31 กรกฎาคม 2555

28. ลาก่อน บ้านเรือ ชิคาร่า ทะเลสาป

     โทรศัพท์มือถือกรีดเสียงร้องตอนตีห้าครึ่ง จริงๆ ฉันตื่นด้วยเสียงสวดมนต์รอบเช้าตั้งแต่
ตีห้าแล้วแต่ยังอยากซุกตัวนอนใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่นต่ออีกหน่อย ฉันลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาคว้าอุปกรณ์กันหนาวเพียบเตรียมตัวออกไปขึ้นเรือตอน 6 โมงเช้า เพื่อไปดูตลาดน้ำ นฐกับพี่ลีเดินหน้าตางัวเงียสโลสเลเลยเวลานัดไปเล็กน้อย อากาศหนาวเย็นมาก หมอกลงปกคลุมคุ้งน้ำไปทั่ว ไม่มีเรือพายพลุกพล่านเหมือนเช่นเวลาอื่น เป็นภาพบรรยากาศอันเงียบสงบ ถ้าท้องใครร้องหรือเผลอเรอขึ้นมาคงจะได้ยินกันไปทั่ว
     อามินพายเรือชิคาร่ามุ่งหน้าไปยังตลาดน้ำซึ่งอยู่ตรงบริเวณเวิ้งน้ำไม่ไกลจากบ้านเรือของเรานักใช้เวลาพายประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาจอดเรือตรงรอบนอกของบริเวณค้าขายเพื่อให้เราสังเกตุการณ์ ตลาดที่นี่เริ่มตั้งแต่เวลาตีห้ากว่าๆ และวายประมาณ 7 โมงครึ่ง พ่อค้า (เน้นว่าพ่อค้าเท่านั้นไม่มีแม่ค้าให้เห็น) ภายเรือมาจากคนละที่ ต่างขนผักต่างชนิดมาขายให้กัน ส่วนใหญ่ลูกค้าก็เป็นพ่อค้าด้วยกัน มีชาวบ้านบ้างหรือไม่ก็พนักงานโรงแรมที่ซื้อไปทำอาหารให้ลูกค้า เรือลำหนึ่งแล่นเข้าไปประชิดเรืออีกลำเพื่อเลือกซื้อผักที่ต้องการ เมื่อได้ของแล้วเขาก็ 
จากไปเพื่อเลือกซื้อผักชนิดอื่นที่มีอยู่หลากหลายชนิด หัวไชเท้า หัวหอม ผักใบเขียวชนิดต่างๆ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ขายแบบขายส่ง มัดไว้กองใหญ่ ดูแล้วก็คล้ายๆ สภากาแฟตอนเช้าเพราะนอกจากเค้าจะแลกเปลี่ยนผักกับเงินแล้วเขายังแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ คุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ ใครบอกว่าผู้หญิงช่่างเม้าท์ช่างนินทาฉันว่าผู้ชายก็พอๆ กันนั่นแหล่ะ เผลอๆ อาจจะ
นำ้ลายแตกฟองกว่าด้วยซ้ำ บ้างก็ใส่อารมณ์จนนึกว่าทะเลาะกัน บ้างก็หัวเราะร่าเหมือนว่าได้ฟังเรื่องราวแสนขำ บ้างก็หน้าเคร่งเครียดคงเพราะได้รับรู้เรื่องราวแสนเศร้า
     มนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคมนี่นะ ต้องอยู่ร่วมกัน พบปะแลกเปลี่ยนเรื่องราวอะไรต่างๆ ในชีวิตเพื่อให้มีรสชาติ แบ่งปัน ให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าจะเก็บปัญหาหนักอกเอาไว้คนเดียวคงอกแตกตาย







     เรานั่งดูกิจกรรมยามเช้าของชาวถิ่นอยู่พักหนึ่งก็กลับไปที่บ้านเรือ ที่ซึ่งมีพร้อมทุกอย่าง
ไม่ต้องหยิบจับทำอะไรมีคนคอยบริการพร้อม ไม่ต้องหุงหาอาหารเพราะได้รับการจัดเตรียม
ไว้เรียบร้อย มีมากเกินความจำเป็นซะอีก เมื่อนั่งคิดดูว่ายังมีคนอดอยากอีกมากมายก็นึกเสียดายอาหารที่กินเหลือ แต่ถ้าเราไม่มา คนขายก็ไม่มีรายได้ พ่อครัวก็ไม่มีงานทำ เกษตรกรก็ไม่รู้จะปลูกผักให้ใครกิน เป็นวงจรการใช้ชีวิตแบบพึ่งพากัน
     เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยฉันนั่งเขียนบันทึกที่หน้าบ้าน ฟังเพลงเบาๆ และสัมผัสบรรยากาศรอบข้างเพื่อจดจำภาพสุดท้ายของแคชเมียร์ไว้ อีกเพียง 24 ชั่วโมง เราก็จะกลับไปสู่ชีวิตปกติแล้ว ที่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างทันสมัย ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและเร่งรัด ทุกเรื่องถูกตกลงกันด้วยคำผูกมัดไม่ใช่คำสัญญาจากใจ ต่างคนต่างอยู่ต่างใช้ชีวิตแม้แต่เพื่อนข้างบ้าน
ยังไม่รู้จักชื่อกัน
     เมื่อเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมออกเดินทาง ฉันเรียกอามินเข้าไปที่ห้องและยื่นของให้กับเขา เป็นของใช้ส่วนตัวที่ยังไม่หมดดี คิดว่าคงช่วยเขาประหยัดได้นิดหน่อย และมีอุปกรณ์
กันหนาว หมวกไหมพรม ถุงมือ ถุงเท้า ฝากไปให้น้องสาวเขา คิดว่านานทีปีหนเฉพาะเวลาที่เดินทางไปประเทศหนาวๆ ฉันถึงจะได้ใช้ของพวกนี้ แต่มันเป็นส่ิงจำเป็นที่เขาสามารถใช้ได้
ทุกวันในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ฉันยังสามารถไปหาซื้อใหม่ได้ แต่เงินของเขาต้องเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น เผื่อไว้เวลาที่ไม่มีรายได้เข้ามา นฐยกกางเกงตัวหนึ่งให้เขา ส่วนพี่ลีก็ยกเสื้อของเธอ 3 ตัว ฝากให้น้องสาวเขาเช่นกัน ดูเขาดีใจมากและพูดว่า
     “ผมขอบคุณพระเจ้าที่ประทานสิ่งดีๆ ให้ผม”
     เขาเป็นคนค่อนข้างศรัทธาในศาสนามาก
     เราออกเดินทางจากบ้านเรือตอน 10 โมงครึ่ง และไปถึงสนามบินโดยใช้เวลาไม่นานนัก เมื่อถึงด้านหน้าทางเข้ามีรั้วปิดอย่างหนาแน่น มีทหารมากมาย ดีนต้องลงจากรถเพราะเขาอนุญาตให้เฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน เราจึงร่ำลาเขา ณ ตรงนั้น ดูเขาเศร้าๆ นิดหน่อย อาจเป็นเพราะหลายวันที่ผ่านมานั้นเขาได้พูดคุยเรื่องราวมากมายกับพี่ลี ทั้งสองดูจะถูกอัธยาศัยกันดีเลยรู้สึกสนิทสนมพอถึงเวลาจากก็ใจหายเป็นธรรมดา ขนาดฉันไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขามากมายก็ยังอดใจหายไม่ได้
     มีคนเคยบอกว่าเวลาเดินทางนั้นนักท่องเที่ยวมักมีอารมณ์อ่อนไหวและหวั่นไหวมากกว่าปกติ ฉันว่าน่าจะจริงทีเดียวเพราะทุกคน ทุกเรื่อง ทุกที่ที่ไปนั้นเป็นเรื่องใหม่ในชีวิตและถูกประดิษฐ์ประดอยมาแล้วให้สวยงามน่าค้นหาและอยากเข้าไปสัมผัส ทุกเรื่องราวจึงมักทำให้เราประทับใจเสมอคล้ายภาพในความฝัน บางทีอาจทำให้เราเผลอใจเลือกมองแต่ด้านดีๆ และคาดหวังไปเองว่าส่ิงนั้นหรือคนนั้นเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น ไม่มีเวลาที่จะมองเข้าไปลึกๆ ถึง
ฐาตุแท้หรือเผื่อใจไว้สำหรับด้านไม่ดี  แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรหากเราเลือกที่จะเผลอใจไปกับภาพฝันตรงหน้านั้นเพราะช่วงเวลาแห่งความฝันมักมีจำกัด เมื่อตื่นมาชีวิตก็ต้องกลับไปสู่สภาพของความเป็นจริง ส่ิงที่สำคัญคืออย่าไปยึดติดและอยากให้ภาพนั้นกลายเป็นภาพจริง เพราะถ้ามันไม่เป็นแบบที่เราคาดหวังไว้มันก็จะกลายเป็นภาพหลอนวนเวียนอยู่ในใจเราจนถอนตัวไม่ขึ้น
     เราต้องถือคติที่ว่ามีพบก็ต้องมีจากแต่ต้องจากกันด้วยดี เพื่อที่ว่าเมื่อเวลาที่เรานึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ณ​ เวลานั้นๆ เราจะได้มีรอยยิ้มให้กับมันได้เสมอ

30 กรกฎาคม 2555

27. เรียนรู้ หรือรู้ที่จะเรียน

     เรานั่งพักกันอยู่ในห้องนั่งเล่นซักครู่ก็มีแขกมาเยี่ยม พ่อหนุ่มคนเมื่อเช้านั่นเอง ฉันนึกว่าเขาคงจะมาเมื่อตอนบ่ายแล้วไม่เจอเราคงถอดใจไปเอง แต่เปล่าเลยเขาบอกว่าเขานัดเราไว้แล้ว
ก็ต้องมาตามสัญญา จริงๆ แล้วฉันไม่คิดจะซื้ออะไรแล้วเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเงินอยู่แค่ 900 รูปีเท่านั้น แต่ไม่อยากให้เสียน้ำใจเผื่อมีของราคาไม่แพงจะได้ช่วยอุดหนุน
     หนุ่มคนนี้เป็นพ่อค้าที่แปลกกว่าทุกคน แม้ว่าเขาจะอายุเพียงแค่ 24 ปี แต่เขาเป็นคนมีความคิดและพูดจาดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนหนังสือก็ตาม เขาเป็นลูกชายคนโตของบ้านจึงต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน ลักษณะดูไม่เหมือนคนขายของเลย เขามีวิธีการนำเสนอขายสินค้าที่ไม่เหมือนใคร ค่อยๆ อธิบายสรรพคุณของกระเป๋าหนังแกะทีละใบ พอเราแสดงท่าทีไม่สนใจเขาก็รีบพูดว่า
     “คุณไม่ซื้อไม่เป็นไรนะ แต่มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องนำเสนอสินค้าให้กับคุณ”
     “แต่ผมไม่มีเงินเหลือแล้ว กระเป๋าตังค์หาย” นฐบอกเขา
     “ไม่เป็นไร คุณเอาของไปก่อนแล้วค่อยส่งเงินมาให้ก็ได้” น้ำเสียงเขาดูจริงจัง
     คนขายของหลายคนพูดประโยคนี้กับเรา อาจเป็นเพราะเขารู้จักกับเจ้าของเรือหรือว่าเพราะเขาเชื่อใจเรา น่าแปลกที่ทุกอย่างที่นี่ขึ้นอยู่กับการค้าขายแต่เงินกลับไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด การขายของให้ได้ต่างหากที่สำคัญ
     เราเลือกดูของเขาอย่างสนุกสนานเพราะได้พูดคุยกับคนประเภทเจ้าความคิด ฉันเลือกกระเป๋าใส่เหรียญมา 4 ใบ แต่มีเงินไม่พอ เพราะตกราคาใบละ 250 รูปี ฉันบอกเขาไปตรงๆ ว่าเหลือเงินแค่นี้จริงๆ เขาก็เลยตัดใจขายให้กับฉัน แล้วแถมเขายังให้กระเป๋าแบบเดียวกันกับนฐ 1 ใบ ซึ่งทำเอานฐงงมากๆ เพราะจากการที่ถูกต่อรองให้ซื้อของตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่จนต้องใช้มุกต่างๆ หลีกเลี่ยงการซื้อเช่น “ผมไม่มีตังค์ กระเป๋าตังค์หาย” “ผมแพ้ขนสัตว์ (พร้อมทำท่าไอรุนแรง)” “ผมแพ้เกสรดอกไม้ ได้กล่ินแล้วไม่สบาย” กลับกลายเป็นว่าคราวนี้เขาได้ของมาฟรีๆ โดยไม่ต้องเหนื่อยอารม์ณ์หรือเปลืองนำ้ลายเลย
     หนุ่มน้อยบอกกับเขาว่า “ถือว่าเป็นน้ำใจจากผมแล้วกัน” นฐก็เลยแลกเปลี่ยนด้วยการให้ขนมและลูกอมหลากหลายกับเขา ซึ่งดูเขาพึงพอใจใช่น้อย 
     “ผมถามหน่อยสิว่าคุณไปเรียนที่ไหนมาเหรอ” นฐถามด้วยความสงสัยเพราะวิธีการพูดจาและเทคนิคการขายของเขานั้นไม่เหมือนคนขายคนไหนที่เราเคยเจอมาก่อน
     “ผมไม่ได้เรียนหรอกครับ ผมเป็นลูกชายคนโตต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน” เขาตอบอย่างฉะฉาน ไม่มีท่าทีหรือแววตาที่เศร้าแม้แต่น้อย
     “แต่คุณดูเหมือนคนเรียนมาเยอะๆ เลยนะ หลอกเรารึเปล่า”
     เอ …​ ที่แคชเมียร์คงไม่มีรายการประเภทแคนดิดคาเมร่า (Candid Camera) แอบถ่ายหรอกน่า
     “การเดินทางคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เพราะเราจะได้เจอเรื่องราวและผู้คนมากมาย ผมไม่ได้เรียนหนังสือแต่ผมเรียนจากการเดินทาง”


     นั่นสินะ เราควรที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ในทุกๆ วันของการเดินทางของชีวิตแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยหรือฟังดูไร้สาระ ขนาดหนูยังช่วยชีวิตราชสีห์ได้เลย แม้เราจะตัวเล็กไม่มีบทบาทสำคัญอะไรในสังคมแต่ถ้าเรารู้จักหน้าที่ของเราและทำมันให้ดีที่สุด เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสังคมที่ดีได้
     ความรู้นั้นไม่ได้อยู่แต่ในห้องเรียนเพียงที่เดียวหากแต่อยู่ในทุกๆ ที่ที่เราไป อยู่ในคนหรือส่ิงที่เราเจอในทุกๆ วัน เราจะเรียนรู้ได้มากน้อยขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่ที่ตัวเราล้วนๆ ว่าจะมีใจเปิดกว้างแค่ไหน เพราะถ้าใจไม่เปิดสมองก็จะปิดตายไปโดยอัตโนมัติ คนที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่นเพราะเรียนมามากนั่นคือคนที่โง่ที่สุด ไม่มีใครที่จะรู้ได้ทุกเรื่อง ทุกๆ วันมีส่ิงเกิดขึ้นใหม่มากมายที่ท้าทายความสามารถของมนุษย์
     แต่ฉันว่าความรู้อะไรก็สู้รู้จักตัวเองไม่ได้ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร มีสติกับการกระทำนั้นๆ รู้เท่าทันความคิดและความรู้สึกของตัวเอง เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ปล่อยให้จิตใจล่องลอยและถูกกระทบได้โดยง่ายจากสิ่งรอบตัว 

27 กรกฎาคม 2555

26. นักท่องเที่ยว = ความเป็นอยู่ที่ดี

     ในที่สุดเวลาที่เรารอคอยก็มาถึงคือการพายเรือในทะเลสาป แม้ว่าจะค่อนข้างเย็นมากแล้วแต่เราอยากจะไปฉลองวันสุดท้ายของการอยู่ที่แคชเมียร์ในบรรยากาศสบายๆ รอบๆ คุ้งน้ำ
อันน่ารักนี้ ผู้คนที่พายเรือผ่านไปมาและไม่ได้เจอเราเมื่อวานต่างก็ออกอาการตื่นเต้นเหมือนเช่นเคยกับฝีมือการพายเรืออันเหนือชั้นของพี่ลี
      หนุ่มคนหนึ่งพายเรือขนานคู่ไปกับเราและชวนคุย
      “คุณมาจากไหนกันเนี่ย พายเรือเก่งจริง”
      “เมืองไทยน่ะ”
      “อยากได้งานพายเรือที่นี่มั้ยล่ะ”
      “แล้วคุณจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ล่ะ” พี่ลีชักสนใจอาชีพใหม่
      “เดือนละ 50 ดอลล่าห์” เขาบอก
      พวกเราต่างพากันหัวเราะชอบใจ
      “ค่าจ้างน้อยจัง” ฉันแกล้งต่อรองเขา
      “ถ้างั้นให้ที่พักด้วยพร้อมอาหาร” เขาเพ่ิมข้อเสนอ
      “ห้องนอนแยกเดี่ยวใช่มั้ย คงไม่ต้องนอนห้องเดียวกับคุณนะ” ฉันแกล้งล้อเขาเล่น
      เขาหัวเราะยกใหญ่
      เราเพลิดเพลินกับการใช้เวลาในทะเลสาปจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วจึงกลับไปยัง
บ้านเรือ สังเกตว่าเมื่อเราไม่ได้นั่งเรือชิคาร่าแต่พายเรือเล็กเล่นกันไม่มีใครสนใจที่จะขายของให้กับเรา ทำให้เรารู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง ไม่ต้องพูดคุยต่อรองหรือหามุกเด็ดๆ ใหม่ๆ มาคอยไล่พวกชอบตื้อ นั่นแปลว่า
      ชิคาร่า = นักท่องเที่ยว = การขายของได้ = รายได้
      และ
      เรือพาย  = ชาวบ้าน = ไม่มีตังค์ซื้อของ = เสียเวลา เปลืองนำ้ลายตื้อ
      สถานภาพของเราเปลี่ยนกันได้ด้วยพาหนะนี่เอง





      เมื่อพายเรือใกล้ถึงบ้าน มีหนุ่ม 2 คนยืนอยู่บนชานหน้าบ้านบอกให้เราพายเรือไปให้เขา เราตอบพร้อมกันว่า
      “ไม่”
      เขาเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ จะมาขอเรือจากเรา เรือของเราก็ไม่ใช่ จะทำยังไงดี ปฏิเสธไว้ก่อนดีกว่า แบบนี้ไม่น่าไว้ใจ คนกรุงเทพอย่างเราถูกสอนมาว่าไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้า เรามักจะปฏิเสธไว้ก่อนโดยไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ถ้าไม่รู้จัก
      “พายมาเถอะครับผมต้องเอาของไปที่ฝั่ง นี่ดูสิของกล่องใหญ่มากเลย”
      “ไม่ได้หรอกคุณเป็นใครก็ไม่รู้ แล้วนั่นกล่องอะไรน่ะระเบิดรึเปล่า” จินตนาการโลดแล่นในหัวฉัน
      เขาเดินตามเรือเรามาจนถึงทางขึ้นบ้านเพื่อจะเอาเรือไปขนของ
      “แล้วคุณรู้จักดีนเจ้าของเรือรึเปล่า ขออนุญาตเขารึยัง”
      “ผมเป็นเพื่อนเขาน่ะ จะยืมเรือไปส่งของหน่อย”
      เขาคงไม่โกหกหรอกน่า แล้วคนแถวนี้คงรู้จักกันหมดไม่น่าจะเป็นอะไร แต่เราก็เล่าให้ดีนฟังซึ่งทำให้เขาขำกับการทำตัวเป็นพวกขี้ระแวงของเรา
     อาหารมื้อค่ำวันนี้เป็นมื้อสุดท้ายที่จะได้กินของอร่อยและอ่ิมแบบสุดๆ ซึ่งไม่ผิดหวังเลย รสชาติฝีมือพ่อครัว “ไฟยาซ” (Fiyaz) นั้นไม่ทำให้เราผิดหวังแม้แต่มื้อเดียว มื้อส่งท้ายนี้มีเมนูเด็ดคือ แกงไก่ ผัดมันฝรั่งแครอทกับถั่วลันเตา และผักขมผัด ซึ่งเป็นผักขมที่สดและใบใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นผักขมมา แบบนี้ป้อปอายต้องชอบแน่ๆ เรากินกันเพลินชนิดลืมอ้วนกันเลย
ทีเดียว ไม่ได้การต้องออกไปเดินหน้าบ้านเพื่อออกกำลังซะนิด ไม่งั้นคืนนี้คงนอนหลับแบบจุกๆ


     ขณะเดินกลับไปกลับมาบนชานบ้าน ฉันเจออามินยืนชมดาวอยู่เลยแวะคุยสัพเพเหระกับเขาครู่หนึ่ง
     “คุณทำงานที่นี่มานานรึยัง”
     “ทำมา 4 ปีแล้วครับ”
     “แล้วชอบมั้ย”
     “ชอบครับ ผมค่อนข้างมีความสุขดี คุณมุสตาฟาดีกับเรามาก เขาจะไม่มาคอยจ้ำจี้จ้ำไชจับผิดเรา ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีปัญหา ลูกค้าไม่มีการร้องเรียนเรื่องอะไรเขาก็ปล่อยให้เราจัดการบริหารกันเอง”
     “แล้วคุณมาจากไหนล่ะ”
     “ผมมาจากหมู่บ้านแถวๆ หุบเขาทางไปกุลมาร์คน่ะครับ”
     “คุณอายุเท่าไหร่แล้ว”
     ตัวเลขที่เขาตอบมานั้นทำเอาฉันอึ้งไปเพราะหน้าเขายังไม่น่าจะถึงวัยนั้น
     “36 ปี จริงๆ เหรอ”
     “จริงสิครับ”
     “แล้วมีพี่น้องมั้ย”
     “มีครับ มีน้องสาว 2 คน ยังเรียนอยู่”
     “คนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมั้ย”
     “เยอะครับ น่าแปลกนะครับส่วนใหญ่คนไทยชอบมากันตอนหน้าหนาว”
     “แล้วมันหนาวมากมั้ยล่ะ”
     “ก็หนาวครับ หิมะตก น้ำในทะเลสาปเป็นน้ำแข็งเลยครับแต่ยังพายเรือได้ ผมว่าช่วง
หน้าหนาวที่นี่สวยที่สุดในความคิดของผม”
     “แล้วรถสามารถวิ่งบนถนนได้เหรอ หิมะน่าจะปกคลุมจนขาวโพลนไปหมด”
     “ได้สิครับ เพราะเขาจะกวาดหิมะออกจากทางทุกวันแต่บนภูเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสวยมาก”
     “คุณว่าคนไทยเป็นไง ใจดีมั้ย”
     “ใจดีมากครับ บางทีเขาก็ช่วยเหลือผมเหมือนกัน เขาให้ของที่เขาไม่เอากลับบ้านกับผม 
ผมขอบคุณพระเจ้าที่ให้พร ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมานั้นเราอยู่กันอย่างยากลำบากมากครับ 
บางคนไม่มีข้าวทานเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวมาก็ไม่มีเงินไหลเวียน”
      ฉันรู้สึกเร่ิมสงสารเขามาก เห็นใจที่ชีวิตไม่สามารถลิขิตได้ด้วยตัวเอง ต้องพึ่งพาธุรกิจ
ท่องเทีี่ยวซึ่งก็มักมีผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เลยคิดว่าคืนนี้จะเลือกของบางอย่างที่ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตฉันมากนักแต่อาจมีประโยชน์ต่อคนอื่นอีกมาก เผื่อว่าน้องสาวเขาจะได้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างอุปกรณ์กันหนาว หมวก ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ ถ้าอยู่กรุงเทพก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ จะได้ใช้ก็ตอนไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วปีนึงเราจะไปที่หนาวๆ กันซักกี่หน พอใช้ไปไม่นานก็เบื่อเพราะมันไม่ทันสมัยไปหาซื้อของใหม่ ของเก่าก็เก็บเข้าตู้ไป แต่คน
ที่นี่เลือกไม่ได้มีอะไรก็ต้องนำมาใช้ทำความอบอุ่นให้ร่างกายในทุกๆ วันเป็นเวลาหลายเดือน คำณวนดูแล้วยกให้เขาจะมีคุณค่ามากกว่า

26 กรกฎาคม 2555

25. มัสยิด เปเปอร์มาเช่ บาบา

     ขากลับเราแวะมัสยิดอีก 2 ที่ ที่แรกคือ “จามา มัสยิด” (Jama Masjid) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า มีขนาดค่อนข้างใหญ่โตโอ่โถง มีประตูทางเข้า 4 ทิศ สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 
ถ้ามองจากมุมด้านบนก็จะมีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่เว้นที่ตรงกลางให้กับสวนและน้ำพุ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้ สถาปัตยกรรมค่อนข้างสวยงามละเอียดอ่อน 
มีเสาไม้ถึง 370 ต้นโดยรอบ และภายในปูด้วยพรมเล็กๆ ต่อกันเพื่อให้ผู้คนได้มาสวดมนต์ โดยหันหน้าไปทางทิศที่เมกกะอยู่ ในวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่ชาวมุสลิมมาสวดมนต์นั้นก็จะแน่นไปด้วยผู้คนท้องถ่ิน แต่วันที่เราไปมีเพียงไม่กี่คนที่มาทำพิธี หลังจากนั้นดีนพาเราไปเดินตลาดที่อยู่รอบๆ มัสยิด ซึ่งมีของขายมากมายและแทบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า อาหารการกิน ฯลฯ ตลาดนี้เป็นตลาดของคนท้องถิ่นเพราะฉะนั้นราคาของก็จะ
ไม่แพง และเราสามารถเดินกระทบไหล่กับชาวบ้านที่นี่ได้อย่างใกล้ชิด








     มัสยิดสีเขียว (Green Masjid หรือ Shah Hamdan) นั้นถูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลังโดยไม่ใช้ตะปูเลย สถาปัตยกรรมนั้นสวยงามมากๆ สีสันสดใส มีกระเบื้องเพ้นท์ลายดอกไม้ตกแต่งโดยรอบบริเวณ เราได้รับอนุญาตให้เดินดูแต่เพียงภายนอกเท่านั้น เพราะคนที่ไม่ใช่มุสลิมไม่มีสิทธิ์เข้าไปด้านในรวมไปถึงผู้หญิง ว่ากันว่าบริเวณเพดานและกำแพงนั้นทำจาก Papier Mache หรือกระดาษที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนแข็งและเพ้นท์ลายสวยงาม เคยเห็นรูปจากเว็บไซต์ และอยากสัมผัสความงามที่ละเอียดอ่อนแต่ไม่นึกว่าจะถูกกีดกัน ฉันรู้สึกชื่นชมในความงามบางอย่างแต่ก็ไม่ชื่นชอบการแบ่งแยกเพศของที่นี่ ระหว่างที่ยืนชื่นชมลายผนังและกำแพงนั้น
ฉันเห็นหญิงชาวมุสลิมเดินไปด้านหน้าประตูทางเข้าและลูบๆ ขอบประตูเอามาลูบหัวและกราบไหว้ ชะเง้อมองเข้าไปด้านในแต่ไม่มีโอกาสเข้าในขณะที่ผู้ชายสามารถเดินผ่านเข้าไปได้อย่างฉลุย ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงต้องแบ่งแยกขนาดนั้น ฉันเชื่อว่าผู้หญิงก็มีศรัทธาในศาสนาพอๆ กับผู้ชาย เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเพศหญิงเป็นเพศที่ต้องยอมทนกับความไม่เสมอภาคหลายๆ อย่าง ถ้าเขาไม่ทำไปด้วยความเชื่อและใจศรัทธาแล้วเขาจะทำไปเพื่ออะไร ฉันเก็บความข้องใจนั้นไว้กับตัวและกะว่าจะหาโอกาสเหมาะๆ ถามจากดีน






     จุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้คือบ้านเรือซึ่งเมื่อเรากลับเข้าไปแล้วก็แปลว่าเราจะไม่ไปไหนอีก นอกซะจากพายเรือเล่นอยู่ในทะเลสาปดาล รู้สึกเหมือนเป็นเด็กโรงเรียนประจำ
ไปไหนต้องขออนุญาตครูใหญ่ก่อน แต่เพื่อเป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่า ฉันกับนฐขอแวะร้านอินเตอร์เน็ตเหมือนเช่นเคยส่วนพี่ลีกับดีนไปเดินเล่นแถวๆ ถนนบูลเลอร์วาร์ดแก้เบื่อ โดยเรานัดแนะเวลาไปเจอกันที่เรือชิคาร่าเมื่อทุกคนเสร็จธุระของตัวเอง ดูเหมือนพี่ลีจะพูดคุยถูกคอกับดีนมากกว่าใคร คนบางคนก็สื่อถึงกันได้ง่ายกว่าคนอื่นคล้ายว่าจูนคลื่นตรงกัน ฉันว่าการจะเข้าถึงใจใครได้นั้นคงต้องลองเปิดตัวเองเปิดใจให้กว้าง รับฟังความคิดเห็นความรู้สึกของคนนั้นๆ ก่อน ถ้าเรื่องที่พูดคุยนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนคนนั้นหรือมีความคิดอ่านความชอบคล้ายๆ กันก็ทำให้ต่อกันติดได้ง่าย ไม่น่าเชื่อว่าดีนจะอายุไม่ถึง 40 ปี เพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกที่หนวดเคราเฟิ้มประกอบกับริ้วรอยของความตรากตรำบนใบหน้าเราจึงเผลอเรียกเขาว่าลุงตั้งแต่แรกพบ
     ระหว่างทางก่อนจะกลับไปบ้านเรือดีนถามเราว่าอยากไปดูร้าน Papier Mache รึเปล่า คงไม่กล้าผลีผลามพาเราไปโดยไม่บอกเพราะคงกลัวฤทธิ์เดชของเรา ฉันคิดว่าจะไปหาซื้อของฝากที่นั่นเพราะยังไม่มีอะไรติดมือกลับบ้านเลย ร้านนี้ตั้งอยู่อีกคุ้งน้ำนึงแต่ไม่ไกลจากคริสตัล
พาเลสนัก เป็นโชว์รูมขนาดไม่ใหญ่โต เจ้าของออกมาต้อนรับเราถึงท่าเรือด้วยตัวเองและพาขึ้นไปยังชั้นสองที่ตั้งโชว์ผลิตภัณฑ์จากกระดาษหลากหลายรูปแบบระรานตา 
     ก่อนอื่นเขาขอสาธิตวิธีการทำก่อนเพื่อสร้างความประทับใจ
     ขั้นแรกนำเศษกระดาษมาแช่น้ำและนำไปปะบนแม่พิมพ์ ซึ่งจะเป็นรูปอะไรก็แล้วแต่ เช่นกล่อง แจกัน ช้าง ที่ใส่จดหมาย ฯลฯ ทำซ้ำๆ หลายชั้นมากเพื่อให้แข็งไม่แตกหักได้ง่าย
     ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปตากแดดให้แห้งสนิทและใช้ค้อนทุบๆๆ ให้เนื้อแน่นจะได้แข็งแรงไม่บอบบาง
     แล้วก็ถึงขั้นตอนการลงสี โดยเร่ิมจากวาดลวดลายที่ต้องการโดยวิธี free hand แล้วจึงลงสี วิธีการวาดแบบนี้ทำให้ของแต่ละชิ้นมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่มีช้ินไหนเหมือนกับชิ้นไหนแม้จะเป็นลายและสีเดียวกัน
     ต่อไปก็ปิดด้วยทองคำเปลวชนิดเดียวกับที่เราใช้ปิดทองที่พระพุทธรูป
     ขั้นตอนสุดท้ายคือลงแลคเกอร์ชนิดมันเคลือบให้สีไม่ลอก
     โหกว่าจะได้แต่ละช้ินใช้เวลาประมาณ 3 วัน เห็นแบบนี้แล้วเราเลยเห็นคุณค่าของแต่ละชิ้นมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว


     ขั้นตอนเสริมสุดท้ายท้ายสุดก็คือการเดินเลือกซื้อช้ินที่ถูกใจ คุณลุงเจ้าของร้านปล่อยให้เราเลือกลงตะกร้าใครตะกร้ามัน พร้อมข้อเสนอน่าสนใจคือลด 15% ระหว่างนั้นมีคุณลุงที่เป็นพนักงานห่อของพยายามที่จะหยิบชิ้นโน้นชิ้นนี้มาให้ฉัน เห็นฉันเลือกของช้ินไหนแกก็ไปเลือกของชนิดอื่นที่เป็นลายเดียวกันมาให้ ฉันรู้สึกว่าแกน่ารักดีเหมือนอยากมีส่วนร่วม แต่ฉันก็แอบเอาของกลับไปวางไว้ที่เดิมโดยไม่ให้แกเห็นกลัวจะเสียใจ หารู้ไม่ว่าเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้วแกะของออกดูกลับมีช้างเป็นของกำนัลเพ่ิมมาอีกหนึ่งตัว สงสัยแกคงถูกชะตากับฉันล่ะมังเลยแอบให้ของขวัญ ยังนึกถึงหน้าอมยิ้มของแกได้ชัดเจนเหมือนพยายามจะบอกอะไรกับฉันแต่ก็ต้องระวังไม่ให้เจ้าของร้านเห็น
     เราได้ของกันคนละเกือบสิบชิ้นเพราะราคาไม่แพงและมีคุณภาพดีลวดลายสวยงามเหมาะกับการเป็นของฝากสร้างความประทับใจให้ผู้รับ ผลิตภัณฑ์ของที่นี่มีให้เลือกค่อนข้างจะเยอะ และมีหลายรูปแบบ หลายลาย หลายสีให้เลือกหา คงต้องมีชิ้นไหนที่ถูกใจคุณกันบ้างล่ะน่ะ



     ระหว่างทางกลับบ้านเรือมีเรือของพ่อค้ามาเทียบเรือเราแบบประชิดตัวพร้อมกับขนเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ สร้อยคือมือ จี้ แหวน อ้างว่าทำจากเงินและหินมีค่า เขาหยิบขึ้นมาแล้วก็มาพาดไว้กับตักฉันบ้าง สวมใส่ในมือฉันบ้าง
     ฉันพยายามปฏิเสธแบบสุภาพ “ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ”
     “ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ ผมมีแบบอื่นอีก นี่ไง” พูดไปก็หยิบของชิ้นใหม่ๆ ออกมาพาดขาฉันเต็มไปหมด
     “ไม่เป็นไร ฉันไม่ชอบใส่เครื่องประดับ เห็นมั้ยว่าในตัวฉันไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย ฉันเป็นคนจนไม่มีเงินซื้อของพวกนี้หรอก”
     “ผมขายให้ถูกๆ เลยนะ เส้นนี้ 10 ดอลล่าห์ อันนี้ 5 ดอลล่าห์”
     ฉันหยิบสร้อยทั้งหมดและยื่นคืนไปให้เขา
      “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
      “ไม่เป็นไรได้ไง ผมขายอะไรไม่ได้เลย” เขาเริ่มทำเสียงขุ่นเคือง ทำหน้ารันทด
      “ก็ฉันไม่ต้องการของพวกนี้นี่นา”
      “คุณอยากได้อะไรบอกมาเลยเดี๋ยวผมขายให้ถูกๆ”
      “ฉันต้องการอะไรน่ะเหรอ ฉันต้องการความสงบและสันติภาพค่ะ” ฉันตอบ หวังใจว่าเขาจะเข้าใจและยอมแพ้
      แต่ไม่ ... เขายังดึงดันต่อไป หยิบนู่่นหยิบนี่ขึ้นมาโชว์จะให้ฉันซื้อให้ได้
      ฉันเลยงัดมุกเด็ดของวันนี้ที่เพิ่งคิดได้สดๆ
      “ฉันปวดหัวมากเลยเนี่ย สงสัยว่าฉันจะต้องแวะไปหาบาบาซะแล้ว”
      เมื่อฉันเอ่ยชื่อบาบาเหมือนเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เขายอมหยุดและจากไป
      บาบาเป็นผู้ที่คนที่นั่นให้ความเคารพนับถือ ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พ่อมด ไม่ใช่หมอดู แต่เป็นผู้ซึ่งมีความสามารถพิเศษในการรักษาอาการป่วยของคนไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร ลักษณะของบาบา
ที่ทะเลสาปดาลนั้นไว้ผมสั้นเกรียนทรงสกินเฮด แต่งตัวด้วยชุดพื้นเมืองสีขาว ดูเคร่งขรึม และดูเหมือนว่าคนทั้งทะเลสาปให้ความเคารพนับถือบาบาอย่างมาก อามิน (Amin) พนักงานพายเรือชิคาร่าของบ้านเรือเล่าให้ฟังว่าบางทีมีผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคปวดท้องแต่ไม่ทราบสาเหตุ 
พอไปปรึกษาท่านบาบาท่านก็เขียนอะไรบางอย่างในกระดาษและขยำใส่ลงไปในเหยือกน้ำ 
เมื่อผู้หญิงคนนั้นดื่มเข้าไปก็หายจากอาการ เขาบอกว่าอาการจะหายหรือไม่นั้นอยู่ที่ความเชื่อของบุคคลนั้นๆ ด้วย
     เสียดายเราไม่มีเวลาไม่งั้นฉันเองก็อยากแวะไปพบบาบาเหมือนกันเพราะเขาอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรือของเราเท่าไหร่ ไม่แน่นะฉันอาจจะหายจากอาการบ้าๆ บอๆ ก็ได้ 

25 กรกฎาคม 2555

24. กุลมาร์ค ...​ นางงามตกรอบ

     วันนี้ดินบอกเราให้เตรียมตัวตื่นแต่เช้าไว้ก่อนเพราะต้องออกนอกเมืองอีกแล้ว ไม่รู้จะมีเคอร์ฟิวอีกรึเปล่า นฐกับพี่ลีคงยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงไม่มีเสียงเล็ดลอดบ่งบอกว่า
ได้ลุกขึ้นมาแล้ว จะมีก็แต่ฉันและพนักงานประจำเรือซึ่งง่วนอยู่กับการตระเตรียมอาหารเช้า
ให้กับเรา ฉันไปเดินเล่นฆ่าเวลาก่อนทานอาหารเช้าตรงสวนข้างๆ เรือซึ่งปลูกต้นไม้ไว้พอสมควร ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน อากาศค่อนข้างเย็นจัดในช่วงเช้าและก็จะอุ่นขึ้นเรื่อยๆ 
เมื่อพระอาทิตย์เร่ิมทำงาน ต้องเตรียมเสื้อผ้ามาเผื่อให้เหมาะสมกับอากาศ ประมาณว่า
มีหลายๆ ชิ้น ถอดและใส่ได้ง่ายน่าจะดีกว่า 




     ด้านหลังของสวนเป็นบ้านคนงานและครัวที่ทำอาหารแสนอร่อยให้เราได้ทานกัน เดินสูดอากาศซักพักฉันก็กลับมาตามเวลานัดทานอาหารเช้าคือ 7 โมง วันนี้ฉันสั่งอาหารเช้าเป็นไข่คน (Scramble egg) เพื่อสร้างความแตกต่าง เขาเสริฟพร้อมขนมปังป้ิง เนย แยม น้ำผึ้ง และชากาแฟ ส่วนเพื่อนๆ ยังคงทานข้าวต้มกับไข่เจียว สงสัยจะเริ่มคิดถึงบ้าน
     ดินบอกว่าเราไม่ต้องรีบออกเดินทางแล้วเพราะไม่มีเคอร์ฟิว แหมเลยตื่นเช้าเก้อเลย แต่ถ้ามองในด้านดีก็ทำให้เราได้สูดอากาศบริสุทธิ์เย็นๆ ในตอนเช้ากะเค้าบ้าง
     เรานั่งเล่นอยู่ตรงชานบ้านเพื่อรอเวลาลงเรือ ชาบีร์ตื่นเช้าเป็นพิเศษท่าทางงุ่นง่านนั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของบริษัททัวร์มากมาย ผมเผ้าที่กระเซิงไม่ได้มีการจัดระเบียบก่อนที่จะออกมาพบผู้คน เมื่อคืนอยู่ในชุดไหนเช้านี้ก็ยังหมกอยู่ในชุดเดิม จะว่าไปเขาก็มีคาแรกเตอร์ตลกๆ ดี เหมือนตัวการ์ตูน ไม่ค่อยซีเรียสอะไรกับชีวิตมาก ต่างจากหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา เช่นมุสตาฟาที่ดูเคร่งขรึมจริงจัง เขาคงหลบมาศรีนาการ์เพื่อพักผ่อนเป็นหลัก เรื่องธุรกิจเป็นเรื่องรอง ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเราเจอเขาบ้างช่วงค่ำๆ แม้ว่าจะอยู่บนบ้านเรือเดียวกันก็ตาม ทำตัวประหนึ่งนินจาผลุบๆ โผล่ๆ กลับเข้าบ้านเมื่อดึกแล้้วนอนตื่นสาย ไม่รู้วันๆ เขาหายไปไหนมาบ้าง เและเมื่อวันสุดท้ายของการพักผ่อนมาถึงเขาก็ต้องรีบตาลีตาเหลือกปั่นงาน
ให้เสร็จก่อนที่จะกลับไปเลย์
     “ชาบีร์ คุณอายุเท่าไหร่เหรอ” นฐถามเขา
     “38 ปีน่ะ”
     “แล้วมีภรรยารึยัง”
     “มีแล้วครับ มีลูกอีกหนึ่ง”
     “มีภรรยากี่คนล่ะ” ฉันแกล้งถามเขา
     “โอ้ย คนเดียวก็จะแย่แล้ว ลูกหนึ่งก็พอแล้ว ปิดอู่” เขาพูดขำๆ
     ชาบีร์พูดภาษาอังกฤษได้แบบกระท่อนกระแท่น ทำให้บางทีเราก็ฟังเขาไม่รู้เรื่อง เขาก็คงฟังเราไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แต่เขาดูเป็นคนง่ายๆ จริงใจดี เขาบอกว่าจะแวะมาเที่ยวที่เมืองไทย
ตอนปลายปี นฐจึงชักชวนเขาให้นัดเจอกับเราเผื่อว่าจะได้รำลึกถึงความหลังครั้งที่นั่งรถฝ่า
การจราจรบนเขาด้วยกัน ไม่รู้ว่าแบบไหนจะทรมานกว่ากันระหว่างนั่งรถนานเพราะรถติดหรือเพราะถนนขรุขระ

ชาบีร์นั่งง่วน
พ่อครัวหนุ่ม
คนพายเรือ
     มีคนขายของพายเรือวนเวียนอยากเข้ามาขายของให้กับเราแต่ถูกดินสกัดไว้ไม่ให้ขึ้นมาด้านบน เขาคงรู้แล้วว่าเราไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่กับการที่มีคนมาตื้อขายของหรือถูกบังคับขาย ถ้าเราพอใจเราจะเลือกซื้อเอง เด็กชายอ้วนตากลมคนหนึ่งเล็ดลอดขึ้นมาได้ เขาเดินตรงดิ่งเข้ามาหาฉันเป็นคนแรก คงดูแล้วว่าคุณน้าคนนี้น่าจะใจอ่อนกับเด็ก สินค้าของเขาคือ
แซฟฟรอนใส่กล่องมีฉลากมาอย่างดี
     “ไม่ล่ะจ๊ะ เผอิญฉันซื้อไปแล้ว” ฉันปฏิเสธแบบนุ่มนวล
     เขาก็เริ่มเพ้อมุกเดิมๆ เหมือนที่เราเจอจากคนขายของที่พายเรือมาขนาบข้างเรือชิคาร่า
เพื่อพรีเซ้นท์สินค้าระยะประชิดตัว ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าปลูกขึ้นมาแล้วมันจะเป็นต้นอะไรหรือจะงอกรึเปล่าด้วยซ้ำ ผ้าคลุมไหล่ เครื่องใช้ที่ทำจากหนัง ฯลฯ
     “I am from the village” เขาคิดว่ามุกนี้คงเด็ดมากเราคงต้องสงสารและยอมซื้อของเขาแต่ฉันตอบเขาไปว่า
     “I am from the village too, a village called Bangkok”
     เขาอึ้งไป ทำหน้างง ทำอะไรต่อไม่ถูกแล้วจึงเดินจากไป
     คนขายเครื่องประดับจะพยายามมาขายของฉันบ้างแต่ถูกดีนห้ามไม่ให้ขึ้นด้านบน
     หนุ่มอีกคนมาแบบเนียนๆ เดินทักทายคุยกับคนโน้นทีคนนี้ที แล้ววกมาหาฉัน แนะนำตัวเองว่าเขาเป็นคนขายกระเป๋าหนังแกะปักลายสวยงาม มีขนาดใหญ่เล็กมากมายพร้อมโชว์ของตัวอย่างให้ดูแถมมีมุกเด็ดมัดใจลูกค้า
     “ผมไม่อยากรบกวนเวลาคุณตอนนี้เพราะรู้ว่าคุณจะออกไปข้างนอก แต่ผมมีของมากมาย อยากจะให้ดู ผมจะแวะมาหาใหม่ตอนบ่ายนะครับ”
     มนต์สะกดของเขาได้ผล ฉันเออออไปกับเขา คิดว่าอาจจะซื้ออะไรบางอย่างไปเป็นของฝาก (เปล่านะไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นชายหนุ่มเลยยอมใจอ่อน)

คนขายของเจ้าคารม
     เราออกเดินทางไปกุลมาร์ค (Gulmarg) ตอนเวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง โดยใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงทั้งๆ ที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 50 กิโลเมตรกว่าๆ เท่านั้น แต่เป็นเพราะรถในเมืองขาออกไปนั้นติดอย่างมหากาพย์กว่าเราจะไปถึงก็ 11  โมงครึ่งแล้ว ที่นี่คล้ายวนอุทยานบ้านเราถูกดูแลรักษาอย่างเข้มงวดตรงทางขึ้นไปยังเนินเขาด้านบนนั้นเราต้องถูกตรวจพาสปอร์ตอีกครั้ง
     กุลมาร์คเป็นที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมมาเล่นสกีกัน ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวคึกคักในช่วงธันวาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์ ส่วนหน้าร้อนก็จะเป็นช่วงพฤษภาคมถึงกันยายนที่มีดอกไม้ออกดอก
หลากชนิดสมกับชื่อเมืองที่แปลว่า “ทุ่งดอกไม้” แล้วเรามาทำอะไรกันตอนนี้เนี่ย ดีนพาขึ้นไปตรงบริเวณที่เป็นแหล่งชุมชนมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก แต่ทุกอย่างปิดตัวลง เพราะอยู่นอกฤดูกาลแถมเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนมีเรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบในช่วงก่อนหน้านี้อีก เลยไม่มีแม้แต่เงาของนักท่องเที่ยว ดูช่างเงียบเหงา หญ้าบนภูเขาแห้งกรอบไม่หลงเหลือความสวยงามใดๆ แล้วแถมรถเคเบิ้ลที่ปกติจะนำนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนสถานีสกีที่จะเป็นจุด
เร่ิมต้นของการเล่นนั้นก็ปิดทำการ มีคนท้องถิ่นพยายามนำม้ามานำเสนอให้เราขี่แต่ฉันยัง
เจ็บก้นไม่หายตั้งแต่เมื่อวานเลยขอผ่าน แต่ไหนๆ ก็มาแล้วเดินเล่นออกกำลังกายซะหน่อย
ก็แล้วกัน เราเดินขึ้นไปบนเนินซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์นิกายโปรแตสแต้นท์ซึ่งมีเด็กหนุ่มเฝ้าอยู่สองคน แล้วเดินอ้อมไปอีกทางเพื่อไปดูวัดฮินดูซึ่งอยู่อีกเนินเขานึง ดีนบอกว่ามีมัสยิดอีกที่แต่อยู่บนเนินเขาอีกลูกหนึ่งเผื่อจะได้ครบทุกศาสนา แต่เราร้อนและเมื่อยเกินกว่าจะมีอารมณ์เดินต่อไป และถึงจะไป ถ้าไม่สามารถเข้าไปด้านในได้จะมีประโยชน์อะไร จึงตัดสินใจกลับลงไปด้านล่างเพื่อทานอาหารกลางวัน ระหว่างทางมีจุดชมวิวอีกหนึ่งจุดที่มองไปเห็นทิวเขาเรียงต่อๆ กัน ต้นไม้เขียวชอุ่มปกคลุมเต็มพื้นที่ แถวนี้คงมีออกซิเจนเยอะมาก





     เราออกจะรู้สึกผิดหวังกับกุลมาร์ค อาจเป็นเพราะเราผ่านความสวยมากๆ มาเยอะแล้ว พอเจออะไรที่ธรรมดาก็เลยอดเปรียบเทียบไม่ได้ ถ้าฉันทำบริษัททัวร์ที่นี่คงอยากปรับโปรแกรม
ในช่วงนอกฤดูกาลนิดหน่อย นักท่องเที่ยวจะได้มีเรื่องตื่นเต้นให้ทำ เพราะเมื่อเราเจอ โซนามาร์ค พาฮัลแกม มาแล้ว กุลมาร์คก็เลยดูด้อยไป ถ้าจะให้ดีน่าจะพาไปดูพวกหมู่บ้านเล็กๆ ที่ทำงานฝีมือหัตถกรรม ทอผ้าคลุมไหล่ ทำเครื่องเทศ อบผลไม้แห้ง หรือกิจกรรมแบบชาวบ้านชาวถิ่นเค้าทำกันจะน่าสนใจกว่า
     สำหรับเมืองที่รายได้ขึ้นกับการท่องเที่ยวนั้นผู้คนต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทางที่จะสร้างรายได้ให้มากที่สุดเมื่อฤดูกาลมาถึง และเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่จะมีผลกระทบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวนั่นก็แปลว่าจะมีผลกระทบกับรายได้ที่จะเข้ากระเป๋าเขาด้วย เพราะ นักท่องเที่ยว = รายได้ สมการง่ายๆ แต่กลับซับซ้อนเพราะภายใต้คำว่า “นักท่องเที่ยว” นั้นยังมีสิ่งอื่นที่มีผลกระทบต่อการมาหรือไม่มาของเขาเหล่านั้น  ฉันพยายามที่จะคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามที่จะไม่รำคาญเมื่อมีคนมาตื้อให้ซื้อของมากๆ พยายามที่จะช่วยเท่าที่ทำได้ พยายามที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะไม่รู้สึกผิดหวังกับการมาเที่ยวที่นี่ มองในส่ิงที่เขาเป็น 
เห็นในส่ิงที่เกิดขึ้นและเห็นใจกับชีวิตที่เลือกเองไม่ได้
     เราอยู่กับความไม่แน่นอนด้วยกันทั้งนั้น … ใครจะไปรู้ว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไร

24 กรกฎาคม 2555

23. ล้วงลึกแคชเมียร์

     เรานั่งพักซักครู่กะว่าแดดร่มลมตกแล้วจะออกไปพายเรือเล่นกัน โดยมีมือพายชื่อ “นางสาวมาลี” หญิงไทยจากราชบุรีที่เป็นตัวแทนเข้าแข่งขันกับมือพายชาวท้องถ่ิน
     ฉันกับนฐนั่งอยู่ด้านหน้าเรือต่างคนต่างใช้สมาธิกับกิจกรรมในความสนใจของตัวเอง ซักครู่ก็มีผู้ชายหนุ่มรูปร่างท้วมคนหนึ่งเดินมาที่เรือของเรา เขาแนะนำตัวว่าชื่อ “มุสตาฟาร์” (Mustafar) เจ้าของบริษัททัวร์และบ้านเรือ เขาเริ่มพูดคุยทำความคุ้นเคยกับเรา ดูลักษณะแล้วเป็นคนมีอัธยาศัยดี มีการศึกษา รู้จากลูกน้องเขาทีหลังว่าเขามีอายุเพียงแค่ 28 ปีเท่านั้น มีพี่ชาย 2 คน และภรรยา 1 คนเป็นชาวญี่ปุ่น ตอนนี้เป็นผู้สืบทอดกิจการบ้านเรือต่อจากพ่อโดยแบ่งกันดูแลเรือทั้ง 6 ลำกับญาติๆ ในครอบครัว
     เรานั่งคุยกันพักใหญ่ในเรื่องเคร่งเครียดบ้างไม่เครียดบ้างโดยการสัมภาษณ์จากคนอยากรู้อย่างฉัน ด้วยความที่ฉันอยากจะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงสถานการณ์การเมืองของแคชเมียร์เนื่องจากมีความรู้เพียงแค่หางอึ่ง และการอ่านจากข่าวต่างๆ ที่เขียนโดยนักข่าวต่างประเทศนั้นไม่ได้แปลว่าทุกอย่างเป็นความจริง ดูได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพเมื่อตอนต้นปี แต่ละข่าวที่ออกไปในต่างประเทศนั้นดูรุนแรงและแผ่ซ่านเหมือนว่าประเทศไทยทั้งประเทศ
ตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง แต่ในความเป็นจริงก็อย่างที่เรารู้ๆ กันว่ามันเป็นเพียงแค่บางจุดเท่านั้น การทำข่าวเป็นเพียงการรายงานสถานการณ์รายวันในแต่ละจุดที่เหตุเกิดหาใช่การวิเคราะห์อย่างรู้จริง เพราะฉะนั้นการดูหรือฟังแต่ข่าวอย่างเดียวอาจทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อนได้
     มุสตาฟาร์เลยเล่าประวัติแคชเมียร์ย้อนไปกว่า 20 ปีให้ฟัง รายละเอียดตรงนี้คงต้องขอเก็บเป็นความลับระหว่างฉันกับเขา จะเล่าเฉพาะเท่าที่เล่าได้เพราะถึงเขียนไปก็คงถูกเซนเซอร์อย่างแน่นอน เอาเป็นว่าฉันมีความเข้าใจในเรื่องความอ่อนไหวของส่ิงที่เกิดขึ้นที่นั่นพร้อมกับเหตุผลสนับสนุนของเหตุความรุนแรงได้ดีขึ้น จริงๆ แล้วมันก็คล้ายๆ กันทุกที่ นั่นคือ เรื่องของความคิดที่แตกต่างและความใจแคบที่ไม่ยอมจะเข้าใจและยอมรับเหตุผลของอีกฝ่ายและเลือกที่จะใช้ความรุนแรงในการปรามให้คนหยุดที่จะตีแผ่และแสดงความคิดของตัวเอง ทำให้เหตุการณ์บานปลายและลุกลามใหญ่โตมากขึ้น แต่ละคนย่อมมีมุมมองและความคิดเป็นของตัวเอง
     “แล้วจริงๆ คนแคชเมียร์อยากอยู่กับอินเดียหรือปากีสถานล่ะ”
     ฉันได้ยินได้ฟังมามากว่าแคชเมียร์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอินเดีย คนแคชเมียร์ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนอินเดีย
      “มี 3 กลุ่มครับ เลือกที่จะอยู่กับอินเดียก็มี ปากีสถานก็มี แล้วก็พวกที่อยากอยู่เป็นอิสระ
ไม่ขึ้นกับใคร”
      “แล้วคุณล่ะ”
      “สำหรับผม ตอนนี้ยังไงก็ได้แล้วครับ ผมแค่อยากทำงาน อยากให้ธุรกิจมันกลับมาเป็นปกติ 4 เดือนที่ผ่านมานี้ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเลย กิจการเราแย่ลง ชาวบ้านไม่มีข้าวกิน คนงานไม่มีงานทำ” เขาดูจริงจังและเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
      “จริงๆ ก็คล้ายๆ ที่เมืองไทยน่ะแหล่ะนะ เราก็มีเรื่องความแตกต่างและขัดแย้งเหมือนๆ กัน”
      “เราเคยขอให้รัฐบาลทำผลประชามติให้คนโหวตไปเลยว่าอยากอยู่กับใครแต่เขาก็ไม่ยอม”
      ก็ใครจะไปยอมล่ะ ผู้มีอำนาจก็ย่อมที่อยากจะรักษาอำนาจนั้นไว้ให้นานที่สุด
      “ชาวบ้านคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรมเพราะเมื่อประชาชนลุกขึ้นมาประท้วง ก็ต้องให้สิทธิ์เค้า ไม่งั้นจะบอกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยได้อย่างไร แต่ตำรวจกลับตอบแทนด้วยการใช้ปืนยิงคน แต่ทีกลุ่มอีกศาสนาหนึ่งพอมีการประท้วง เขาใช้น้ำฉีด เหตุการณ์ยิ่งบานปลายตอนที่เด็กวัยรุ่นหลายคนถูกยิงตายเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนหน้านี้ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมาก กว่าคนจากทางรัฐบาลเดินทางมาก็ช้ามาก พอพูดคุยก็เหมือนสถานการณ์จะดีขึ้นมาหน่อย แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข อย่างเรื่องเคอร์ฟิวนี่ก็มีผลต่อธุรกิจมาก เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเคอร์ฟิวเมื่อไหร่ ที่ไหน ทำให้บางทีไกด์ก็ไม่สามารถเดินทางมาหานักท่องเที่ยวได้”
     จริงๆ ไกด์ของเราไม่ใช่ดีน แต่ด้วยเรื่องความไม่แน่นอนนั้นทำให้ทางทัวร์เปลี่ยนแปลงเป็นดีนดูแลเราทุกอย่างทุกเรื่อง อาจเป็นเพราะเขากินนอนอยู่บนเรืออยู่แล้ว
     ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่นี่อย่างมาก ชีวิตที่อยู่ด้วยความหวาดระแวงและไม่มีอิสระ ก็เหมือนถูกขังไว้ในบ้านตัวเองโดยทำอะไรไม่ได้
     “ผมว่าผมเคยเจอคุณนะ คุณหน้าคุ้นๆ” เขาเพ่งมองมาที่ฉัน
      “เหรอ ฉันมาอินเดียหนที่แล้วประมาณ 3 ปี เกือบ 4 ปีแล้ว แต่ไปราชาสถานนะ ให้ทาง
โกลบอลฮอลิเดย์จัดเหมือนกัน มากับเพื่อนอีก 3 คน”
      “โกลบอลฮอลิเดย์เป็นบริษัทที่ดีนะครับ ผมทำงานกับบริษัททัวร์ไทยที่อื่นด้วยถ้าเทียบกัน 
ที่นี่น่าจะดีที่สุดเพราะเค้ามีความใส่ใจลูกค้า ผมได้เรียนรู้การทำงานจากเค้าเยอะเลย”
      มุสตาฟาร์ถือเป็นคนที่มีมารยาทและจรรยาบรรณในการทำงานมากแม้จะอายุไม่มาก 
นฐถามเขาเรื่องทัวร์มาเที่ยวอินเดียในทริปหน้า ส่ิงที่เขาตอบกลับมาคือ
      “คุณติดต่อจากโกลบอลฮอลิเดย์ได้เลย”
      ถ้าเป็นแขกคนอื่นเขาคงรีบคว้าลูกค้าไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุการณ​​์ที่กระทบกับการท่องเที่ยวขนาดนี้
      เขาบอกว่าคุณพ่อเขาสอนมาว่าถ้าคิดจะทำธุรกิจให้ได้นานๆ ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ การโลภเพียงแค่ครั้งเดียวอาจหหมายถึงครั้งสุดท้ายของโอกาส
      ฉันรู้สึกประทับใจมุสตาฟาร์มาก ดูเขาเป็นคนตรงๆ และสปอร์ตดี หลังจากคุยกันพักใหญ่เขาเข้าไปด้านในเพื่อคุยกับดีน และกลับออกมาหาฉันพร้อมกับคำขอร้อง
       “ผมฝากแซฟฟรอนนี้กลับไปให้คุณนีรชาที่โกลบอลฮอลิเดย์ได้มั้ยครับ”
       “อ๋อได้สิ ไม่มีปัญหา ยังไงโทรบอกเค้าหน่อยแล้วกันนะว่าฝากไปกับฉัน”
       มุสตาฟาร์ยังไม่เคยไปเมืองไทยเพราะติดภารกิจมากมาย ฉันเชื่อว่าเขาน่าที่จะชอบเมืองไทยเหมือนกัน เพราะความสวยงามของประเทศเราก็ไม่ได้น้อยหน้าบ้านเขาเลย
       เมื่อแดดเร่ิมลดความแรงลง เราชักชวนกันออกไปพายเรือเล่นโดยมีสปอนเซอร์คือดีน
ให้ยืมเรือ ฝีพายมือหนึ่งของเรานั้นทำหน้าที่ได้ดีมาก มากซะจนชาวบ้านแถวนั้นพายเรือผ่านไปแล้วต้องเหลียวกลับมามองพร้อมอมยิ้มมุมปาก บ้างก็ชมว่าฝีมือฉกาจ บ้างก็ถามว่ามาจากประเทศอะไรทำไมพายเรือเก่งขนาดนี้ เราภูมิใจที่ได้ทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยถึงแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย พี่ลีพายพาเราไปทั่วคุ้งน้ำเยี่ยมชมบ้านเรือนผู้คนแถมแวะซื้อผลไม้จากร้านค้าริมน้ำ ขนาดตำรวจน้ำยังนึกว่าเธอเป็นชาวท้องถิ่น พ่นภาษาพื้นเมืองใส่จนเรางง บรรยากาศยามเย็นนี้ค่อนข้างสบายๆ ไม่มีใครตามมาประกบเรือเราเพื่อขายของ เขาอาจจะเคลิ้มนึกไปว่าเราเป็นคนท้องถิ่น อากาศเริ่มเย็นๆ และสดชื่น น้ำในทะเลสาปไม่เหม็นเหมือนที่บางคนขู่ไว้เพียงแต่ว่ามีสาหร่ายใต้น้ำเยอะมาก ทำให้เริ่มเกิดมลภาวะเป็นปัญหาหลักของทะเลสาปดาลตอนนี้ทางการต้องเร่งมือในการกำจัดสาหร่ายโดยการตักขึ้นมาและนำไปทำเป็นปุ๋ยต่อไป แหมน่าให้คนไทยมาแนะนำวิธีกำจัดผักตบชวาหรือวิธีการนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ใครจะไปรู้เราอาจจะนำเข้าสาหร่ายแคชเมียร์มาทอดกรอบใส่ถุงขายแข่งกับเจ้าตลาดก็ได้








     เรากลับไปถึงเรือกันตอน 6 โมงครึ่ง ซึ่งดีนได้เตรียมอาหารไว้ให้เราพร้อมแล้ว เราเลยสนองเขาด้วยการตั้งอกตั้งใจกินเพราะตั้งตารอเมนูใหม่ๆ จากคริสตัลพาเลสทุกวัน ด้วยว่าอาหารอร่อยมีคุณภาพเหลือเกิน น้ำหนักที่หายไปช่วงอาทิตย์ก่อนหน้านี้คงจะกลับมาทำให้เราอ้วนพีเหมือนเดิม เมนูวันนี้ได้แก่ แกงแพะ ดอกกะหล่ำต้ม ผัดมันฝรั่งกับถั่วลันเตา และมีของแถมถูกใจชาวกรุงเทพคือไข่เจียวรสเด็ด เรากินกันจนพุงแทบระเบิด
     ทานข้าวเสร็จแต่หัวค่ำเลยมีเวลาไปนั่งเอ้อระเหยด้านหน้าเรือ เขียนบันทึกไปเปิดดูรูปที่ถ่ายมาประกอบกับเสียงสวดมนต์รอบสุดท้ายของวันนี้ที่ดังสะท้อนคุ้งน้ำมาจากฝั่งตรงข้าม อากาศเย็นกำลังดี เมื่อเสียงสวดมนต์จบลงความเงียบงันก็เข้ามาแทนที่ ไม่มีแม้แต่เสียงพายเรือ
     ป่านนี้ทุกคนคงกลับบ้านไปหาคนที่รักกันแล้ว เราเองก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น
ก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว 8 วันแล้วกับการเดินทางที่มีเรื่องราวมากมายหลากหลายอารมณ์