห้องโดยสาร 
     และแล้วเวลาสำคัญก็มาถึง สจ๊วตหนุ่มน้อยคนเดิมพาฉันกลับเข้าห้องกัปตันก่อนเวลา
เครื่องลงประมาณครึ่งชั่วโมง ฉันกลับเข้าไปนั่งอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง คราวนี้มีผู้ช่วยนักบิน
อีกคนมานั่งด้วยคอยจดรายละเอียดต่างๆ ถึงตอนจะลงนั้นทั้งนักบินและผู้ช่วยไม่มีเวลาคุยกับฉันเท่าไหร่เพราะต้องคอยปรับปุ่มโน้นปุ่มนี้ แถมยังต้องคอยพูดติดต่อกับหอการบินสุวรรณภูมิตลอดเวลา พี่อ๋อชี้ให้ฉันดูหน้าจอที่บ่งบอกถึงความสูงของเครื่องบินที่ค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยๆ จากหลายๆ หมื่นฟุต ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องบินอีกมากมายรายล้อมรอบตัวเรา โห เหมือนเวลาเห็นในหนังที่มีเครื่องบินคู่ต่อสู้ไล่มาติดๆ เลย เราสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
ถ้าเครื่องนั้นๆ อยู่ในระดับความสูงใกล้กับเรา แต่ลำอื่นๆ เห็นผ่านเรด้าในจอเท่านั้น เครื่องบินกำลังลดเพดานบินลงเรื่อยๆ เสียงโต้ตอบระหว่างนักบินกับหอบังคับการเร่ิมถี่ขึ้น เราได้ยินเสียงของนักบินลำอื่นๆ ที่จะลงก่อนและหลังเรา ฉันถามพี่อ๋อว่าการเอาเครื่องลงนั้นสามารถทำได้ถี่แค่ไหน คำตอบก็คือไม่ถึงนาที โอ้โห เครื่องสามารถจี้ตูดกันลงได้บ่อยขนาดนั้น
เลยเหรอไม่ยักรู้ เอ แล้วกัปตันจะรู้สึกเสียวหลังมั่งมั้ยนะ อ้าว ก็เวลามีคนขับรถจี้ตูดเรา เรายังเสียวว่าเขาจะมาชนเลยนี่ ฉันถามนักบินผู้ช่วยว่าสุวรรณภูมินำเครื่องลงจอดยากมั้ย เขาบอกว่าไม่ยาก และทุกครั้งที่ลงให้ความรู้สึกเหมือนกลับบ้าน ส่วนสนามบินที่ติดอันดับการลงยากสุดๆ นั้นทุกคนยังลงความเห็นว่าเป็นที่กาฐมาณฑุ เค้าเรียกว่าสนามบินปราบเซียน ได้ความรู้เพ่ิมเติมอีกว่าสนามบินในประเทศที่เจริญแล้วนั้นเค้าจะปิดทำการในช่วงกลางคืน เพราะถ้ามีเครื่องลงจะทำให้เกิดมลภาวะทางเสียงกับคนที่อยู่ที่นั่น อย่างที่ญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน คงไม่ต้องเดากันหรอกนะว่าสุวรรณภูมิเปิดให้บริการตลอดวันตลอดคืนรึเปล่า แล้วถ้าเครื่องเกิดดีเลย์แล้วจำเป็นต้องลงตอนกลางคืนหลังสนามบินปิดทำการล่ะก็จะต้องเสียค่าปรับมากมายเลยทีเดียว


     และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ฉันนั่งเพ่งอย่างใจจดจ่อตอนที่เครื่องกำลังลง 5, 4, 3, 2, 1 ล้อแตะพื้นแล้วลงได้นุ่มมาก เครื่องค่อยๆ แล่นไปตามรันเวย์ และเข้าไปจอดเทียบงวงช้างอย่างช้าๆ ถนัดถนี่ ฉันต้องนั่งรอจนผู้โดยสารลงจนหมดเครื่องก่อนจึงสามารถกลับออกไป
ด้านนอกได้
     การได้ร่วมนำเครื่องลงจอด (ว่าไปนั่น) นับเป็นประสบการณ์เหนือความคาดหมาย จะว่า
ตื่นเต้นก็พอตัวจะว่าตื่นกลัวก็มีบ้าง เพราะการที่เราได้เห็นอะไรจะจะอยู่ตรงหน้านั้นก็สามารถสร้างจินตภาพและนำความเสียวมาได้ แต่ที่แน่ๆ นั้นทำให้ความคิดเกี่ยวกับอาชีพกัปตัน
ของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ก่อนนั้นฉันรู้สึกว่าเป็นอาชีพที่เท่ห์อย่าบอกใคร แม้ว่าจะไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ ไม่ใช่ทุกคนก็เป็นได้เพราะกว่าจะฟันฝ่าบททดสอบต่างๆ ให้ผ่านนั้นไม่ใช่
เรื่องง่าย แถมยังต้องไปฝึกอีกนานกว่าจะได้เป็นกัปตันตัวจริง แต่บางทีก็แอบคิดไปว่ามันก็
น่าจะเหมือนขับรถนั่นแหล่ะ แต่ไปขับอยู่บนฟ้า ไม่มีเครื่องบินติด ไม่มีไฟแดง สบายจะตาย แถมได้ตังค์เยอะอีก แต่พอได้มาสัมผัสการทำงานอย่างใกล้ชิดนั้นกลับรู้สึกว่าการจะเป็นกัปตันได้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่พอได้เป็นแล้วนั้นสิเป็นอะไรที่ยากมากกว่า เพราะคุณต้องรับผิดชอบมากมายก่ายกอง ไหนจะเรื่องการบังคับเครื่องบิน ทุกๆ ครั้งแม้จะเป็นเส้นทางเดิมก็ใช่ว่าจะขับแบบเดิมๆ ได้ ไหนจะฟ้าฝน ฤดูกาลที่เปลี่ยนไป เพื่อนร่วมน่านฟ้าที่ต่างชาติต่างภาษา การทำงานที่แตกต่างไปในแต่ละประเทศที่เดินทางไปทำให้ต้องปรับตัวปรับสภาพไปตามสภาวะแวดล้อมทุกครั้งไป ห้องทำงานก็ใช่ว่าจะนั่งสบายเหมือนห้องผู้บริหาร ทั้งแคบทั้งร้อน
อีกต่างหาก ฉันว่ากัปตันต้องมีความอดทนสูงมาก สมาธิก็สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นวินัยและ
การใช้ชีวิตก็ต้องมีระเบียบ เพราะคุณต้องรับผิดชอบชีวิตคนทีละหลายๆ ร้อยคน ในทุกๆ วัน 
ไอ้ความเท่ห์นี่ก็ยังมีอยู่ แต่ความรับผิดชอบมาพร้อมอำนาจอย่างที่สไปเดอร์แมนเขาพูดไว้จริงๆ 

11 ตุลาคม 2554

28. สัญญลักษณ์พาไป

     รถแท้กซี่ที่ทางโรงแรมโทรเรียกให้มาถึงตรงเวลา เราขนกระเป๋าอันหนักอึ้งใส่ท้ายรถและก้าวเข้าไปนั่งในรถ ใจหนึ่งก็ดีใจที่จะได้กลับบ้าน อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่ายังเที่ยวไม่พอ เวลา 12 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกว่าวางแผนพลาดไปหลายอย่าง ไม่ได้ไปหลายๆ ที่ที่ควรจะไปในโตเกียวกลับไปเสียเวลากับการเดินห้างฯ ซะเยอะเกินไปหน่อย รู้สึกเสียใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดว่าคงต้องกลับมาเที่ยวอีกแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
     เรามาก่อนเวลารถไฟเลยต้องนั่งรอครู่ใหญ่ รถไฟมาตรงเวลาและออกตรงเวลา อย่ามัวโอเอ้เดินเถลไถล ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ “สัญญลักษณ์” ของการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทางที่ใช้ทั้งตัวหนังสือและรูปกราฟฟิกต่างๆ สำหรับคนที่อาจจะอ่านทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษไม่ออก แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือสัญญลักษณ์ในการใช้ตกแต่งสถานที่ ตอนที่เราเดินทางไปถึงสถานีรถไฟโตเกียวนั้น ด้วยขนาดที่ใหญ่และบริการที่มีมากมาย ตั้งแต่การเดินทางต่างเมือง รถไฟเองก็มีหลายรูปแบบ ไหนจะยังรถไฟแบบที่เดินทางไปสนามบินโดยเฉพาะอีก ต้องดูให้ดีว่าต้องเดินไปขึ้นตรงไหน ไอ้เราก็พยายามเดินตามป้ายไม่ให้พลาด แต่ไหง
หาลิฟท์เพื่อลงไปยังชานชลาไม่เจอก็ไม่รู้ โชคดีมีคุณลุงที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดมาชี้ทางให้แต่ชี้ลงไปบนพื้นนะ ตอนแรกเราก็งงๆ แต่พอเบ่ิงตาดูถึงได้รู้ว่ามันมีสัญญลักษณ์บ่งบอกอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่ได้สังเกต ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวลองมองบนพื้นของสถานีรถไฟโตเกียว
ดูกระเบื้องที่ถูกปูไว้นั้นจะมีสีที่แตกต่างแล้วถ้าคุณมองตามสีนั้นไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่ามันเป็นทางที่นำไปสู่ลิฟท์นั่นเอง แถมบนพื้นยังมีแนวปูดๆ ขึ้นมา เดาว่าคงทำไว้ให้สำหรับคนตาบอดได้เดินตาม เห็นดังนั้นตาเราก็เลยเร่ิมสว่าง ขอบอกขอบใจคุณลุง แกก็ยิ้มรับด้วยหน้าตาท่าทางใจดี
     ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีการใช้สัญญลักษณ์ค่อนข้างมาก เร่ิมต้นตั้งแต่ตัวหนังสือเขาเลย 
ทุกคำนั้นประกอบกันให้เป็นรูปภาพที่อธิบายความหมายของคำนั้นๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาเป็นประเทศที่มีงานดีไซน์เก๋ไก๋ล้ำสมัย การ์ตูนดังๆ มากมาย ทุกส่ิงอย่างแต่ละช้ินแต่ละอันนั้นต่างถูกประดิษฐ์ประดอยจัดให้สวยงามและมีความหมายทั้งนั้น
     การเดินทางไปสนามบินนาริตะนั้นใช้เวลากว่าชั่วโมง ก่อนลงต้องสังเกตให้ดีว่าต้องลง
เทอร์มินัล (Terminal) ไหน เพราะมีทั้งหมดสองแห่ง 2 ขึ้นอยู่กับสายการบินที่เราโดยสาร สำหรับสายการบินไทยจอดเครื่องบินที่เทอร์มินัล 1 ก็ต้องนั่งไปสุดสายของนาริตะเอ็กส์เพลส เพราะเทอร์มินัล 2  จะถึงก่อน เมื่อไปถึงสนามบินเราก็รีบไปเช็คอินกลัวว่าจะแถวยาว สำหรับ
ขาออกต่างประเทศนั้นอยู่ที่ชั้น 4 และแม้ว่าน้ำหนักกระเป๋าจะเกินไปบ้างแต่พนักงานไม่ว่าอะไรแถมแจกย้ิมและโค้งคำนับอีกหนึ่งทีทำให้เราโล่งใจว่าไม่ต้องจ่ายเงินเพ่ิม (เดินทางครั้งที่แล้วจ่ายค่าปรับซะเข็ดเลย) มีเวลาเหลือเราจึงไปหาอาหารเช้าทานกัน ที่นี่มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย แต่เราเลือกร้านซื้อเบเกิล (Bagel) ที่ร้าน Bagel &Begel เป็นร้านขายเบเกิลสไตล์นิวยอร์ค (แต่จริงๆ แล้วสัญชาติญี่ปุ่นนะ) มีเบเกิลแบบต่างๆ กว่า 10 ชนิด แบบธรรมดา แบบมีงา หัวหอม ลูกเกด บลูเบอร์รี่ หรือแม้กระทั่งชาเขียว (อันนี้คงเป็นภาคบังคับ ถ้าไม่มีก็เสียชื่อการเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นน่ะสิ) และเลือกไส้ได้ตามต้องการ เช่น แฮม แซลมอน กุ้งกับอโวคาโด ไก่เทอริยากิ หรือใครไม่ทานเนื้อสัตว์ก็สามารถสั่งไส้ผักได้ ซื้อเสร็จเราเดินข้ามไปนั่งดื่มกับกาแฟที่ร้านสตาบัคส์ฝั่งตรงข้าม อ่ิม อร่อย ฉีดคาเฟอีนเข้าเส้น ก่อนขึ้นเครื่อง
     ฉันมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่หายอยู่โรคหนึ่ง ซึ่งจะมีอาการอันตรายร้ายแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับส่ิงของรอบตัวและความหนาของกระเป๋าตังค์ นั่นก็คือโรคช้อป หลายคนก็คงเป็นเหมือนกัน ใครมีหมอดีช่วยส่งมาแนะนำหน่อย เงินเยนในกระเป๋ายังพอมีเหลือ ไม่มากพอที่จะเสียเวลากลับไปแลกเป็นเงินไทย แต่ก็ไม่น้อยที่จะซื้อของฝากตามร้านค้าในสนามบินได้อีกนิดหน่อย เราเดินหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเศษเงินเหลือ พลันสายตาก็หันไปเจอกับตู้แช่ช้อคโกแล๊ตเชื้อชาติญี่ปุ่นชื่อ Royce ซึ่งราคาขายที่กรุงเทพฯ นั้นค่อนข้างสูงอยู่  เลยพุ่งตัวเข้าไปเลือกกันคนละหลายกล่อง เพราะราคาที่นี่ผิดกันลิบลับ ประมาณหนึ่งในสามเท่านั้น 
แถมมีหลายรสชาติหลายรูปแบบให้เลือก ทั้งช้อคโกแล็ตรสนม แบบขม ผสมถั่ว คุ้กกี้ ถ้าใครมีโอกาสไปญี่ปุ่นก็แนะนำให้ลองชิมและซื้อกลับบ้านมาเป็นของฝาก เพราะรสชาติที่อร่อยแบบแตกต่าง ไม่เข้มข้นจนเกินไปนัก แต่หวานกลมกล่อม และที่พิเศษคือเนื้อช้อคโกแล๊ตที่นุ่มลิ้นละลายในปากไม่ต้องให้ฟันทำงานหนัก
     เราขึ้นเครื่องด้วยของพะรุงพะรังเต็มสองมือ เงินที่เหลืออยู่หมดเกลี้ยง แถมยังรูดเครดิตการ์ดเพ่ิมไปอีกต่างหาก เห็นมั้ยว่าโรคประจำตัวของฉันนั้นมีอาการเข้าขั้นรุนแรงจริงๆ  

10 ตุลาคม 2554

27. ยิ่งพัฒนา ... ยิ่งเครียด

     เราตัดสินใจว่าจะทานซูชิที่ร้านเดิมที่อยู่แถวกินซ่ากันอีกครั้งเพราะเป็นมื้อสุดท้ายแล้ว 
หลังจากนั้นความตั้งใจที่จะแวะไปเข้าห้องน้ำในห้างฯ มารูอิ 0101 ก็ทำให้ฉันต้องเสียตังค์
ซื้อกระเป๋าและแว่นตากันแดด ต่อมช้อปปิ้งของฉันนั้นอ่อนแอมากๆ ติดเชื้อได้ง่าย แถมถ้ามี
ตัวกระตุ้น ตัวยุยง นี่ย่ิงไปกันใหญ่ ห้ามไม่อยู่ โรคช้อปกระจายจะแพร่ไปเร็วมาก รู้สึกอีกทีก็
อยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว อาการเข้าขั้นโคม่ารักษาไม่ได้ต้องปล่อยให้มันลามไปทั่ว แต่โรคนี้
ไม่ถึงตาย เมื่อมันลามไปจนกัดกินเงินจนหมดกระเป๋า บัตรเครดิตเต็มวงเงินแล้วอาการก็จะทุเลาลง
     ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราไปต่อแถวซื้อคริสปี้ ครีม เป็นครั้งสุดท้าย เอากลับบ้านด้วย 2 กล่อง พลันตาขวาฉันก็หันไปเห็นร้านขายวัฟเฟิล (Waffle) จากเบลเยี่ยม ที่อยู่ถัดไป อาการอยากลองก็จู่โจมฉันอีกครั้ง แถมช่วงนี้มีทีเด็ดคือราคาพิเศษ วัฟเฟิลใส่ไอสกรีมราคา 400 เยน พอได้ล้ิมลองแล้วก็พบว่ารสชาติก็งั้นๆ แหล่ะ แล้วก็นึกโกรธตัวเองที่จิตใจอ่อนไหว ไม่รู้จะกินอะไรนักหนา ปกติฉันไม่ใช่พวกติดขนมซะหน่อยกินข้าวก็กินเป็นมื้อไม่ต้องตบท้ายด้วยขนมเหมือนคนอื่น ระหว่างมื้อก็ไม่กิน แต่มาญี่ปุ่นทีไรเป็นต้องถูกล่อลวงโดยขนมหน้าตาดีๆ อยู่เรื่อยเชียว อะไรที่หน้าตาดีนั้นก็มักเป็นที่น่าสนใจอยากรู้จักให้มากขึ้นเสมอเช่นเดียวกับคน                  



     ที่ต่อไปที่ตั้งใจแวะไปเยี่ยมเยียนเป็นที่สุดท้ายก็คือร้านเครื่องเขียนอิโตย่าที่พลาดไป
เมื่อวันแรก เราใช้เวลาเดินดูของพอสมควรเพราะเขามีหลายชั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ของติดมือ คงเป็นเพราะหมดความตื่นเต้นแล้ว คนเราก็มักเป็นอย่างนี้แหล่ะ ได้พบเจออะไร
ครั้งแรกก็ย่อมต้องตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา แต่เมื่อได้ค้นหาแล้วไม่มีอะไรใหม่ก็จะพาลเบื่อ
ไปเอง
     ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อยเราจึงไปนั่งดื่มกาแฟกันที่ Doutor ร้านกาแฟสัญชาติญี่ปุ่น
ที่ชั้นสองของตึก San ai โชคดีได้ที่นั่งติดกระจกด้านหน้าพอดี เรานั่งพักอยู่นานทีเดียวเพื่อจะดูวิวเมืองโตเกียวเป็นครั้งสุดท้าย ที่นี่วิวดีเพราะเห็นสี่แยกกินซ่าที่ยุ่งเหยิงด้านล่างได้ชัดเจน แต่เรื่องรสชาติยังตาม สตาร์บัค อีกหลายช่วงตัว ทั้งๆ ที่ราคาใกล้เคียงกันมาก ที่ไม่ดีอีกอย่างคือเขาอนุญาตให้คนสูบบุหรี่ได้ เราเลยต้องนั่งท่ามกลางสิงค์รมควัน (ประเทศไทยนี่ถือว่าล้ำสมัยสุดๆ ที่ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ฉันชอบกฏหมายนี้มากเป็นพิเศษ) โดยเฉพาะชายวัย
กลางคนชาวญี่ปุ่นที่นั่งด้านข้างซ้ายของฉัน เขาอยู่ในชุดสูทผูกไทดื่มกาแฟหมดไปแล้ว
หนึ่งแก้วแต่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวน ตอนแรกฉันไม่ได้สนใจอะไรแก แต่มาเริ่มสังเกตสังกาตอนที่แกเร่ิมพูดคนเดียว สำรวจดูก็ไม่เห็นว่าเสียบบลูทูธพูดโทรศัพท์กับใคร สงสัยจะเครียด เราก็นั่งเรื่อยเปื่อยไปอีกซักพักใหญ่ คราวนี้ชายคนนั้นเร่ิมฉีกซองน้ำตาลแล้วก็เทลงไปในปาก (เอ หรือว่าน้ำตาลในเลือดจะตกเลยต้องเติมความหวาน ฉันยังมองโลกในแง่ดีอยู่) แล้วก็ยังคงพูดพึมพำคราวนี้แถมด้วยอาการหัวเราะอีก ฉันเร่ิมกังวล
หน่อยๆ เกรงว่าแกจะเพี้ยนๆ แต่ยังไม่แสดงอาการตื่นตะหนกออกมาให้ใครเห็น นั่งอีกซักพักแกก็ฉีกซองน้ำตาลแล้วเทใส่ปากอีก ยิ่งเติมน้ำตาลก็ย่ิงคึก พูดคนเดียวไปเรื่อย แถมหัวเราะ
ในคำพูดของตัวเองอีกแน่ะ ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครแถวนั้นสนใจ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
เอ หรือว่าฉันเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นกันนะ แต่มันก็อดคิดไม่ได้นี่นาว่าคนปกติธรรมดาที่ไหน
จะพูดคนเดียวแถมทำอาการประหลาดๆ อีก สรุปเอาเองว่าไม่บ้าก็เครียดมาก ยิ่งเศรษฐกิจ
ในช่วงนี้ไม่ดีเอามากๆ อาจทำให้คนเครียดถึงขั้นประสาท นี่คงเป็นอีกหนึ่งมุมมองของวิถีญี่ปุ่น ย่ิงพัฒนาก็ย่ิงต้องแข่งขัน ย่ิงเหนื่อย  ย่ิงเครียด และท้ายที่สุดก็ยิ่งไม่มีความสุข



     ใครเคยดูหนังเรื่อง โตเกียว โซนาต้า (Tokyo Sonata) รึเปล่าเป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงสังคมเมืองญี่ปุ่นในยุคที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คนตกงานกันเยอะ โดยเฉพาะพวกพนักงานที่มีอายุแต่ไม่มีการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ทำให้บริษัทเห็นว่าพวกเขาไม่มีค่าไม่มีความหมายและจัดการให้ออกไปในที่สุด ในขณะที่สังคมญี่ปุ่นพัฒนาไปเรื่อยๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ยังยึดติดกับวัฒนธรรมและค่านิยมเดิมๆ ทำให้ผู้ชายยังคงตั้งตัวเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นผู้หารายได้มาให้ภรรยาจับจ่ายใช้สอยภายในบ้าน ไม่สามารถมีปาก
มีเสียงเถียงอะไรได้ ส่งลูกเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นลูกต้องอยู่ในโอวาททำในส่ิงที่พ่อคิดว่าดี เมื่อถึงวันที่ตกงานก็รับสภาพตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถยอมรับได้ว่าตัวเองไร้ค่า บางคนไม่ยอม
ที่จะทำงานในหน้าที่ที่ไม่มีเกียรติ เช่นงานทำความสะอาด ทำให้ต้องดิ้นรนที่จะกลับไปทำงานในตำแหน่งเดิมหรือใกล้เคียง ย่ิงดิ้นรนมากก็ยิ่งทุกข์ใจมาก สถานะภาพของผู้นำทำให้
ไม่สามารถที่จะปริปากบอกความจริงหรือขอคำปรึกษาจากคนในครอบครัวได้  ทำให้เกิด
ช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหตุการณ์แย่ลงจนถึงขีดสุดแล้ว ก็อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะแก้ไขหรือปรับตัวอย่างไร จะยอมแพ้และฆ่าตัวตายแบบบางคน หรือจะเร่ิมต้นชีวิตใหม่ในแบบที่แตกต่างออกไป ทุกปัญหามีทางออก มีโอกาสอยู่รอบตัวเราเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะหยิ่งจนมอง
ไม่เห็นมันรึเปล่า หรือเรามองเห็นมันแต่ไม่คิดว่ามันควรค่ากับคนอย่างเรา ความจริงแล้ว
จุดมุ่งหมายของแต่ละคนก็คือมีชีวิตให้อยู่รอดให้ได้ เวลาที่ท้อแท้ เหนื่อยอ่อน ฉันมักนึกถึง
คนที่มีโอกาสน้อยกว่า คนที่ลำบากกว่า คนที่ไม่มีสมรรถภาพทางร่างกายหรือความรู้เท่าเทียม เขายังอยู่ได้ เขายังขวนขวาย เขายังอดทน และที่สำคัญที่สุดเขายังมีความสุขได้ แล้วเราเองพยายามพอรึยังที่จะใช้ชีวิตให้มีคุณภาพ ไม่ใช่เพียงแต่มีชีวิตไปวันๆ
     คืนนี้เรากลับไปทานอาหารค่ำที่โรงแรมเพราะฟรี โรงแรมนี้ถ้าอยู่ติดต่อกัน 5 คืน จะได้กินอาหารค่ำฟรี 1 มื้อ สามารถเลือกกับข้าวจากเมนูได้ 2 อย่าง เสิร์ฟพร้อมข้าว สลัดและซุป ขนาดกำลังพออ่ิมไม่ใช่น้อยจนน่าเกลียด ตบท้ายด้วยการเดินไปซื้อขนมติงต๊องเมดอินเจแปนในร้านสะดวกซื้อไปเป็นของฝาก เราเก็บของที่เหลือลงกระเป๋าแล้วรีบนอนแต่หัวค่ำเพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง 



09 ตุลาคม 2554

26. คิดให้ล้ำ

     วันสุดท้ายเราทำกิจกรรมที่เบาหน่อยนั่นก็คือไปเที่ยวเล่นย่านรอปปงหงิ (Roppongi) 
ซึ่งเป็นย่านเมืองใหม่ของโตเกียว แถบนี้เป็นแหล่งรวมของหลายๆ ส่ิง ออฟฟิส สถานฑูต พิพิธภัณฑ์ แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารและบาร์ ต้องขอบคุณโครงการใหญ่สองแห่งที่ทำให้
รอปปงหงิกลายเป็นแหล่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนั่นก็คือ รอปปงหงิฮิลล์ (Roppongi Hills) 
และโตเกียวมิดทาวน์ (Tokyo MidTown) ซึ่งเปลี่ยนโฉมรอปปงหงิจากย่านท่องเที่ยว
กลางคืนให้กลายเป็นศูนย์รวมของศิลปะและแฟชั่น
     รอปปงหงิฮิลล์ เพ่ิงสร้างเสร็จเมื่อปีค.ศ. 2003 มีตึกโมริที่สูงถึง 238 เมตร สูงเสียดฟ้า
เห็นแต่ไกล ที่นี่เป็นแหล่งรวมของทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ออฟฟิส รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์โมริ (Mori Art Museum) ที่อยู่ชั้นบนสุด ที่แสดงงานศิลปะร่วมสมัยซึ่งจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแสดงกันตลอดทั้งปีและจุดชมวิวเมืองโตเกียวจากชั้นบนสุดของตึก นอกจากนี้บนถนนสายเคยากิ ซากะ โดริ (Keyaki-zaka Dori) ยังมีงานศิลปะในชีวิตประจำวันที่สร้างโดยศิลปินชั้นนำนั่นก็คือม้านั่ง 11 ตัวที่ตั้งไว้ตลอดริมทางและอีก 1 ป้ายรถเมล์ 
ดูรายละเอียดเพ่ิมเติมเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ได้จาก http://www.mori.art.museum บริเวณเดียวกันยังเป็นที่ตั้งของตึกสถานีโทรทัศน์อาซาฮี (TVAsahi) และสร้างสมดุลด้วยสวนโมริสไตล์ญี่ปุ่นเพื่อลดทอนความแข็งกระด้างของตึกสูง นับเป็นโอเอซิสในเมืองใหญ่
     เดินถัดจากรอปปงหงิฮิลล์ไปไม่ไกลนักก็จะเจอ โตเกียวมิดทาวน์ (Tokyo Midtown) ซึ่งเป็นตึกสูงในลักษณะเดียวกับรอปปงหงิฮิลล์ เพ่ิงเปิดตัวไปเมื่อปีค.ศ. 2007 และสูงกว่านิดนึงคือ 248 เมตร ในตัวตึกก็รวบรวมร้านค้า ออฟฟิส ร้านอาหาร โรงแรม และพิพิธภัณฑ์เช่นเดียวกัน แต่ที่นี่ดูเหมือนจะคุมโทนของทุกส่ิงอย่างไว้ได้อย่างดี สีโดยรวมของตึกนั้นจะเป็นสีน้ำตาล
และเงินไม่ว่าจะเป็นร้านอะไรก็ตามแม้แต่ 7 Eleven ยังไม่มีสีส้มเขียวซึ่งเป็นสีโลโก้ของเขาเลย ตัวตึกนั้นเน้นความโปร่งใสมีโครงสร้างเป็นกระจกซะมาก ทำให้รู้สึกไม่อึดอัดเมื่อยู่ในตึกสูงขนาดนั้น แถมด้านนอกยังมีพื้นที่แบ่งให้สวนอย่างใหญ่มาก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ถ้าใครจะมาเที่ยวก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพราะกว่าร้านค้าจะเปิดก็ 11 โมง ไม่ต้องรีบ



     คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าดีไซน์และความคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างความแตกต่างและเพิ่มค่า
ให้กับของได้เพราะถ้าจะไปพึ่งแต่ความสามารถในการผลิตคงสู้ใครเขาไม่ได้เพราะค่าครองชีพและค่าแรงที่ญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างสูง จะให้ผลิตสินค้าราคาถูกแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านคงไม่ไหว นี่เองเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาให้ความสำคัญกับสมองของมนุษย์มากๆ ให้การสนับสนุนและมีโครงการพัฒนาศักยภาพในเรื่องงานดีไซน์ อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะมากมาย เพราะยิ่งถ้ามีงานดีไซน์ที่โดดเด่นออกมาก็จะได้รับการยอมรับจากทั่วโลก นั่นหมายถึงวัฒนธรรมที่
แพร่หลายและรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำ
     ที่โตเกียวมิดทาวน์เองก็เป็นที่ที่ให้ความสำคัญกับงานตกแต่งและดีไซน์เช่นเดียวกัน พิพิธภัณฑ์ซันโตรี (Suntory Museum of Art) เป็นที่แสดงงานศิลปะที่ปรากฏอยู่ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ เช่น ภาพเขียนเซรามิค ผ้าทอมือ ของใช้ภายในบ้านที่ทำจากไม้ขัดเคลือบเงา ตั้งอยู่ตรงตึกข้างๆ โตเกียวมิดทาวน์ข้างๆ มีสวน
     นอกจากนี้ยังมี 21_21 Design Sight ที่เป็นที่แสดงงานดีไซนที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตประจำวัน แค่ที่มาของชื่อก็น่าสนใจแล้ว เพราะแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดแบบก้าวหน้า สายตาปกติของมนุษย์ที่เห็นสิ่งของได้ชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยแว่นตาช่วยนั้นเค้าเรียกกันว่าสายตาแบบ 20_20 คือสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 20 ฟุต ทีนี้ผู้คิดค้นชื่อของ 21_21 Design Sight ก็คิดว่าถ้าจะให้มีสายตาและความคิดที่กว้างไกลกว่าปกติตัวเลขก็ต้องเกิน 20 แหงๆ เลยตัดสินใจใช้ 21_21 Design Sight เพื่อแสดงให้เห็นว่าที่นี่เป็นที่ที่เห็นและคิดล้ำเกินมนุษย์ปกติหรือเห็นไปถึงอนาคตนั่นเอง อืมม์ แม้แต่ชื่อยังลึกซึ้งเลย แสดงให้เห็นว่า
คนที่นี่เค้าคิดเลยกว่ามนุษย์ปกติจริงๆ 
     เราเดินต่อไปแถวๆ ย่านอาซาบุ จุบัน (Azabu Juban Shopping Town) ลงจากเนิน
รอปปงหงิมาหน่อย แถบนี้เป็นที่อยู่ของสถานฑูตมากมาย ที่พักของคนชื่อดังหลายคน มีร้านค้าเล็กๆ ขายของพื้นเมืองและต่างชาติ อาหาร ขนมญี่ปุ่น คาเฟ่ เดินแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน
     ด้วยพลังของโปรเจคสองแห่ง รอปปงหงิฮิลล์ และโตเกียวมิดทาวน์นี้เหมือนทำศัลยกรรมตกแต่งให้ย่านรอปปงหงิเปลี่ยนโฉมไปเป็นแหล่งรวมความทันสมัยและดีไซน์ของโตเกียว 
จากที่แต่ก่อนย่านนี้จะถูกมองว่าเป็นเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีที่คราคร่ำไปด้วยไนท์คลับประมาณว่าสถานที่อโคจร แต่ตอนนี้เป็นที่ที่ผู้รักศิลปะและงานดีไซน์ควรจะโคจรไป

08 ตุลาคม 2554

25. หอคอยแห่งความทรงจำ

     โตเกียวมีที่เที่ยวอีกหลายที่แต่ถ้าจะให้ใกล้ชิดคนพื้นเมืองและวิถีแบบญี่ปุ่นหน่อยก็ต้องไปที่ตลาดขายส่งปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึกิจิ (Tsukiji) พวกร้านอาหารหรือร้านขายปลาจะมา
ต่อรองซื้อพวกอาหารทะเลกว่า 450 ชนิด เค้าเร่ิมซื้อขายกันตั้งแต่ตีห้าจนถึงประมาณสิบโมงเช้าแต่แปดโมงกว่าๆ ตลาดก็เริ่มวาย แต่ก่อนเขาก็อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปดูได้แต่มาหลังๆ มีนักท่องเที่ยวเข้าไปดูเป็นจำนวนมากทำให้เกิดความไม่สะดวกกับพ่อค้าแม่ค้าขายปลีกที่มาเลือกประมูลและซื้อปลา อนุญาตให้เพียงแค่กลุ่มเด็กนักเรียนที่จองมาล่วงหน้าคงเพื่อการศึกษา ไม่เป็นไรเราสามารถเดินเล่นตรงตลาดที่อยู่ด้านนอกได้ซึ่งน่าจะสนุกกว่า เพราะด้านในเราคงไม่มีโอกาสได้ซื้ออะไรกับเค้า
     ด้านหน้าทางเข้าตลาดนั้นมีศาลเจ้า นามิโยเกะ อินาริ (Namiyoke Inari Jinja) ซึ่งได้รับการบูชานับถือโดยชาวประมง และพ่อค้าแม่ค้าที่ทำการค้าขายอาหารทะเลแถวๆ นั้น ซึ่งมักจะมาสวดมนต์ขอพรให้ปลอดภัยจากคลื่นลม รวมทั้งให้มีความเจริญก้าวหน้าในการค้าขาย 
ศาลเจ้านี้สร้างขึ้นหลังจากที่เขื่อนกั้นชายฝั่งถูกทำลายหลายครั้งหลายครา และครั้งหนึ่งมี
รูปปั้นเทพเจ้าองค์หนึ่งลอยมาเกยชายฝั่ง หลังจากนั้นชาวบ้านจึงเร่ิมกราบไหว้บูชาทำให้ไม่เกิดเหตุร้ายต่างๆ อีก ช่วงเดือนมิถุนายนจะมีการแห่รถแห่ที่มีรูปมังกรซึ่งมีอำนาจควบคุมเมฒ 
เสือสยบลมและสิงโตปราบทุกส่ิง
     ตรงบริเวณร้านค้าด้านนอกตลาดนั้นแทรกตัวอยู่กันตามตรอกเล็กๆ สามารถเดินดูถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนาน มีอาหารทะเลสดๆ จัดวางให้เลือกซื้อมากมาย พวกปลาต่างๆ เราอาจจะพอคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ที่ฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจเห็นจะเป็นปลาหมึกยักษ์และก้ามปู มันช่างใหญ่จริงๆ ประหนึ่งว่าเราอยู่เมืองคนยักษ์ นอกจากร้านขายอาหารสดแล้ว ก็มีร้านอาหารหลากหลายประเภทเปิดให้บริการตั้งแต่ตีห้าและปิดในช่วงกลางวัน เห็นร้านขายไข่หวานชื่อดังคนต่อคิวกันยาวเหยียดคงจะอร่อยน่าดู กลิ่นน้ำซุปจากร้านบะหมี่ก็เย้ายวนใจ ซูชิก็สดน่ากิน เลือกไม่ถูก ถ้ายังไม่หิวก็เดินเล่นดูข้าวของแถวๆ นั้นก่อน พวกเครื่องใช้ในครัวเรือน จานชาม กาและถ้วยน้ำชาก็มีให้เลือก หรืออาหารของกินเล่นขนมกระจุกกระจิกกินแก้เหงา
     ถ้ายังพอมีเวลาจะไปเที่ยวที่โตเกียวทาวเวอร์อีกซักที่ก็จะได้อีกอารมณ์ ไอ้ประเทศทาวเวอร์ทั้งหลายนี่ ฉันเคยไปแต่หอไอเฟิล (La Tour Eiffel) แต่ก็ไม่เคยขึ้นไปถึงยอดซักที เค้าบอกว่าจะเห็นวิวเมืองปารีสในมุมสูงได้สวยไปอีกแบบ หอโตเกียวนั้นสร้างด้วยแรงบันดาลใจจาก
หอไอเฟิลและตอบแทนด้วยการสร้างสูงกว่าถึง 13 เมตร ทำให้เป็นหอที่สูงที่สุดในโลก (ประเภทที่ทำจากเหล็กและรองรับนำ้หนักด้วยตัวเอง) หอนี้สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่สัญญาณวิทยุโทรทัศน์ของทุกช่องเพราะถ้ายอมให้แต่ละสถานีมีเสาสัญญาณกันเองสงสัยโตเกียวคงมีแต่
เจ้าหอนี่เกลื่อนตาเต็มไปหมด แล้วการที่จะส่งสัญญาณไปไกลครอบคลุมทั้งภาคคันโตะ (Kanto) ก็ต้องสร้างให้สูงเข้าไว้ เพราะต้องส่งให้ได้ไกลถึง 150 กิโลเมตรเลยทีเดียว สำหรับ
ที่นี่ฉันเคยขึ้นไปแล้ว โชคร้ายที่วันที่ไปหิมะดันตกอากาศก็ขมุกขมัวเลยไม่เห็นวิวเมืองโตเกียวสวยสมใจอยาก จุดชมวิวมีสองที่จุดแรกที่ความสูง 145 เมตร ส่วนจุดสูงสุดคือ 250 เมตร 
หอโตเกียวนั้นสามารถมาได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเพราะปิดตั้งสี่ทุ่ม แถมตอนกลางคืนยังเปิดไฟที่ประกอบด้วยไฟดวงเล็กๆ มากมายในหน้าร้อนจะใช้ไฟสีขาวส่วนหน้าหนาวเปลี่ยนเป็นไฟสีส้มเพื่อให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น บางทีไฟก็จะเปลี่ยนสีไปตามเทศกาลหรืองานสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นที่โตเกียว เช่นตอนที่ฟุตบอลโลกไปจัดที่ญี่ปุ่นในปี 2002 ไฟก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า ตอนที่เขารณรงค์เกี่ยวกับการรับรู้เรื่องมะเร็งเต้านมไฟที่หอโตเกียวก็เปลี่ยนเป็นสีชมพู
     นอกจากจะสามารถมาดูวิวเมืองโตเกียวด้านบนหอโตเกียวได้แล้วยังสามารถเที่ยวชม
กิจกรรมอื่นๆ ที่มีเตรียมไว้ที่นี่ได้อีกหลายอย่าง เรียกว่ามาเที่ยวได้ทั้งครอบครัวเพราะใน 4 ชั้นแรกของหอนั้นอัดแน่นไปด้วยส่ิงน่าสนใจอหลายอย่าง เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พิพิธภัณฑ์
หุ่นขี้ผึ้ง พิพิธภัณฑ์กินเนสแห่งโตเกียวที่รวบรวมสุดยอดส่ิงที่ได้รับการจดบันทึกไว้ว่ามีสถิติสูงสุดในด้านต่างๆ สวนสนุกและร้านอาหารหลายร้าน
     หอโตเกียวคงมีความสำคัญสำหรับคนญี่ปุ่นบางคนมากไปกว่าการเป็นหอใช้ส่งคลื่นวิทยุโทรทัศน์เพราะหอนี้ถูกสร้างตอนช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้และเสียหาย
ยับเยิน หอนี้จึงเหมือนเป็นสัญญลักษณ์สำหรับการเปลี่ยนแปลงและสิ่งใหม่ๆที่จะก้าวเข้ามา ไม่รู้ว่ามีใครเคยดูหนังญี่ปุ่นเรื่อง “โตเกียวทาวเวอร์” ที่เพ่ิงออกฉายเมื่อปี ค.ศ.​2007 รึเปล่า เป็นหนังดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว คงมีน้อยคนที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้เมื่อเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มกับแม่ที่กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง และความหวังสุดท้ายของเธอคือได้ขึ้นไปบนหอโตเกียวซักครั้งในชีวิต ไม่เฉลยแล้วกันว่าเธอได้ไปรึเปล่า อยากให้ไปหาดูกันเอาเอง
     เมื่อฉันได้ดูหนังเรื่องนั้นแล้วความรู้สึกที่เฉยๆ กับหอโตเกียวกลับเปลี่ยนไป บางทีสถานที่บางที่ก็เป็นมากกว่าอนุสาวรีย์หรือที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศเพราะอาจเป็นที่ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกดีๆ บางอย่าง ซ่อนความทรงจำดีๆ ที่ไม่มีใครล่วงรู้ หรือเป็นความหวังสุดท้ายในชีวิต เพราะงั้นเหล็กที่เราว่าแข็งทื่อสูงเสียดฟ้านั้นอาจกลับกลายเป็นดอกกุหลาบสวยที่เต็มไปด้วยความหลังและความหวังของใครบางคนก็ได้ 

07 ตุลาคม 2554

24. ช้อป กิน ฟัง ที่ชิบูย่า

     ย่านช้อปปิ้งที่ฉันชอบมากที่สุดในโตเกียวเห็นจะเป็นชิบูย่า (Shibuya) ซึ่งเป็นย่านแฟชั่น ดนตรี และอาหาร นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีชิบูย่าแล้วคุณจะตื่นตะลึง ทั้งตึกสูงใหญ่ที่
รายล้อมและผู้คนเบียดเสียดที่ต่างก็พากันมาเดินเล่นที่นี่
     ตรงลานด้านหน้าสถานีนั้นเป็นจุดนัดพบที่ดี มีรูปปั้นที่มีชื่อเสียงเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมา เป็นเรื่องราวของสุนัขผู้จงรักภักดีตัวหนึ่งชื่อว่า ฮาชิโกะ (Hachiko) พันธุ์อากิตะ (Akita) ซึ่งมีความรักและผูกพันต่อเจ้าของที่เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวชื่อว่า ฮิเดซาบุโระ อุเอโนะ (Hidesaburo Ueno) กิจวัตรประจำวันของทั้งสองนั้นก็คือทุกเช้าเขาจะออกไปสอนหนังสือ
และพอตกเย็นเจ้าฮาชิโกะก็จะไปรอรับเขาที่สถานีชิบูย่า เป็นอย่างนั้นอยู่นาน จนวันหนึ่ง
ฮิเดซาบุโระเกิดหัวใจวายและเสียชีวิตที่มหาวิทยาลัยจึงไม่มีโอกาสได้ร่ำลาและกลับมาเจอเจ้าฮาชิโกะอีก มันก็ยังมีความหวังเฝ้าแต่รอที่สถานีนี้เวลาเดิมทุกวัน แม้ว่าจะมีคนนำไปเลี้ยงที่อื่นแล้วก็ตาม แต่มันก็ต้องออกมารอพบฮิเดซาบุโระทุกๆ วัน เวลาผ่านไปเป็นสิบปีมันก็ไม่เคยหมดความหวัง ยังคงทำกิจวัตรแบบเดิมๆ ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเป็นประจำล้วนแต่รู้จักมันดีและมักจะทักทายและเอาขนมมาให้มันอยู่เสมอๆ รวมทั้งลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ฮิเดซาบุโระด้วย ในตอนนั้นเขากำลังศึกษาและเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์อากิตะอยู่ จึงได้เขียนเรื่องราวความประทับใจที่มีต่อฮาชิโกะจนได้ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของโตเกียว ทำให้ผู้คนทั่วประเทศได้รู้จักฮาชิโกะและต่างก็ประทับใจกับความจงรักภักดีและความรักที่มีต่อนายของมัน ถึงขั้นยกให้เป็นแบบอย่าง ผู้ใหญ่ต่างยกตัวอย่างเจ้าฮาชิโกะสอนเด็กๆ เรื่องความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อคนในครอบครัว รูปปั้นเจ้าฮาชิโกะถูกหล่อขึ้นและได้ตั้งไว้หน้าสถานีชิบูย่าซึ่งมันก็ได้ไปร่วมในงานเปิดตัวด้วย จนในที่สุดเวลาที่เจ้าฮาชิโกะจะได้พบเจ้าของอีกครั้งก็มาถึง มันตายด้วยโรคหนอนหัวใจ แต่ร่างกายมันได้ถูกสตัฟไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สามารถไปเยี่ยมมันได้ นอกจากนี้ประตูด้านหนึ่งของสถานีรถชิบูย่านั้นได้ตั้งชื่อว่า Hachiko Guchi เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับเจ้าหมาแสนกตัญญู และทุกๆ วันที่ 8 เมษายนของทุกปี ยังเป็นวันที่จะมีพิธีรำลึกถึงเจ้าฮาชิโกะอีกด้วย ซึ่งคนรักหมาทั้งหลายก็มักจะมารวมตัวกันที่สถานีชิบูย่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ผู้คนก็ไม่มีวันลืมเจ้าหมาแสนจงรักภักดีตัวนี้ได้


     อย่างที่บอกตอนต้นว่าชิบูย่าเป็นแหล่ง ช้อป กิน ฟัง ฉันจะเร่ิมต้นที่การช้อปก่อน
     ตึกที่เหมือนจะเป็นอนุสาวรีย์ของย่านชิบูย่าก็คือ Shibuya 109 เป็นตึกกลมๆ ที่ค่อนข้างสูง ร้านรวงแหล่งช้อปนั้นมีมากถึง 7 ชั้น (ชั้น 8 เป็นร้านอาหาร) ซึ่งเป็นของวัยรุ่นล้วนๆ พวกเสื้อผ้า หน้าผม เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ ของตกแต่งต่างๆ ฉันไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไรได้จากที่นี่หรอกแต่อยากเข้าไปเดินดูบรรยากาศการช้อปของเด็กวัยรุ่นโตเกียวมากกว่า ซึ่งต้องบอกว่าตื่นตาตื่นใจพอสมควรทีเดียว เด็กๆ ที่มาล้วนแต่ประโคมแต่งตัว
แต่งหน้ามาประชันกัน ดูแล้วก็เพลินตาดี เด็กญี่ปุ่นน่าตาน่ารักแล้วก็มีความมั่นใจสูงถึงสูงมาก เขาไม่ค่อยสนใจสายตารอบข้างที่มองหรอก ถ้าไม่มองนี่สิอาจหมดความมั่นใจได้ กว่าจะเบียดคนออกมาจากตึกได้แทบแย่เหมือนกัน เวลาปกติที่ไม่ใช่ช่วงปีใหม่คงเดินได้สบายกว่านี้


     ต่อไปเปลี่ยนโหมด (Mode) ไปกันที่โตเกียวแฮนด์ (Tokyo Hands) แรกเริ่มนั้นเปิดเป็นร้านประเภท “ทำเองเถอะ” (DIY : Do-it-yourself) สังเกตุง่ายๆ จากโลโก้ที่เป็นมือสองมือ 
เน้นขายของเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ งานอดิเรก และพวกของตกแต่งบ้าน แต่ตอนนี้นั้นไม่ว่าคุณจะนึกคิดอยากได้อะไรก็ตามเขามีขายหมด ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ ของเล่น เครื่องไม้เครื่องมือ กระเป๋าเดินทาง อุปกรณ์เดินป่า เสื้อยืด ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ของฝาก ของที่ระลึก โอ้ยสารพัดเลือกดูเลือกชมกันไม่หมด ฉันเลยเลือกซื้อของฝากเป็นนาฬิกาฝากหลานๆ ซะเลย เดินได้เพียงไม่กี่ชั้นไอ้ท้องเจ้ากรรมก็ร้องครางเพราะความหิว เลยต้องชักชวนพี่ตุ๊กไปหาซูชิกินกัน ร้านนี้เป็นร้านซูชิสายพานเช่นเคย ราคาซูเปอร์ถูก คือทุกจานราคา 120 เยน แต่มีข้อแม้นะจ๊ะ คุณต้องทานอย่างน้อยคนละ 7 จาน ตอนแรกฉันก็ลังเลแต่คราวที่แล้วยังทานได้เลยคราวนี้ก็น่าจะไหว ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งจับจองที่นั่งกัน ร้านนี้มีเมนูให้เลือกหลากหลายมาก และขนาดใหญ่กว่าร้านที่แล้ว คนนั่งกันเต็ม ไม่รู้ว่าเพราะอร่อยหรือถูก เราเริ่มลงมือปฏิบัติการกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากบรรเลงเพลงซูชิเสร็จก็นับได้ทั้งหมด 17 จาน อืมม์ ไม่เลว เฉลี่ยแล้วคนละ 8 จานครึ่ง นับว่าไม่ทำให้เจ้าของร้านผิดหวังแถมทำลายสถิติของตัวเองอีก ค่าเสียหาย 2,040 เยน ถือว่าคุ้มมากๆ


     เมื่อหนังท้องตึงก็ไม่ปล่อยให้หนังตาหย่อนเป็นอันขาด ว่าแล้วก็ไปเดินดูของกันที่ลอฟท์ (Loft) ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นห้างฯ ประเภทไลฟ์สไตล์ แต่เรื่องคอนเซ็ปต์และของที่ขายไม่แข็งแรง ที่นี่ก็เลยกลายเป็นห้างฯ​ ที่ขายของสะเปะสะปะไปหน่อย มีหลายชั้นอยู่เหมือนกัน แต่ละชั้นก็แบ่งประเภทของสินค้าเช่น ชั้นล่างขายเครื่องเขียน ถัดมาเป็นพวกเครื่องประดับ นาฬิกา แว่นตา ชั้นต่อๆ ไปเป็นของใช้ส่วนตัว เช่นแชมพู ครีมอาบน้ำ น้ำยาทำความสะอาดบ้าน กระเป๋า และเครื่องนอน ก็เลยงงๆ พี่ตุ๊กได้ซื้อนาฬิกายี่ห้อนิคสัน (Nixon) ที่ตอนนี้กำลังฮิต
ที่ญี่ปุ่นอยู่


     เดินไปอีกหน่อยก็จะเจอกับห้างฯ ปาร์โก้ Part 1, 2 และ 3 (Parco) (ตอนที่ฉันไปนั้น Parco 2 ปิดปรับปรุงชั่วคราว) ปาร์โก้ 1 นั้นเน้นขายแฟชั่นเสื้อผ้ามีทั้งชายและหญิง ดีไซน์ในและนอก มีร้านหนังสือ เครื่องเขียน และคาเฟ่ชั้นล่างสุด ส่วนชั้น 7, 8 เป็นร้านอาหาร ส่วนชั้น 9 เป็นโรงหนัง สำหรับปาร์โก้ 3 เน้นพวกเสื้อผ้าลำลองใส่เล่นๆ (แต่ราคาเล่นด้วยไม่ลง) ที่เพิ่มมาคือของตกแต่งบ้าน


     ชักจะเบื่อช้อปปิ้งแล้วล่ะสิ งั้นเรามาพักดื่มกาแฟกันดีกว่า ถ้ามาที่ชิบูย่าต้องพยายามหาที่แทรกตัวนั่งที่สตาร์บัคสาขาซึทาย่า (Tsutaya) ด้านที่ติดกับหน้าต่างให้ได้ เพราะเป็นร้านกาแฟที่เห็นวิวใจกลางชิบูย่าแจ่มชัดมากๆ เราจะเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจตรงด้านล่าง นั่นก็คือคลื่นคนที่รอข้ามถนนตรงไฟแดงที่นี่ ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มใหญ่เสมอ ถ้ามาเที่ยวโตเกียวใหม่ๆ อาจจะตื่นตระหนกถ้าคุณต้องไปเป็นคนยืนรออยู่ตรงนั้น อาจกลัวว่าจะโดนเหยียบ แต่จริงๆ แล้วคนที่นี่มีระเบียบดีมาก เมื่อไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวทุกคนก็จะก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้า
ไม่อืดอาดแต่ก็ไม่เร่งรัดจนกดดันคนที่อยู่ด้านหน้า ทุกคนเดินไปอย่างอัตโนมัติสวนกับคน
อีกด้านที่เดินผ่านมาด้วยอาการแบบเดียวกันแล้วก็ข้ามไปถึงถนนอีกฝั่งหนึ่งได้โดยปลอดภัย ทางข้ามที่นี่เค้าทำดีคือมีการข้ามทะแยงมุมด้วย ทำให้คนไม่ต้องข้ามถนนถึงสองครั้ง




     ฉันทิ้งพี่ตุ๊กไว้ที่สตาร์บัคเพื่อที่จะไปเดินดูของที่มารูอิ (Marui) และมารูอิ แจม (Marui Jam) ได้กระเป๋าใบสวยมาสองใบแต่กระเป๋าตังค์คงเบาไปอีกนาน
     นอกจากพวกแฟชั่นแล้ว ชิบูย่ายังมีร้านหนังสือและร้านเพลงใหญ่ๆ หลายแห่ง เช่น ซึทาย่า (Tsutaya)  เอชเอ็มวี (HMV) และทาวเวอร์เรคคอร์ด (Tower Records) นอกจากนี้ก็มีร้านเกมส์ต่างๆ รวมทั้งปาจิงโกะอยู่ตรงถนนเซนเตอร์ ไก (Center Gai) แถวนี้เด็กๆ มักชอบมาเดินเที่ยวเล่นกัน
     วันนี้ฉันเดินจนเมื่อยอีกเช่นเคยก็เลยซื้ออาหารกล่องจากโตคิวกลับไปทานที่โรงแรม 

06 ตุลาคม 2554

23. สวนสาธารณะแห่งความรู้

     วันนี้มีโอกาสตื่นสายอีกหนึ่งวันเพราะไม่ได้มีแผนเดินทางไปไหน เลยกะว่าจะไปเตรียมซื้อตั๋วรถไฟขากลับไว้ก่อน ไปกันที่สถานีรถไฟอูเอโนะ (Ueno) โดยการเดินไปจากโรงแรมเพราะอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อถามไถ่เจ้าหน้าที่แล้วปรากฏว่ารถไฟสายไคไซนั้นเร่ิมเดินเที่ยวแรกตอน
หกโมงครึ่งใช้เวลา 1 ชั่วโมง เมื่อคำณวนดูแล้วคิดว่าน่าจะฉุกละหุกเกินไปเพราะเที่ยวบิน
ของเราออกตอนเก้าโมงเช้า เราเลยตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปที่สถานีโตเกียวเพื่อจะไปซื้อตั๋วของรถไฟสายนาริตะเอกซ์เพรซ ปรากฏว่าเที่ยวแรกออกเวลาเดียวกัน เราเลยจำใจต้องซื้อตั๋ว
ในราคาคนละ 3,140 เยน แพงกว่าสายไคไซ​ แต่เพราะความขี้เกียจก็เลยต้องเลยตามเลย
     ย่านอูเอโนะนั้นความจริงมีที่เที่ยวที่น่าสนใจเหมือนกัน ช่วงเช้าลองแวะไปสวนสาธารณะ
อูเอโนะที่ซึ่งรวมส่ิงสำคัญไว้มากมาย เป็นสวนที่มีต้นซากุระกว่าพันต้นเพราะงั้นช่วงฤดูที่ซากุระบานอาจจะเดินเบียดกับผู้คนหน่อย ความงามทางธรรมชาติยังมีให้เห็นอีกนั่นก็คือทะเลสาป
ชิโนบาซุ (Shinobazu pond) ที่อยู่ในบริเวณสวน มีเรือให้พายเล่นด้วย มักมีนกบินหลบหนาวมาอาศัยพักพิง ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ก็มีให้สักการะ ศาลเจ้าโทโชกุ (Tosho-gu Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่บูชาท่านโชกุนอิเอยาซุ (Iayasu) และเจดีย์ห้าชั้นซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และรอดพ้นภัยพิบัติทั้งปวงมาได้ ทั้งสองอยู่ภายในบริเวณสวนสัตว์ เลยมักมีเด็กๆ มาเที่ยวเล่นกันมากมาย น่าเสียดายที่เจ้าแพนด้าที่ถูกส่งมาเป็นของขวัญจากประเทศจีนได้ตายไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ที่สวนสัตว์ก็เลยไม่มีสิ่งจูงใจให้มาเท่าไหร่ มีรูปปั้นที่น่าสนใจคือรูปของท่านไซโก ทากาโมริ (Saigo Takamori) ซึ่งเป็นซามูไรที่มีชื่อเสียงมาก เรียกว่าเป็นซามูไรที่แท้จริงคนสุดท้ายของญี่ปุ่น ในหนังเรื่อง “The Last Samurai” ก็ได้เอาเรื่องราวส่วนหนึ่งของท่านไปเป็นตัวละคร
ในนั้น ที่เล่นโดย เคน วาตานาเบ้ (Ken Watanabe) แต่ใช้ชื่ออื่นในเรื่อง และถึงแม้ว่าท่านจะเคยรบเพื่อต่อต้านการปกครองของรัฐบาลในยุคเมจิเนื่องจากความคิดเห็นเรื่องการบริหารบ้านเมืองไม่ตรงกันแต่ในที่สุดก็ได้รับการอภัยโทษ จึงมีรูปปั้นของท่านอยู่ที่สวนแห่งนี้
     ภายในสวนอุเอโนะแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอีกสามแห่ง ที่แรกคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติโตเกียว (Tokyo National Museum) ซึ่งแบ่งเป็นห้าตึก ตึกแรกนั้นชื่อฮอนกัน (Honkan) จัดแสดงศิลปะโบราณของญี่ปุ่นทั้งภาพวาด รูปปั้น เสื้อผ้าโบราณต่างๆ ถัดมาคือ
ตึกโทโยกัน (Toyakan) รวบรวมศิลปะชาติตะวันออกอื่นๆ ที่ไม่ใช่ญ่ีปุ่น โดยเฉพาะอย่างย่ิง
จีนและเกาหลีเพราะได้มีความสัมพันธ์กันมานานตึกเฮเซกัน (Heiseikan) ที่นี่รวบรวมศิลปะทางโบราณคดี ส่วนใหญ่จึงเป็นรูปปั้นและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ขุดเจอ แต่ว่าเขาจะผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ใช่งานแสดงที่อยู่ถาวรแกลเลอรี่ฮอยุจิ (Horyu-ji Treasures) นั้นรวบรวมสมบัติอันล้ำค่าที่เคยอยู่ที่วัดฮอยุจิที่นารา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระพุทธรูป หน้ากาก และภาพวาดสุดท้ายคือตึกเฮียวไคคัน (Hyokaikan) ตัวตึกนั้นโดดเด่นเพราะเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะตะวันตกในช่วงปลายของยุคเมจิ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกงานแต่งงานของเจ้าชายไทโช (Taisho) สมเด็จพระอัยยกาของพระจักรพรรดิ์ปัจจุบัน และมีไว้เพื่อแสดงงานศิลปะเฉพาะกิจ
     นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอีกสองแห่งซึ่งอยู่ในบริเวณสวนนี้เช่นกันนั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งชาติ (National Museum of Western Art) ตัวตึกออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เลอ คอบุซิเอ (Le Corbusier) เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการสานสัมพันธ์ทางการฑูตของญี่ปุ่นและฝรั่งเศสอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รวบรวมงานศิลปะตะวันตกไว้มากมายกว่า 4,500 ช้ิน มีตั้งแต่ยุค เรเนซองซ์ (Renaissance) บาโรค (Baroc) 
รอคโคโค (Rococo) จนมาถึงงานในยุคศตวรรษที่ 20
     พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Museum of Nature and Science) สำหรับงานแสดงแบบถาวรนั้นอยู่ที่สองห้องคือห้องโลก (Global Gallery) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของสรรพสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ และห้องญี่ปุ่น (Japan Gallery) 
ก็เน้นไปเรื่องของธรรมชาติของญี่ปุ่น และมีโรงหนังสามมิติที่ฉายแบบ 360 องศา คุณจะรู้สึกเหมือนได้อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ที่เขาฉายให้ดู สารคดีที่ฉายก็มีหลายเรื่องล้วนแต่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก เรื่องราวของไดโนเสาร์ ฯลฯ นอกจากว่าเขาจะอยากให้คนมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและที่มาที่ไปของโลกใบกลมนี้เขายังหวังปลุกจิตสำนึกให้คนรู้สึกรักธรรมชาติ และอยากปกป้องโลกของเราให้น่าอยู่ ให้มีระบบนิเวศที่ถูกต้องและมนุษย์ไม่ไปรุกรานธรรมชาติอยู่ด้วยกันอย่างมีสันติ นี่ถ้าพวกต้นไม้ ผืนดิน มหาสมุทร สัตว์น้อยใหญ่ต่างๆ รู้วิธีผลิตอาวุธนิวเคลียร์ล่ะก็ พวกมันคงยิงใส่มนุษย์ตายหมดแล้ว โทษฐานบุกรุกและแย่งชิงบ้านของมัน
     เห็นมั้ยว่าแค่มาสวนสาธารณะเราก็ได้เห็นและเรียนรู้อะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นมากมาย ทั้งธรรมชาติ คน ความรู้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และฮีโร่  

05 ตุลาคม 2554

22. วัดโคมใหญ่

     มาญี่ปุ่นคราวนี้ฉันเตรียมแผนการท่องเที่ยวเฉพาะที่เกียวโตเป็นหลักเพราะเห็นว่าโตเกียว
ก็เคยมาแล้วรู้จักเกือบหมดทุกที่และกะว่าจะมาช้อปป้ิงก่อนกลับบ้านอย่างเดียวเลยไม่ได้วางแผนอะไร (ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแรง) ทำให้ต้องพลาดหลายๆ สถานที่
ที่น่าสนใจไป แต่ไม่เป็นไร ญี่ปุ่นใกล้นิดเดียวเดี๋ยวมาใหม่ก็ได้
     ใครอ่านมาถึงตรงนี้คงต้องคิดว่าฉันบ้าช้อปปิ้งเอามากๆ ความจริงก็เป็นจริงอย่างที่คุณคิดกันนั่นแหล่ะแต่ด้านสาระก็พอมีบ้าง เอาเป็นว่าจะแนะนำที่เที่ยวที่น่าสนใจนอกจากห้างฯ เพื่อกระตุ้นต่อมสมองกันหน่อย
     เล่าให้ฟังถึงวัดเมจิ จิงกุ กันแล้ว มีอีกวัดที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ วัดเซนโซจิ (Senso-ji) หรือรู้จักกันดีในชื่อ วัดอาซากุสะ (Asakusa) หลายๆ คนคงคุ้นตากับโคมขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ที่อยู่ตรงด้านหน้าทางเข้าซึ่งเป็นฉากหลังอันเป็นที่นิยมในการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ถ้าอยากไปก็ง่ายมากนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีอาซากุสะ ซึ่งจะโผล่มาใกล้ๆ กับแม่น้ำสุมิดะ ตรงนั้นมีตึกที่น่าสนใจคือสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตเบียร์อาซาฮี (Asahi) เบียร์รสชาติดีของญีปุ่น ทำไมต้องสนใจตึกนี้ ก็เพราะว่าตึกมีรูปร่างประหลาดแปลกกว่าตึกอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ เป็นตึกสีดำที่รูปร่างเหมือนแก้วใส่เบียร์ส่วนด้านบนมีวัสดุรูปร่างยึกยือสีทองแปะอยู่ ดีไซน์โดยนักออกแบบชาวฝรั่งเศสชื่อดังระดับโลก ฟิลลิป สตาร์ค (Philippe Starck) สามารถเห็นโดดเด่นแต่ไกล ถ้าเห็นตึกนี้ก็แปลว่าเดินมาถูกทางแล้ว
     เดินเรื่อยไปอีกหน่อยก็จะเห็นทางเข้าวัดอาซากุสะที่มีเสาโทริสีส้มและโคมแขวนอยู่ตรงกลางผู้คนเดินกันขวักไขว่มากมาย แถวๆ ด้านหน้ามักจะมีรถลากมาจอดให้บริการ ซึ่งเขาจะลากพาคุณไปดูสถานที่สำคัญต่างๆ ตรงบริเวณใกล้ๆ ได้บรรยากาศการเดินทางแบบครั้งโบราณถ้าลองนึกภาพว่าตัวเองเป็นสาวญี่ปุ่นทาหน้าขาวปากแดงใส่กิโมโน
     ประตูทางเข้าด้านหน้า คามินาริมอน (Kaminarimon) เป็นทางเข้าชั้นนอกของวัด มีโคมใหญ่สีแดงที่มีเทพเจ้าคุ้มครองประตูซ้ายและขวา Raijin (ไรจิน) เทพเจ้าแห่งสายฟ้า และ Fujin (ฟูจิน) เทพเจ้าแห่งสายลม เมื่อเดินผ่านเข้ามาแล้วจะมีร้านค้าเรียงรายบนถนนเล็กๆ ที่ชื่อ
นากามิเซ (Nakamise) ซึ่งมีของให้คุณเลือกซื้อหาได้ตามใจชอบตั้งแต่พวกขนมอร่อยๆ ของ
ญี่ปุ่น ชุดกิโมโน พัด ตุ๊กตา ของที่ระลึกต่างๆ สารพัดชนิด นับว่าตื่นตาตื่นใจมาก กว่าจะเที่ยว
ดูชมแต่ละร้านจนเดินไปถึงด้านในของวัดนั้นก็ใช้เวลาพอสมควร แนะนำว่าดูพอได้อารมณ์ 
แล้วค่อยกลับออกมาซื้อทีหลังจะได้ไม่ต้องถือของพะรุงพุรัง ก่อนเข้าตัววัดจะมีประตูอีกชั้นหนึ่งชื่อว่า โฮโซมอน (Hozomon) มีโคมใหญ่แขวนและเทพเจ้าดูแลประตูเช่นกัน ตามธรรมเนียมต้องเดินไปปัดควันธูปที่จุดไว้ในกระถางใหญ่เข้าตัวถือว่าเพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง แล้วก็ต้องล้างมือล้างปากตรงที่เขาเตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นก็ไปไหว้พระขอพรตรงตัวโบสถ์ใหญ่ที่มี
พระประธานแคนนอน (Kannon) เทพเจ้าแห่งความเมตตาประดิษฐานอยู่ ประวัติของวัด
ค่อนข้างน่าสนใจมาก เล่าขานกันว่ามีชาวประมงตกปลาที่แม่น้ำสุมิดะแล้วก็พบพระพุทธรูป
จึงได้สร้างศาลเจ้าให้ท่านประดิษฐาน หลังจากนั้นจึงได้มีการสร้างวัดและขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงศรัทธา วัดอาซากุสะรอดพ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้แต่สงครามโลก
ครั้งที่ 2 ก็ได้ทำลายตัววัดซะราบคาบ วัดที่เราเห็นในปัจจุบันจึงไม่ใช่วัดต้นแบบแต่ได้สร้างขึ้นมาใหม่โดยเลียนแบบศิลปะในยุคเอโดะ
     บริเวณโดยรอบวัดนั้นมีอาคารอีกหลายหลังอยู่ภายในสวนที่จัดไว้อย่างสวยงาม เมื่อดูชมจนสมใจแล้วขากลับก็สามารถแวะซื้อของต่างๆ ที่เล็งไว้ตั้งแต่ตอนเดินเข้าไปได้อย่างสนุกสนาน มีร้านหนึ่งที่ฉันอยากจะแนะนำเป็นพิเศษซึ่งอยู่ด้านนอกตัววัดทางด้านซ้ายมือนั่นก็คือร้านที่ขายกระดาษสไตล์ญี่ปุ่น มีทั้งกระดาษสาและกระดาษหลากหลายรูปแบบ นำมาทำเป็นกระดาษเขียนจดหมายพร้อมซอง ปฏิทิน การ์ด หรือแม้แต่กระดาษห่อของขวัญ สวยมากๆ แต่ราคาค่อนข้างแพง ใครชอบสะสมไม่ควรพลาดเด็ดขาด
     แม่น้ำสุมิดะ (Sumida) เป็นแม่น้ำสายสำคัญของโตเกียวคงคล้ายกับแม่น้ำเจ้าพระยา
ของเราที่มีประโยชน์ทั้งในเรื่องการเดินทางเข้าเมืองมาแต่ครั้งโบราณรวมทั้งเป็นเส้นทาง
การค้าอีกด้วย แต่ก่อนโตเกียวก็มีแม่น้ำและคลองมากมายเหมือนกรุงเทพฯ น่าเสียดายที่ความเจริญเข้ามาแทนที่ทำให้เราไม่เป็นเวนิสตะวันออกอีกต่อไป การเที่ยวชมแม่น้ำสุมิดะนอกจากทางเท้าแล้วยังมีบริการเรือล่องแม่น้ำหลายรูปแบบ สามารถเที่ยวชมตึกสวยๆที่อยู่
ริมแม่น้ำตลอดสาย รวมทั้งเรือจะพาไปลอดผ่านสะพานสำคัญๆ ถึง 12 แห่งซึ่งทาสีต่างๆ กันไป ในช่วงเวลาที่ดอกซากุระบานก็เป็นอีกหนึ่งทางในการชมดอกซากุระริมน้ำได้อีกบรรยากาศ 
ในช่วงเดือนปลายเดือนกรกฏาคมก็มีเทศกาลจุดดอกไม้ไฟซึ่งสามารถนั่งเรือชมได้ 

04 ตุลาคม 2554

21. Window Shopping

     วันนี้เป็นวันช้อปป้ิงอีกเช่นเคย แต่ควรทำตัวให้มีวัฒนธรรมหน่อย
     เราตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นแถวย่านฮาราจูกุ (Harajuku) แหล่งรวมวัยรุ่นคล้ายๆ สยามสแควร์ แต่ก่อนไปเราควรไปวัดขอพรให้ชีวิตแจ่มใสนิดนึง ก็เลยไปวัดเมจิ จิงกุ ซึ่งอยู่ในละแวกนั้น นั่งรถใต้ดินไปลงสถานีฮาราจูกุ โผล่ขึ้นมาก็เจอวัดเลย ความจริงฉันเคยมาเยี่ยมชมแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็อยากกลับมาอีกทีเพื่อขอพรสำหรับปีใหม่นี้
     วัดเมจิ จิงกุนั้นเป็นวัดชินโตที่สำคัญมากที่สุดในโตเกียว เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาท่านจักรพรรดิ์เมจิ (Meji) และจักรพรรดินีโชเคน (Shoken) มีผู้คนมาเยี่ยมและขอพรกันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันปีใหม่ ว่ากันว่ามีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองมามากถึงสามล้านคน วัดเมจิ จิงกุนั้นถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลากหลายพันธุ์ปลูกไว้อย่างหนาแน่นรวมทั้งสวนสวยที่ท่านจักรพรรดิ์เมจิออกแบบด้วยพระองค์เองให้กับจักรพรรดินี ด้านหน้าทางเข้ามีเสาโทริสีน้ำตาลใหญ่มากๆ และเมื่อเดินผ่านเข้ามาด้านในทางเดินโรยกรวดเป็นระยะทางยาวพอสมควรกว่าที่จะเข้าไปถึงตัววัด บรรยากาศนั้นเงียบสงบแม้ว่าจะมีผู้คนมามากมายแต่ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็ต้องการพบกับความสงบทางจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ครั้งก่อนที่ฉันมานั้นตรงกับวันปีใหม่พอดีเลยต้องต่อแถวยาวมากและเบียดกับผู้คนมากมายแต่ทางวัดก็จัดให้เข้าเป็นกลุ่มๆ เพื่อกันไม่ให้เข้าไปออในบริเวณด้านในมากเกินไป แต่มาคราวนี้เราเดินกันอย่างสบายๆ ผู้คนบางตา



     ตามธรรมเนียมนั้นก่อนเข้าวัดต้องล้างมือล้างปากก่อน ทางวัดมีบ่อน้ำสำหรับผู้มาเยี่ยมเยือนตรงด้านหน้าก่อนทางเข้าสู่ตัววัด แต่ไม่ควรให้ปากโดนกับกระบวยที่เขาเตรียมไว้ให้ 
ครั้งที่แล้วด้วยความเซ่อซ่าไม่รู้จักพิธีการฉันเลยเผลอดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่รู้ตัวอีกทีก็บ้วนไม่ทันซะแล้ว เมื่อเข้าไปด้านในก็ควรไปไหว้พระขอพรซะหน่อย ตามธรรมเนียมการทำความเคารพของชาวญี่ปุ่นนั้นจะโค้งสองครั้งแล้วก็ตบมือสองครั้งจากนั้นจึงโค้งอีกหนึ่งครั้ง และถ้าอยากทำบุญก็สามารถโยนเหรียญลงไปในบริเวณด้านหน้าได้



     นอกจากซึมซับความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นและธรรมชาติที่แวดล้อมแล้วกิจกรรมยอดฮิตอีกสามอย่างก็คือการเสี่ยงเซียมซี เขียนคำขอพรบนไม้แล้วแขวนไว้ในที่ที่เขาจัดเตรียมไว้ และซื้อถุงผ้าโชคดี (Omamori) ที่มีคำอวยพรเขียนไว้ด้านใน แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น ความรัก ความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพ หรือแม้แต่การเรียน เค้าบอกกันว่าไม่ให้แกะออกดูด้านในเพราะไม่งั้นมนต์จะไม่ขลัง ครั้งที่แล้วฉันได้ซื้อเก็บไว้ใกล้ตัวเหมือนกันซึ่งเป็นแบบรวมฮิต



     วัดเมจิ จิงกุ นั้นอยู่ในย่านฮาราจุกุ เพราะฉะนั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าก็อาจจะพบเจอ
เด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวแรงๆ มาแข่งกัน บ้างก็มีกิจกรรมเพื่อให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น ถือป้าย “Free Hug” เราก็สามารถเข้าไปกอดกับเค้าได้ และเค้าก็ชอบที่จะถูกถ่ายรูป ไม่ต้องกลัวถูกเหวี่ยง ที่นี่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นมานานหลายสิบปีแล้วและมีชื่อเสียงในเรื่องการแต่งตัวแปลกๆ แรงๆ ล้ำสมัย แต่ไม่มีสไตล์ที่ตายตัว ใครชอบแนวไหนก็สามารถแต่งตามใจชอบได้ เห็นว่าหลังๆ นี้พวกที่มารวมกันมักเป็นเด็กต่างจังหวัดที่นั่งรถไฟเข้ามาในเมืองมากกว่า พวกเด็กโตเกียวเค้าเลิกมากันแล้ว วันอาทิตย์เป็นวันที่จะหาตัวพวกนี้ง่ายที่สุด เร่ิมต้นที่หน้าวัดเมจิ จิงกุนี่แหล่ะ



     ย่านนี้เป็นแหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่นโดยแท้มีทั้งของราคาถูกไปจนถึงแพงและแพงโคตร เรามาเริ่มต้นกันที่ซอย ทาเกชิตะ โดริ (Takeshita Dori) กันก่อน ซึ่งอยู่เยื้องๆ กับสถานีฮาราจูกุ หาไม่ยากด้านหน้้าจะมีเสาที่ตกแต่งสีสันสวยงาม ซอยนี้ยาวแค่ประมาณ 200 เมตร สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าขายของเสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้า เครื่องประดับมากมายหลากหลายสไตล์ สามารถสังเกตุแฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นในปัจจุบันได้ที่ซอยนี้รวมทั้งวัฒนธรรมการกินเครปด้วย มีร้านเครปข้างทางมากมายให้เลือก แต่ละร้านจะมีเด็กๆ ต่อแถวกันยาว สนนราคาประมาณ 300 เยนขึ้นไปแล้วแต่ว่าจะเลือกไส้อะไรซึ่งก็มีเยอะมาก เช่น ช้อคโกแล๊ตกล้วย สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ ลูกแพร์ ไอสกรีมรสต่างๆ ถ้าให้ได้อารมณ์ร่วมก็ต้องซื้อแล้วเดินกินแถวๆ นั้นแหล่ะ 
อ้อ ร้านแถวนี้เปิดสายหน่อยไม่ต้องรีบมาแต่เช้า ช่วงเช้าแวะไปไหว้พระก่อนแล้วกัน




     เมื่อเดินจนสุดซอยและก็จะออกไปเจอถนนเมจิ โดริ ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านเสื้อผ้าแฟชั่นน่าสนใจมากมาย ทั้งร้านใหญ่ร้านเล็กเดินดูกันเพลินตา ห้างฯที่ฉันค่อนข้างชอบมากนั้นก็คือลาฟอเร่ (La Foret) แหล่งรวมร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นมากมายกว่า 150 ร้าน บนตึกที่มีมากถึง 6 ชั้น แต่เดินเข้าจริงๆ นั้นนับได้เป็นสิบชั้นเพราะแต่ละชั้นก็จะแยกย่อยเป็นชั้น 1, 1.5, 2, 2.5 เรียกว่าเดินได้เป็นชั่วโมงๆ ไม่รู้จักเบื่อ แต่ละร้านก็ขายของแตกต่างกันไปไม่มีซ้ำ คนขายก็น่ารักแต่งตัวจัดจ้านชวนมอง และที่สำคัญขยันและให้การต้อนรับเอาใจใส่ลูกค้าดีมากๆ วัยรุ่นทั้งหลายไม่ควรพลาดที่นี่เด็ดขาด
     ข้างๆ ลาฟอเร่เป็นตึกของ เอชแอนด์เอ็ม (H&M) แบรนด์เสื้อผ้าของสวีเดน ซึ่งเพิ่งเปิดสาขาที่ฮาราจูกุเมื่อเดือนพฤศจิกายนนี้เอง เป็นแบรนด์ที่ราคาระดับปานกลางมีตั้งแต่เสื้อแบบใส่เล่นจนถึงพวกที่พอใส่ไปงานเลี้ยงค้อกเทลได้ ราคาก็มีตั้งแต่ถูกไปจนถึงแพงปานกลาง ถ้าย่ิงช่วงลดราคานี่น่าสนใจมาก แบบของเอชแอนด์เอ็มนั้นก็มีทั้งธรรมดาใส่ง่ายๆ จนถึงแบบที่ดีไซน์โดยดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลกหรือป้อบสตาร์เช่น มาดอนน่าก็เคยร่วมงานกับเอชแอนด์เอ็มมาแล้ว ส่วนด้านตรงข้ามลาฟอเร่นั้นเป็นร้านแก๊บ (Gap) มีหลายชั้น ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง 
ฉันมักมีปัญหากับแบรนด์ที่มาจากอเมริกาเพราะขนาดที่ใหญ่เกินหุ่นของผู้หญิงเอเซีย



     เดินขึ้นไปบนถนนโอโมเตะ ซานโด (Omotesando) อาจนึกว่าเดินอยู่แถวๆ ยุโรปได้ เพราะถนนที่กว้างสวยงามเพราะถูกประดับไปด้วยร้านแบรนด์ดังๆ เช่น ราฟ ลอเรน (Ralph Lauren) คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior) หลุยส์ วิคตอง (Louis Vuitton) ท๊อดส์ (Tod’s) แอนนิเวอร์แซร์ (Anniversaire) กุชชี่ (Gucci) แต่ละร้านก็แข่งกันตกแต่งตึกด้วย
สถาปัตยกรรมสุดล้ำสวยงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว ได้แต่ดูเพลินตา วกกลับมาที่ แคท สตรีท (Cat Street) เป็นตรอกเล็กๆ ที่มีร้านน่ารักๆ รวมทั้งคาเฟ่เก๋ๆ ให้เดินดูเล่นเพลินอีกเช่นเคยรวมไปถึงอันนา​ ซุย (Anna Sui) แคทสตรีทเป็นชื่อเล่นของถนน คิว ชิบูย่า กาว่า (Kyu Shibuya-Gawa Promenade) เพราะสมัยก่อนเป็นแหล่งรวมของแมวเหมียวที่มาเดินเล่นเพ่นพ่านกันมากมาย
     เราย้อนกลับไปที่ตรอกทาเคชิโดริอีกรอบเพื่อสำรวจเด็กๆ ที่แต่งตัวแรงๆ แต่พบว่าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวและวัยรุ่นแต่งตัวกันปกติทั่วไป ช่วงหลังเที่ยงนั้นคนแน่นมาก ร้านเปิดครบทั้งซอยแล้ว แต่มองไปมองมาหาซื้ออะไรได้ยากมาก เพราะคงมีไว้เพื่อแต่งมาเดินเล่นตรงตรอกนี้เท่านั้น ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือมีพวกชาวผิวดำยืนขายของแถวนั้นเยอะมาก ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาทำมาหากินที่ญี่ปุ่นนี้ได้ยังไง ดูๆ ไปก็ออกจะน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เราแวะทานข้าวเที่ยงตรงร้านแถวๆ นั้นเพราะเวลาล่วงเลยมาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว
     เราไปเดินเล่นต่อที่แถวย่านชินจูกุ คราวนี้ตัดสินใจแยกกันเดินเพราะต่างมีความสนใจที่ต่างกัน ฉันจะไปสำรวจแหล่งช้อปปิ้งเสื้อผ้า ส่วนพี่ตุ๊กจะไปขลุกตัวอยู่ในร้านหนังสือคิโนคุนิย่า แถวนี้มีห้างฯ ร้านให้เดินซื้อของมากมาย แต่ที่ฉันอยากแนะนำก็คือ ลูมิน (Lumine) และ แฟลค (Flags) เป็นห้างฯ ​ที่รวมหลายๆ ร้านเอาไว้ ล้วนแต่เป็นร้านที่มีของน่าสนใจ ดีไซน์เก๋ และอิเซตัน (Isetan) ที่มีของให้เลือกเยอะ เดินสบาย มีถึงสองตึกแบ่งของผู้ชายกับผู้หญิงไว้เป็นสัดส่วน แต่ละชั้นก็จะแบ่งของไว้เป็นจำพวกและมีความหลากหลายมาก ใครชอบกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าสะพายเก๋ๆ แม้แต่กระเป๋าเอกสารก็ควรมาที่นี่เพราะมีให้เลือกเยอะมาก พวกผ้าเช็ดหน้า ถุงเท้า ถุงน่อง ลายน่ารักๆ ก็มีให้จับจ่ายเพียบ โดยเฉพาะช่วงลดราคานั้นเค้าลดกันจริงๆ ไม่มีติ๋มๆ 10-20% อย่างน้อยต้องมี 30% ขึ้นไป
     วันนี้เหนื่อยขาลากอีกแล้วไม่เจียมตัวเลยเรา หมดเรี่ยวแรงเพราะตั้งหน้าช้อปอย่างเดียว เลยต้องซื้ออาหารกล่องจากอิเซตันกลับไปกินที่โรงแรมอีกเช่นเคย ด้านล่างของห้างฯ ใหญ่ๆ นั้นมักรวมเอาร้านอาหารดังๆ มาเปิดตัวขายให้กับลูกค้าจะได้ไม่ต้องไปต่อแถวรอกินกันถึงร้าน เพราะฉะนั้นสนนราคาก็จะแพงกว่าปกติ ถ้าใครหวังจะประหยัดเงินโดยการกินอาหารกล่องล่ะก็ไม่แนะนำ เพราะเผลอๆ จะเสียเงินแพงกว่ากินร้านซะอีก