30 มีนาคม 2554

4. เหลี่ยมสาวไทย

     สำหรับหญิงสาวโสดอายุ 26 ปี ที่ไม่เคยเดินทางไกลไปไหนมาไหนคนเดียว การอยู่เที่ยวคนเดียวที่เนปาลนับเป็นเรื่องใหญ่
     เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันต่างชักชวนให้กลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้นด้วยความเป็นห่วง
     แต่ในใจฉันบอกว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ฉันต้องการ อุตส่าห์โชคดีได้มาฟรีขนาดนี้ถ้าจะให้กลับโดยไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย คงต้องเรียกว่าเสียสติเป็นแน่  เพราะฉะนั้นฉันจะอยู่ต่ออย่างแน่นอน 
     ปราการด่านแรกที่ฉันจะต้องพิชิตให้ได้ก็คือ … หาที่อยู่ใหม่ที่ถูกกว่านี้ เพราะไม่อยากกระเป๋าฉีกเป็นหนี้บัตรเครดิตมากจนเกินไป…
     ทำไงดี ทำไงดี … 
     เดินไปหาเกสต์เฮ้าส์ราคาถูกแถวๆ ทาเมลเหมือนที่ตั้งใจและวางแผนกับเพื่อนไว้
แต่แรกดีมั้ย
     “แล้วเราจะอยู่คนเดียวได้มั้ย มันจะอันตรายมั้ยนะ” เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจ
     ไม่ยากเกินสมองเล็กๆ ของฉันที่จะหาทางออกให้กับตัวเอง ฉันตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อที่โรงแรมเดิมนั่นแหล่ะ แต่ค้นคิดเล่ห์เหลี่ยมแผนการที่จะจ่ายค่าที่พักราคาถูกลงมาหน่อย พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสซะเลย    
     “สวัสดีค่ะ ขอพบผู้จัดการฝ่ายดูแลห้องพักหน่อยค่ะ” ฉันบอกพนักงานที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
     ซักครู่ก็มีชายชาวเนปาลรูปร่างผอมบาง ผิวคล้ำ ตาโต เดินเข้ามาหาฉัน
     “สวัสดีครับ ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของโรงแรม ให้ผมช่วยอะไรได้บ้างครับ” มิสเตอร์    จูเกช เชรสทรา (Jugesh Shresha ) แนะนำตัวเอง หน้าตาท่าทางใจดี
     “เอ่อ ..​.. คือ ​…​ ฉันมาร่วมเวิร์คช้อปกับที่บริษัท อยู่ที่นี่มา 4 วันแล้ว และคิดว่าจะอยู่เที่ยวต่ออีกซัก 4-5 วัน  แต่พอดีเพื่อนที่เมืองไทยตามมาอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไอ้ครั้นจะให้ไปอยู่เกสต์เฮ้าส์คนเดียว ก็กลัว แล้วอีกอย่างก็เร่ิมรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่ พนักงานก็น่ารัก ใจดี รู้สึกอบอุ่น แต่ราคาค่าห้องมันแพงมาก ไม่ทราบคุณจะกรุณาช่วยลดราคาห้องพักลงหน่อยได้มั้ย เพราะฉันไม่มีปัญญาจ่ายราคาเต็มหรอก” ฉันพูดพร้อมแสดงอาการน่าเห็นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้
     “อืมม์​ ... โอเค ผมให้เรทเดียวกับที่ให้บริษัทคุณเลยแล้วกัน 90 USD รวมอาหาร 1 มื้อ” เขาตอบไม่ลังเลซักนิด
     “ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ตกลงฉันจะอยู่ต่ออีก 4 คืน” ฉันออกอาการดีใจจนออกนอกหน้า
     ใครจะนึกว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ลึกซึ้งอีกยาวนานที่ฉันไม่ได้คาดหวังไว้

     เพื่อนๆ คนไทย ต่างเป็นห่วงฉันที่จะอยู่ที่นั่นคนเดียว แต่ฉันรู้สึกมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น จึงดึงดันอยู่จนได้
     เมื่อเราพรีเซ้นต์งานสุดท้ายจบ เหมือนยกภูเขาออกจากอก ถึงแม้กลุ่มฉันจะไม่ชนะก็ตาม แต่เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการทำงานร่วมกับคนที่ต่างจากเรา แบ่งปันความคิดที่แตกต่าง แบ่งแยกหน้าที่และเรียนรู้ว่าเพื่อนชาวต่างชาติเค้ามีความมั่นใจและกล้าแสดงออก กล้าเสนอความคิดตัวเองกันแค่ไหน บางทีผิดถูกไม่ใช่สาระสำคัญที่สุด แต่การได้แสดงความคิดเห็นนี่สิเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
     คราวนี้ก็เหลือแต่เรื่องสนุกๆ แล้ว คืนสุดท้ายคนไทยทั้งหมดรวมกลุ่มกันออกไปทานอาหารด้านนอกโรงแรมแถวๆ ย่านทาเมล เพราะตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นเราต่างต้องแยกย้ายกันไปรับภาระกิจที่ต่างๆ กันไป ไม่ค่อยจะได้ร่วมวงเสวนากันซักเท่าไหร่ ไม่ได้เม้าท์น้ำลายแตกฟองเป็นภาษาไทยซะนาน
     ย่านทาเมลนั้นถ้าให้วาดภาพก็คล้ายๆ ถนนข้าวสารบ้านเราแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก มีถนนเล็กๆ ลัดเลี้ยวไปมา สองข้างทางมีโรงแรม เกสต์เฮ้าส์ราคาย่อมเยา เอเยนซี่ทัวร์ ร้านขายของประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หนังสือ ของที่ระลึก ของพื้นเมือง ส่วนใหญ่ขายนักท่องเที่ยวทั้งนั้น คนเนปาลจริงๆ เค้าไม่มาซื้อของที่นี่กันหรอก ถ้าเดินแล้วเหนื่อยหรือหิวก็มีร้านเบเกอรี่และร้านอาหารนานาชาติที่ไว้บริการนักท่องเที่ยว รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี เรียกว่าถ้ามาอยู่แถวนี้ชีวิตก็จะครบทุกรสชาติ ได้พบเพื่อนต่างชาติมากมาย เห็นพฤติกรรมอะไรแปลกๆ แต่ก็อาจจะเหนื่อยและเบื่อกับความวุ่นวายจ้อกแจ้กจอแจได้ในระยะเวลาไม่กี่วัน
      เราเลือกทานอาหารร้านหนึ่งที่มีอาหารหลายชาติให้เลือก ถูกปากทุกๆคนตามแต่รสนิยม หลังจากนั้นจึงเดินเล่นซื้อหาของฝากกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะกลับไปพักผ่อน ชีวิตยามค่ำคืนที่กาฏมาณฑุในช่วงเวลานั้นไม่ได้ยาวนานและอึกทึกมากนัก หลังสามทุ่มร้านรวงก็ปิดหมดแล้ว เรียกว่ายังพอมีความสงบหลงเหลืออยู่บ้าง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น