10 ตุลาคม 2554

27. ยิ่งพัฒนา ... ยิ่งเครียด

     เราตัดสินใจว่าจะทานซูชิที่ร้านเดิมที่อยู่แถวกินซ่ากันอีกครั้งเพราะเป็นมื้อสุดท้ายแล้ว 
หลังจากนั้นความตั้งใจที่จะแวะไปเข้าห้องน้ำในห้างฯ มารูอิ 0101 ก็ทำให้ฉันต้องเสียตังค์
ซื้อกระเป๋าและแว่นตากันแดด ต่อมช้อปปิ้งของฉันนั้นอ่อนแอมากๆ ติดเชื้อได้ง่าย แถมถ้ามี
ตัวกระตุ้น ตัวยุยง นี่ย่ิงไปกันใหญ่ ห้ามไม่อยู่ โรคช้อปกระจายจะแพร่ไปเร็วมาก รู้สึกอีกทีก็
อยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว อาการเข้าขั้นโคม่ารักษาไม่ได้ต้องปล่อยให้มันลามไปทั่ว แต่โรคนี้
ไม่ถึงตาย เมื่อมันลามไปจนกัดกินเงินจนหมดกระเป๋า บัตรเครดิตเต็มวงเงินแล้วอาการก็จะทุเลาลง
     ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เราไปต่อแถวซื้อคริสปี้ ครีม เป็นครั้งสุดท้าย เอากลับบ้านด้วย 2 กล่อง พลันตาขวาฉันก็หันไปเห็นร้านขายวัฟเฟิล (Waffle) จากเบลเยี่ยม ที่อยู่ถัดไป อาการอยากลองก็จู่โจมฉันอีกครั้ง แถมช่วงนี้มีทีเด็ดคือราคาพิเศษ วัฟเฟิลใส่ไอสกรีมราคา 400 เยน พอได้ล้ิมลองแล้วก็พบว่ารสชาติก็งั้นๆ แหล่ะ แล้วก็นึกโกรธตัวเองที่จิตใจอ่อนไหว ไม่รู้จะกินอะไรนักหนา ปกติฉันไม่ใช่พวกติดขนมซะหน่อยกินข้าวก็กินเป็นมื้อไม่ต้องตบท้ายด้วยขนมเหมือนคนอื่น ระหว่างมื้อก็ไม่กิน แต่มาญี่ปุ่นทีไรเป็นต้องถูกล่อลวงโดยขนมหน้าตาดีๆ อยู่เรื่อยเชียว อะไรที่หน้าตาดีนั้นก็มักเป็นที่น่าสนใจอยากรู้จักให้มากขึ้นเสมอเช่นเดียวกับคน                  



     ที่ต่อไปที่ตั้งใจแวะไปเยี่ยมเยียนเป็นที่สุดท้ายก็คือร้านเครื่องเขียนอิโตย่าที่พลาดไป
เมื่อวันแรก เราใช้เวลาเดินดูของพอสมควรเพราะเขามีหลายชั้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ของติดมือ คงเป็นเพราะหมดความตื่นเต้นแล้ว คนเราก็มักเป็นอย่างนี้แหล่ะ ได้พบเจออะไร
ครั้งแรกก็ย่อมต้องตื่นตาตื่นใจเป็นธรรมดา แต่เมื่อได้ค้นหาแล้วไม่มีอะไรใหม่ก็จะพาลเบื่อ
ไปเอง
     ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อยเราจึงไปนั่งดื่มกาแฟกันที่ Doutor ร้านกาแฟสัญชาติญี่ปุ่น
ที่ชั้นสองของตึก San ai โชคดีได้ที่นั่งติดกระจกด้านหน้าพอดี เรานั่งพักอยู่นานทีเดียวเพื่อจะดูวิวเมืองโตเกียวเป็นครั้งสุดท้าย ที่นี่วิวดีเพราะเห็นสี่แยกกินซ่าที่ยุ่งเหยิงด้านล่างได้ชัดเจน แต่เรื่องรสชาติยังตาม สตาร์บัค อีกหลายช่วงตัว ทั้งๆ ที่ราคาใกล้เคียงกันมาก ที่ไม่ดีอีกอย่างคือเขาอนุญาตให้คนสูบบุหรี่ได้ เราเลยต้องนั่งท่ามกลางสิงค์รมควัน (ประเทศไทยนี่ถือว่าล้ำสมัยสุดๆ ที่ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ฉันชอบกฏหมายนี้มากเป็นพิเศษ) โดยเฉพาะชายวัย
กลางคนชาวญี่ปุ่นที่นั่งด้านข้างซ้ายของฉัน เขาอยู่ในชุดสูทผูกไทดื่มกาแฟหมดไปแล้ว
หนึ่งแก้วแต่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวน ตอนแรกฉันไม่ได้สนใจอะไรแก แต่มาเริ่มสังเกตสังกาตอนที่แกเร่ิมพูดคนเดียว สำรวจดูก็ไม่เห็นว่าเสียบบลูทูธพูดโทรศัพท์กับใคร สงสัยจะเครียด เราก็นั่งเรื่อยเปื่อยไปอีกซักพักใหญ่ คราวนี้ชายคนนั้นเร่ิมฉีกซองน้ำตาลแล้วก็เทลงไปในปาก (เอ หรือว่าน้ำตาลในเลือดจะตกเลยต้องเติมความหวาน ฉันยังมองโลกในแง่ดีอยู่) แล้วก็ยังคงพูดพึมพำคราวนี้แถมด้วยอาการหัวเราะอีก ฉันเร่ิมกังวล
หน่อยๆ เกรงว่าแกจะเพี้ยนๆ แต่ยังไม่แสดงอาการตื่นตะหนกออกมาให้ใครเห็น นั่งอีกซักพักแกก็ฉีกซองน้ำตาลแล้วเทใส่ปากอีก ยิ่งเติมน้ำตาลก็ย่ิงคึก พูดคนเดียวไปเรื่อย แถมหัวเราะ
ในคำพูดของตัวเองอีกแน่ะ ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครแถวนั้นสนใจ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
เอ หรือว่าฉันเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นกันนะ แต่มันก็อดคิดไม่ได้นี่นาว่าคนปกติธรรมดาที่ไหน
จะพูดคนเดียวแถมทำอาการประหลาดๆ อีก สรุปเอาเองว่าไม่บ้าก็เครียดมาก ยิ่งเศรษฐกิจ
ในช่วงนี้ไม่ดีเอามากๆ อาจทำให้คนเครียดถึงขั้นประสาท นี่คงเป็นอีกหนึ่งมุมมองของวิถีญี่ปุ่น ย่ิงพัฒนาก็ย่ิงต้องแข่งขัน ย่ิงเหนื่อย  ย่ิงเครียด และท้ายที่สุดก็ยิ่งไม่มีความสุข



     ใครเคยดูหนังเรื่อง โตเกียว โซนาต้า (Tokyo Sonata) รึเปล่าเป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงสังคมเมืองญี่ปุ่นในยุคที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คนตกงานกันเยอะ โดยเฉพาะพวกพนักงานที่มีอายุแต่ไม่มีการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ทำให้บริษัทเห็นว่าพวกเขาไม่มีค่าไม่มีความหมายและจัดการให้ออกไปในที่สุด ในขณะที่สังคมญี่ปุ่นพัฒนาไปเรื่อยๆ มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ยังยึดติดกับวัฒนธรรมและค่านิยมเดิมๆ ทำให้ผู้ชายยังคงตั้งตัวเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นผู้หารายได้มาให้ภรรยาจับจ่ายใช้สอยภายในบ้าน ไม่สามารถมีปาก
มีเสียงเถียงอะไรได้ ส่งลูกเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นลูกต้องอยู่ในโอวาททำในส่ิงที่พ่อคิดว่าดี เมื่อถึงวันที่ตกงานก็รับสภาพตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถยอมรับได้ว่าตัวเองไร้ค่า บางคนไม่ยอม
ที่จะทำงานในหน้าที่ที่ไม่มีเกียรติ เช่นงานทำความสะอาด ทำให้ต้องดิ้นรนที่จะกลับไปทำงานในตำแหน่งเดิมหรือใกล้เคียง ย่ิงดิ้นรนมากก็ยิ่งทุกข์ใจมาก สถานะภาพของผู้นำทำให้
ไม่สามารถที่จะปริปากบอกความจริงหรือขอคำปรึกษาจากคนในครอบครัวได้  ทำให้เกิด
ช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหตุการณ์แย่ลงจนถึงขีดสุดแล้ว ก็อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะแก้ไขหรือปรับตัวอย่างไร จะยอมแพ้และฆ่าตัวตายแบบบางคน หรือจะเร่ิมต้นชีวิตใหม่ในแบบที่แตกต่างออกไป ทุกปัญหามีทางออก มีโอกาสอยู่รอบตัวเราเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะหยิ่งจนมอง
ไม่เห็นมันรึเปล่า หรือเรามองเห็นมันแต่ไม่คิดว่ามันควรค่ากับคนอย่างเรา ความจริงแล้ว
จุดมุ่งหมายของแต่ละคนก็คือมีชีวิตให้อยู่รอดให้ได้ เวลาที่ท้อแท้ เหนื่อยอ่อน ฉันมักนึกถึง
คนที่มีโอกาสน้อยกว่า คนที่ลำบากกว่า คนที่ไม่มีสมรรถภาพทางร่างกายหรือความรู้เท่าเทียม เขายังอยู่ได้ เขายังขวนขวาย เขายังอดทน และที่สำคัญที่สุดเขายังมีความสุขได้ แล้วเราเองพยายามพอรึยังที่จะใช้ชีวิตให้มีคุณภาพ ไม่ใช่เพียงแต่มีชีวิตไปวันๆ
     คืนนี้เรากลับไปทานอาหารค่ำที่โรงแรมเพราะฟรี โรงแรมนี้ถ้าอยู่ติดต่อกัน 5 คืน จะได้กินอาหารค่ำฟรี 1 มื้อ สามารถเลือกกับข้าวจากเมนูได้ 2 อย่าง เสิร์ฟพร้อมข้าว สลัดและซุป ขนาดกำลังพออ่ิมไม่ใช่น้อยจนน่าเกลียด ตบท้ายด้วยการเดินไปซื้อขนมติงต๊องเมดอินเจแปนในร้านสะดวกซื้อไปเป็นของฝาก เราเก็บของที่เหลือลงกระเป๋าแล้วรีบนอนแต่หัวค่ำเพราะวันรุ่งขึ้นต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น