29 มีนาคม 2554

3. นักเรียนในค่ายกักกัน

     คืนแรกมีปาร์ตี้ต้อนรับนักเรียนทั้งหลายที่เดินทางมาจากหลายๆ ประเทศในแถบเอเชียที่บริษัทมีสาขาอยู่มีทั้งหมด 14 ประเทศ อันได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน ฮ่องกง จีน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ออสเตรเลีย แต่ละคนได้รับมอบหมายให้ตระเตรียมชุดประจำชาติมาแต่งในคืนแรก ซึ่งเพื่อนๆ ฉันนั้นไม่มีใครเตรียมตัวมา ฉันจึงต้องเป็นตัวแทนแต่งชุดไทยแบบกระท่อนกระแท่น ซื้อมาด้วยราคาย่อมเยาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อนๆ ชาติอื่นมีแต่งกันบ้างประปรายชาติที่แต่งชุดประจำชาติกันเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันดูเหมือนว่าจะไม่ต้องกังวลในการหาอุปกรณ์มาแต่งตัวซักเท่าไหร่ เช่นชาวอินเดีย น่าอัศจรรย์จริงๆ ที่บางประเทศยังคงธรรมเนียมการแต่งชุดประจำชาติในชีวิตประจำวัน ถ้าจะอ้างว่าชุดไทยแต่งยาก ก็ต้องลองดูส่าหรีบ้าง ไม่ใช่ใส่กันง่ายๆ เลย แถมยังรุ่มร่ามอีก แต่เค้าก็ใส่กันเป็นเรื่องธรรมดา ดูไม่ค่อยมีความลำบากหรือก่อให้เกิดอุปสรรคในการดำรงชีวิตกันซักเท่าไหร่  
     ทางคนจัดงานยังให้ทุกคนเตรียมของขวัญมาแลกกันคนละหนึ่งชิ้นโดยที่ให้จับคู่พูดคุยซักถามทำความรู้จักอีกฝ่ายแล้วให้มาเล่าให้ทุกคนฟังถึงเรื่องส่วนตัวที่ได้สืบมา เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่อย่างรวดเร็วและผ่อนคลายจากความตื่นเต้นลงได้บ้าง ค่ำคืนในปลายเดือนตุลาคมที่กาฐมาณฑุนั้นอากาศเย็นกำลังดีเพราะเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูหนาว มีแจ็คเก็ตหนึ่งตัวก็ปกป้องจากลมเย็นที่โชยเบาๆ ได้สบาย     
     เพื่อนๆ ฉันบางคนเริ่มรู้สึกกังวลกับการอยู่ที่เนปาลในวันถัดๆไป เมื่อได้ลองล้ิมรสอาหารมื้อแรก เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารพื้นเมืองเนปาลและอาหารอินเดีย เลยเกิดอาการไม่ถูกปากทำหน้าปูเลี่ยนๆ ร้องหาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่นำมาจากเมืองไทยตั้งแต่มื้อแรกซะแล้ว ถือเป็นอาวุธลับของชาวไทยเวลาเดินทางไปไหนๆ สำหรับฉันไม่มีปัญหา อาหารถูกปากถูกใจจนต้องเติมซ้ำ
     อาหารเนปาลส่วนใหญ่เป็นผัก เพราะคนส่วนมากมักทานมังสวิรัติ อาหารง่ายๆ ที่เค้าทานกันในชีวิตประจำวัน (คงคล้ายข้าวกระเพราะไก่ไข่ดาวที่เป็นเมนูสิ้นคิดของใครๆ รวมทั้งฉันด้วย เวลาที่นึกอะไรไม่ออกก็ต้องทานผัดกระเพรานี่แหล่ะ มั่นใจได้ว่าไม่ผิดหวัง) มักจะเป็นข้าว (ข้าวจ้าวและข้าวบาร์เล่ย์) กับผัดผัก และแกงถั่วซึ่งมักราดไปบนข้าว คนเนปาลทานข้าวด้วยมือ และถ้าคิดจะลอกเลียนแบบล่ะก็ต้องทานให้ถูกธรรมเนียม ก่อนทานต้องล้างมือล้างปากซะก่อน ใช้มือขวาทานเท่านั้น แล้วอย่าส่งจานอาหารบนโต๊ะด้วยมือซ้ายเด็ดขาด คนเนปาลเค้าต่างคนต่างทานไม่แบ่งกัน อาหารถือเป็นของศักดิสิทธิ์ เพราะฉะนั้นอย่าเผลอไปขอลองจ้ิมอาหารจากคนอื่น เพราะจะถือว่าทำให้อาหารนั้นสกปรก

     ความจริงใครที่ทานอาหารยาก ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเตรียมอาหารมาให้หนักกระเป๋าหรอกร้านอาหารที่กาฐมาณฑุนั้นมีให้เลือกหลากหลายมากมายเกือบทุกชาติ น่าจะหารสชาติที่ถูกปากได้บ้าง
     วันรุ่งขึ้นเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าห้องเรียน ซึ่งถูกจัดไว้ในห้องประชุมห้องหนึ่งภายในบริเวณโรงแรม ครูที่มาสอนเรานั้นเป็นตัวแทนจากแผนกต่างๆ ภายในเอเยนซี่โฆษณาที่จะสอนวิธีคิด ขั้นตอนในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งกลเม็ดเคล็ดลับทีเด็ดต่างๆ ในการทำงาน นักเรียนแต่ละคนต้องพรีเซ้นต์ประสบการณ์การทำงานในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งบอกเล่าถึงเหตุผลของความสำเร็จที่เกิดขึ้น เพื่อที่ว่าคนอื่นๆ จะได้นำไปใช้ในประเทศตัวเองบ้างถ้าเห็นว่ามันดีจริง รวมทั้งลูกค้าตัวจริงที่แจกโจทย์ให้เราช่วยวางแผนงานรวมไปถึงคิดงานครีเอทีฟนำเสนอให้กับสินค้าของเค้า ถ้ากลุ่มไหนคิดไอเดียได้โดนใจก็จะได้รับรางวัลในวันสุดท้าย
     เราถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งแต่ละกลุ่มถูกปะปนไปด้วยนักเรียนชาติต่างๆ โดยไม่ซ้ำกัน จะได้ไม่จับกลุ่มคุยกันเอง และได้มีโอกาสทำความรู้จักเพื่อนร่วมกลุ่มจากชาติอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็น วัฒนธรรมที่แตกต่าง สำหรับกลุ่มฉันนั้นประกอบไปด้วย ฉันซึ่งเป็นตัวแทนจากประเทศไทย อินเดีย จีน บังกลาเทศ และปากีสถาน
     การที่อยู่รวมกับคนที่ต่างจากเรา ทั้งเพศ สัญชาติ ภาษา และความคิดนั้น เป็นเรื่องท้าทายไม่ใช่น้อย สนุกก็สนุกดีอยู่หรอก เพราะเราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เยอะแยะ ทั้งเรื่องวัฒนธรรม ความเชื่อ ความคิดต่างๆ แต่เรื่องปวดหัวก็มีไม่น้อย ก็ไอ้เพราะความต่างนี่แหล่ะ ที่ทำให้เราต้องใช้เวลามากกว่าเดิมในการทำความเข้าใจในแต่ละเรื่อง ฉันโชคดีเล็กน้อยที่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมีครูต่างชาติมาสอนอยู่หลายชาติ ทำให้คุ้นเคยกับสำเนียงภาษาอังกฤษหลายรูปแบบ บางครั้งเลยต้องทำตัวเป็นล่ามจำเป็นในการแปลภาษาอังกฤษเป็นอังกฤษระหว่างคนอินเดียกับคนจีน เป็นเรื่องขำขันและสนุกไม่ใช่น้อย ต่างคนต่างถามว่าฉันสามารถเข้าใจได้ไงว่าฝั่งตรงข้ามพูดว่าอะไร ไหนยังภาษากายที่แต่ละชาติก็มีวิธีแสดงออกที่แตกต่างกันอีก คนอินเดียนั้นเมื่อเค้าเห็นด้วยในส่ิงที่เราพูดเค้าจะส่ายหน้าไปด้วยตลอดเวลาที่ฟังเรา ตอนแรกๆ ฉันก็งง เราพูดอะไรไป เค้าส่ายหน้าหมดเลย นี่จะหาเรื่องกันหรือไง ทำไมไม่เห็นด้วยกับฉันแม้แต่เรื่องเดียว แต่เมื่อทำความคุ้นเคย ซักพักก็เข้าใจ หลังๆ ฉันก็เลยส่ายหน้าเข้าจังหวะตามเค้าไปด้วยโดยอัตโนมัติ
     ระหว่างที่เราขะมักเขม้นกับการเรียนและการทำงานนั้น เราไม่ได้ออกไปเที่ยวด้านนอกโรงแรมเลย เพราะต้องทำงานจนถึงดึกดื่นแถมยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาเข้าห้องเรียนอีก ทานอาหารสามมื้อรวดในโรงแรม จนเพื่อนๆ ฉันเบื่ออาหารที่เค้าเตรียมไว้จนต้องฝากท้องไว้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกือบทุกมื้อเลยทีเดียว ฉันอยากให้ถึงวันสุดท้ายของการเรียนเร็วๆ เพราะจะได้มีอิสระเสียที นกในกรงทองจะได้โบยบินไปชมโลกแห่งความจริงด้านนอกกับเค้าบ้าง                  
     วันสุดท้ายของการเรียน ฉันได้โน้ตลับภายในห้องนอน เป็นแฟ้กซ์มาจากเมืองไทย ความว่า ….
     “ฉันไปเที่ยวกับเธอไม่ได้แล้ว เพราะไม่สามารถจองตั๋วเครื่องบินได้ ช่วงนี้ตั๋วเต็มมาก ขอโทษที…..”
     โอย ความรู้สึกเหมือนกน้อยในกรงทองที่กำลังจะกางปีกโบยบิน แต่แล้วเจ้าของกลับเปลี่ยนใจ ปิดกรงซะต่อหน้าต่อตา แล้วทีนี้นกน้อยในกรงทองจะทำยังไงดี ระหว่าง
เปลี่ยนตั๋วเครื่องบิน บินกลับพร้อมเพื่อนที่มาด้วยกัน
หรือ … อยู่ต่อคนเดียวก็ได้ ไม่เห็นจะง้อเลย ฝุ่นเนปาลยังไม่ได้สัมผัสซักนิด 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น