ซักพักชายคนนั้นก็มาเชิญเราเข้าไปอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องประทับของกุมารีคล้ายเป็นห้องทรงงานในการรับแขก ซึ่งขณะนั้นท่านได้นั่งประทับอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง แต่งตัวเต็มยศ ชุดสีแดงสดพร้อมเครื่องประดับมากมายอยู่บนคอ เท้าวางอยู่บนถาดกลม เราเดินเข้าไปนั่งห่างๆ ฉันกับพี่ตุ๊กทำหน้าเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับท่านและท่านก็จะไม่พูดกับคนสามัญทั่วไปอยู่แล้ว ฉันหันไปถามพี่ธันวาว่าถ่ายรูปท่านได้มั้ย เมื่อได้รับไฟเขียวเราก็หยิบกล้องขึ้นมา เพื่อถ่ายรูปท่าน ท่านดูหน้าบึ้งทำให้ฉันเกรงว่าท่านจะไม่พอใจอะไรรึเปล่า ฉันพยายามยิ้มให้ท่านเพราะคิดว่ารอยยิ้มนั้นเป็นภาษาที่เข้าใจได้ทั่วโลกไม่ว่าคุณจะพูดภาษาอะไรก็ตาม แต่ท่านก็ไม่มีปฏิกริยาตอบโต้ ดูๆไปแล้วท่านก็เหมือนเด็กหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ก็คงมีอาการเบื่อบ้างที่ต้องเจอกับใครมากมาย และปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ตามที่ถูกกำหนดไว้ พี่ธันวาบอกให้เราเข้าไปรับพรโดยการให้ท่านเจิมหน้าผากแล้วจะถ่ายรูปให้ ฉันก็ค่อยๆ เขยิบด้วยเข่าเข้าไปใกล้ มือพนมและยื่นหน้าให้ท่านเจิม เสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่เดิม พี่ตุ๊กก็ทำแบบเดียวกัน โชคร้ายที่กล้องพี่ธันวาเกิดเป็นอะไรไม่รู้จึงไม่สามารถถ่ายรูปขณะที่ท่านเจิมหน้าผากให้ได้ จึงต้องเทคใหม่อีกรอบ แต่โชคไม่ดีกุมารีไม่ชอบเทค ฉันจึงได้ภาพที่ทำท่าไหว้กุมารีอยู่ด้านหน้าท่าน เลยถือโอกาสทำบุญให้ท่านด้วยสุดท้ายก่อนกลับยังดีที่ท่านไม่เบื่อซะก่อนเราเลยได้ถ่ายภาพร่วมกับกุมารีอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ท่านจะกลับไปยังห้องประทับ ทราบภายหลังว่าชายวัยกลางคนคนนั้นก็คือคุณพ่อของกุมารี พี่ธันวาบอกว่าปกติคุณแม่จะเป็นคนดูแลแต่วันนั้นเธอคงไม่อยู่ เหตุการณ์เลยไม่เป็นไปตามคาด เพราะคุณพ่อก็ดูพูดไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เป็นธรรมเนียมที่เมื่อเด็กหญิงได้รับคัดเลือกให้เป็นกุมารีแล้วทั้งพ่อแม่และครอบครัวต้องย้ายบ้านมาอยู่ยังบ้านของกุมารี อย่างที่ปาตันนี่ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในกุมารีหลวงแต่การปฏิบัติตัวนั้นไม่ต้องเคร่งครัดมากเท่ากุมารีที่กาฐมาณฑุ ยิ่งถ้าเป็นที่ภักตาปูร์นั้นยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นไปอีก นั่นคือสาเหตุที่หลายๆ คนอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงได้เข้าพบกุมารีง่ายขนาดนั้น ถ้าเป็นที่กาฐมาณฑุละก้อไม่มีทางได้ใกล้ตัวขนาดนี้
ความรู้สึกของฉันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นต้องเรียกว่า “ทำตัวไม่ถูก” ก็อย่างที่บอกว่าเราไม่คุ้นเคยกับการกราบไหว้เด็ก แต่เราต้องแสดงความเคารพและความเชื่อว่าเธอคือเทพเจ้าในร่างมนุษย์ เลยทำใจลำบาก จะบอกว่าไม่เชื่อก็ไม่เชิง แต่จะบอกว่าเชื่อเต็มร้อยก็พูดไม่ได้เต็มปาก เอาเป็นว่าเราเคารพในทุกศาสนาและวัฒนธรรมของแต่ละที่ก็แล้วกัน คิดให้สบายใจก็เข้าเมืองตาหล่ิวก็หล่ิวตาตามไปจะได้สบายใจกันถ้วนหน้า
เราไปทานอาหารเย็นกันที่ “คาเฟ่ เดอ ปาตัน” (Café de Patan) ซึ่งเป็นทั้งร้านอาหารและที่พัก เราตรงขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าเพื่อที่จะชมวิวเมือง ซึ่งสามารถเห็นตึกรามบ้านช่องต่างๆที่อยู่กันอย่างแออัดได้อย่างชัดเจน และที่พิเศษกว่านั้นเราเห็นยอดของรถแห่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามตรอกซอกซอยอยู่ลิบๆ ซึ่งหลังจากทานอาหารค่ำเสร็จพี่ธันวาก็ชวนไปดูขบวนแห่อีกครั้ง แต่วันนี้ขบวนไม่ได้เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เกิดตามมาก็คือความล่าช้าของพิธี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น