28 มีนาคม 2554

2. นมัสเตเนปาล

     ภาพประทับใจแรกของการไปเยือนเนปาลนั้นคือขณะที่เครื่องบินกำลังลดระดับเพื่อลงจอดที่สนามบินแห่งชาติ “ไตรภูวัณ” ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของของชายหนุ่มแปลกหน้าที่เคยฝันถึงอยู่บ่อยๆ เค้าดูยิ่งใหญ่ มีพลัง เต็มไปด้วยความมั่นคง แต่ลึกลับอยู่ในที ที่สำคัญมีแรงดึงดูดให้ต้องตกหลุมรักเมื่อได้แรกเจอตัวจริง จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกว่าใคร ชะเง้อชะแง้มองผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆ ของเครื่องบิน ออกไปให้เห็นหน้าและรูปลักษณ์เต็มๆ ตา ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ รู้สึกตระหนก เพราะก่อนหน้าที่เราจะเดินทางไปนั้น มีข่าวว่าเครื่องบินลำหนึ่งมีปัญหาในการลงจอดเพราะมีนกบินเข้าไปติดตรงใบพัดทำให้เสียการทรงตัว (แต่ในที่สุดก็ลงจอดได้จนสำเร็จ) จึงนั่งกันไม่ค่อยติดเท่าไหร่ สนามบินที่นี่เป็นหนึ่งในสนามบินปราบเซียนอยู่แล้วเพราะว่าอยู่ในหุบเขาจึงไม่สามารถค่อยๆ ลดระดับลงจอดแบบปกติธรรมดาเหมือนที่อื่นๆ ได้ นักบินต้องมีความสามารถระดับพระกาฬในการบังคับเครื่องให้ลดระดับลงในระหว่างหุบเขาแสนแคบ เพื่อนๆ ฉันต่างหวาดเสียวหลับตาสวดมนต์กันเป็นการใหญ่
     ใช้เวลาผ่านด่านศุลกากรไม่นานเพราะเรามีวีซ่าที่ทำมาจากประเทศไทยเรียบร้อยแล้วไม่ต้องไปต่อแถว “visa on arrival” ให้เสียเวลา
     ภาพไม่ประทับใจเท่าไหร่เกิดตามมาเมื่อเราเดินออกมาจากแอร์พอร์ตอันเนื่องมาจากเราไปในช่วงพีคของฤดูกาลท่องเที่ยวของที่นั่นคือเดือนตุลาคม ทำให้มีผู้คนเดินทางเข้ามากันเยอะ เป็นที่มาของการแก่งแย่งลูกค้าของเอเยนซี่ทัวร์ คนขับแท็กซี่ คนลากกระเป๋า ถ้ามองให้เป็นเรื่องธรรมชาติของการอยู่รอดได้ ก็จะช่วยให้ไม่รู้สึกรำคาญใจ โชคดีสำหรับเราที่มีคนจัดแจงเรื่องที่พัก รถรับส่งไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปต่อสู้อะไรให้เหนื่อยใจ
     ระหว่างทางที่ไปโรงแรมรถแล่นผ่านบ้านเรือน ร้านค้า ที่แทรกตัวอยู่ตามทางอย่างบางตาฝุ่นคละคลุ้งไปตลอดเส้นทาง เสียงแตรรถที่ดังไม่ขาดสายเริ่มบีบประสาทเราที่ไม่คุ้นเคยกับเสียงดัง ผู้คนที่บ้างนั่งเล่นนอกชาน เล่นเกมส์พื้นบ้าน บ้างนั่งตัดผมอยู่ริมถนน เด็กๆ เล่นเกร่ อยู่แถวๆ บ้าน แลดูเป็นวิถีชีวิตที่กันดารขัดสนและมอมแมม หากแต่เป็นชีวิตที่ดูจริง ไม่แต่งแต้ม
     เราใช้เวลาเดินทางไปยังโรงแรม “ฮอลิเดย์อินน์ โซลตี” (Soaltee Holiday Inn hotel) ประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะอยู่ห่างตัวเมืองกาฏมาณฑุไปทางทิศตะวันตก โรงแรมนี้หรูระดับ 5 ดาว เป็นหนึ่งในเครือโรงแรมฮอลิเดย์อินน์ มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่โดยรอบเป็นสนามกว้าง ร้านอาหาร สระว่ายน้ำ และคาสิโน ช่างต่างจากสภาพที่เห็นตามรายทางที่ผ่านมา เราเหมือนเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่งเป็นโลกแห่งความเงียบสงบและหรูหราฟุ่มเฟือยเหมาะกับการมาพักผ่อน ราคาค่าห้องนั้นก็สูงสมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เค้ามีให้ ราคาในตอนนั้นคือ 160 USD ต่อคืน (​ค่าเงินบาทในตอนนั้นเท่ากับ 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าห์ )​  

     เราได้รับการต้อนรับโดยการเจิมที่หน้าผากด้วยผงติกกาสีแดง (tika) ซึ่งเป็นธรรมเนียมการต้อนรับของฮินดู ซึ่งหมายถึงการอวยพรจากเทพเจ้า ที่ต้องเจิมตรงกลางหน้าผากก็เพราะว่าเป็นจุดรวมของพลังจักรวาล (chakra) และยังเป็นตัวแทนของดวงตาที่สาม ซึ่งเป็นดวงตาแห่งการเห็นและการรู้ เราจะเห็นดวงตานี้ตรงหน้าผากของพระศิวะ คนที่ได้รับการเจิมก็เสมือนได้รับการปกป้องจากเทพเจ้า ทั้งชายและหญิงจะได้รับการเจิมในแบบเดียวกัน ถ้าเดินไปไหนมาไหนตามท้องถนนจะเห็นชาวเนปาลแทบทุกคนมีผงสีแดงเจิมอยู่ตรงหน้าผาก พวกเขามักจะไปวัดและเจิมหน้าผากกันตั้งแต่เช้าให้เป็นสิริมงคลกับการดำเนินชีวิตตลอดทั้งวันและท้ิงไว้แบบนั้นจนหลุดไปเอง
     หลังจากที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นแล้ว เราก็เช็คอินเข้าห้องพัก ห้องใครห้องมัน นอนสบายคนละห้องไม่ต้องแบ่งใคร ห้องพักจัดแบบตะวันตกมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน และมีขนาดใหญ่กำลังดี เรามีเวลาเตรียมตัวอีกพักใหญ่ก่อนที่จะลงไปทานอาหารค่ำ ฉันและเพื่อนเดินสำรวจรอบๆ โรงแรมด้านหน้าทางเข้าพบว่ามีร้านขายของที่ระลึกอยู่ ซึ่งฉันได้เสียเงินซื้อของตั้งแต่วันแรกเลย ประเดิมด้วยการซื้อกระเป๋าผ้าใบเล็กมีลายปักน่ารัก 

2 ความคิดเห็น:

  1. ได้ยินคำเล่าขานที่มิใช่ตำนานมาเช่นกันว่า
    เส้นทางการบิน ณ ที่นั่นหินพอดู :D

    ผมก็ช่วยพิสูจน์คำผิดไปด้วยเนาะ (ถ้าพอมีเวลา)
    เช่น
    ในวรรคที่ 3 "คนขับแท้กซี่"
    ในวรรคที่ 4 "แลดูเป็นวิถีชีวิตที่กันดาน" เป็นต้น

    ช่วยๆกันตรวจและแก้ไขเนาะ
    อ่านผลงานแล้วจะได้ไม่รู้สึกสะดุด

    งานเขียนคุณชลิสาก็ยังความสนุกสนานในสไตล์ของตนเองได้ดีนะครับ อ่านแล้วเพลินดี(' v ')

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่า ภาษาไทยไม่แข็งแรงจริงๆ : )
    ผู้อ่านคนไหนมีจับผิดคำสะกดหรือข้อมูลได้รบกวนเขียนมาบอกกันได้เลยนะคะ จะได้แก้ให้ถูก ไม่สะดุดใจ : )

    ชลิสา

    ตอบลบ