จูเกชนั่นเอง เขาดูไม่ต่างไปจากเดิมเมื่อหลายปีที่แล้วมากนักเพียงแต่อาจจะมีเนื้อหนังมากขึ้นหน่อยตามอายุ แต่ก็จัดว่าเป็นผู้ชายร่างเล็กอยู่ดี
เราต่างก็สวมกอดเข้าหากันอย่างดีใจ เพื่อนเก่าสองคนกลับมาเจออีกครั้งหลังจากไม่เจอกันนานหลายปี ฉันแนะนำให้จูเกชรู้จักกับพี่ตุ๊กและพี่ธันวา ก่อนที่เราจะแยกจากพี่ธันวาไปทานอาหารค่ำ
“ร้านที่ผมจะพาไปอยู่แถวย่านทาเมล คุณอยากนั่งรถไปหรือว่าอยากเดินไป” จูเกชถามด้วยความห่วงใย
“เอ … แล้วทาเมลไกลจากตรงนี้มั้ยนะ ฉันเริ่มงงๆ กับทิศน่ะ”
“ใกล้นิดเดียวเอง เดินไปห้านาทีก็ถึง อะไรกันคุณจำไม่ได้เหรอ ทางนี้ไงทาเมลแล้วก็ทางโน้นทางไปบ้านผมไง” จูเกชทำหน้าล้อเลียนฉัน
“เออ … ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว มันนานแล้วนะ แต่ถ้าเดินไปแค่ห้านาทีของคุณ ซึ่งก็คงสิบนาทีของชาวกรุงเทพอย่างเราก็คงไม่ไกลมาก เดินแล้วกัน” ฉันหยอกเขา
“โอเค งั้นเดี๋ยวผมให้คนขับรถขับตามไปที่นั่น” เขาเดินไปบอกคนขับรถของเขา
ฉันสังเกตเห็นว่าจูเกชดูภูมิฐานขึ้นกว่าแต่ก่อน ดูมีสง่าราศี เดาเอาเองว่าเขาคงมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและมีฐานะดีขึ้นมาก อดดีใจกับเขาด้วยไม่ได้
เราแยกกับพี่ธันวาตรงนั้น โดยที่จูเกชขันอาสาว่าจะไปส่งเราเองเมื่อทานอาหารเสร็จ
“เออจูเกช เมื่อวันก่อนฉันไปแถวๆ ทาเมลมา เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปค่อนข้างมากนะ ร้านเปิดขึ้นอีกมากแล้วก็เสียงดังด้วย ฉันไม่ชอบมันเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ” ฉันบอกกับจูเกช
“แต่ร้านที่ผมจะพาคุณไปเนี่ยเป็นร้านพิเศษ ผมไปประจำเลย คุณต้องชอบแน่ๆ” เขาอวด
ให้ฟัง
ให้ฟัง
“โอเค ฉันไม่ได้สนใจเรื่องร้านมากนักหรอกเพราะจุดประสงค์หลักก็คือมาพบเพื่อน”
เราเดินไปประมาณเกือบสิบนาทีก็มาถึงร้าน “รัม ดูเดิ้ล” (Rum Doodle) ซึ่งเป็นร้าน
อาหารกึ่งๆ บาร์ แหล่งรวมนักปีนเขา ตามผนังถูกตกแต่งไปด้วยรอยเท้าที่ทำจากกระดาษพร้อมกับลายเซ็นต์นักปีนเอเวอเรสทั้งที่มีชื่อเสียงและไม่มี มีคนดังๆ มาทิ้งลายเซ็นต์ไว้มากมาย นับตั้งแต่ เซอร์ เอดมัน ฮิลลารี (Sir Edmund Hillary) คนสำคัญระดับประเทศมากมายที่มาที่ร้านนี้ เช่นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จิมมี่ คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เรียวทาโร่ อาชิโมโตะ (Ryutaro Hashimoto) ส่วนใหญ่คนที่ไปปีนเขาสำเร็จจะกลับมาดื่มฉลองกันที่ร้านนี้ ถ้าใครพิชิตเอเวอเรสได้ก็จะได้ทานฟรี เราขึ้นไปนั่งกันบนดาดฟ้าซึ่งบรรยากาศค่อนข้างดี พอตกเย็นอากาศค่อยเย็นขึ้นหน่อยทำให้เราหายเหนื่อยไปได้บ้าง จูเกชสั่งเบียร์เป็นอันดับแรกและชักชวนให้ฉันดื่มด้วยแต่ฉันปฏิเสธไปโดยอ้างว่าต้องมีอาหารตกถึงท้องก่อน ไม่งั้นจะเมาได้ง่ายมาก เลยเป็นข้อตกลงว่าฉันจะต้องร่วมดื่มด้วยเมื่อท้องเริ่มตึง ส่วนพี่ตุ๊กเอาตัวรอดด้วยการบอกว่าเป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์
อาหารกึ่งๆ บาร์ แหล่งรวมนักปีนเขา ตามผนังถูกตกแต่งไปด้วยรอยเท้าที่ทำจากกระดาษพร้อมกับลายเซ็นต์นักปีนเอเวอเรสทั้งที่มีชื่อเสียงและไม่มี มีคนดังๆ มาทิ้งลายเซ็นต์ไว้มากมาย นับตั้งแต่ เซอร์ เอดมัน ฮิลลารี (Sir Edmund Hillary) คนสำคัญระดับประเทศมากมายที่มาที่ร้านนี้ เช่นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จิมมี่ คาร์เตอร์ (Jimmy Carter) อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เรียวทาโร่ อาชิโมโตะ (Ryutaro Hashimoto) ส่วนใหญ่คนที่ไปปีนเขาสำเร็จจะกลับมาดื่มฉลองกันที่ร้านนี้ ถ้าใครพิชิตเอเวอเรสได้ก็จะได้ทานฟรี เราขึ้นไปนั่งกันบนดาดฟ้าซึ่งบรรยากาศค่อนข้างดี พอตกเย็นอากาศค่อยเย็นขึ้นหน่อยทำให้เราหายเหนื่อยไปได้บ้าง จูเกชสั่งเบียร์เป็นอันดับแรกและชักชวนให้ฉันดื่มด้วยแต่ฉันปฏิเสธไปโดยอ้างว่าต้องมีอาหารตกถึงท้องก่อน ไม่งั้นจะเมาได้ง่ายมาก เลยเป็นข้อตกลงว่าฉันจะต้องร่วมดื่มด้วยเมื่อท้องเริ่มตึง ส่วนพี่ตุ๊กเอาตัวรอดด้วยการบอกว่าเป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์
จูเกชไม่ยอมแพ้ “งั้นคุณดื่ม mock-tail ส่วนแครอลดื่ม cock-tail เมื่อได้ทานของว่างแล้ว” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี
จูเกชสั่งของว่างมาให้เราทานกันคือ chicken wing และโมโม่ ( ของว่างของทิเบต ) รสชาติอร่อยมากๆ พร้อมกับซื้อหนังสือเรื่องสั้นเกี่ยวกับการเดินทางของนักปีนเขา The Ascent of Rum Doodle ให้กับฉันและพี่ตุ๊กคนละเล่ม ซึ่งแต่งโดย W.E. Bowman เพื่อเป็นที่ระลึกว่าได้มาดื่มและทานที่ร้านนี้แล้ว
พักใหญ่เพื่อนๆ จูเกชตามมาสมทบอีกสองคน ทำให้เรามีบทสนทนากันมากมาย ทั้งเรื่องมีสาระและไม่มีสาระ คำถามยอดฮิตก็คือ ฉันกับจูเกชรู้จักกันได้ไง
“โอย … มันเป็นเรื่องบังเอิญมากๆ ฉันทำเรื่องหน้าด้านไว้หลายอย่างเลย”
พวกเขาคะยั้นคะยอให้ฉันเล่าให้ฟัง
“หลายปีที่แล้ว ประมาณปี 1997 ฉันเดินทางมาสัมนาที่นี่แล้วก็พักที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ที่จูเกชทำงานอยู่ในตอนนั้น ฉันอยากอยู่เที่ยวต่อแต่เพื่อนตามมาเที่ยวด้วยไม่ได้ก็เลยต้องอยู่คนเดียว ทีนี้ราคาค่าห้องก็แพงมากก็เลยขอพบผู้จัดการซึ่งก็คือชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ ฉันพูดกับเขาตรงๆ ว่าไม่มีเงินเยอะขอลดค่าห้องหน่อย เขาก็ให้ด้วยความใจดี ฉันก็เลยซึ้งใจมาก คิดว่าเขากลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งในชีวิต”
“แครอลมางานแต่งงานผมด้วยนะ” จูเกชเล่าต่อ
“ใช่ หลังจากครั้งแรกฉันก็ยังคงติดต่อกับจูเกชทางเมล์บ้าง พอถึงปี 2000 ฉันอยากมาเที่ยวพักร้อนอีกครั้ง ก็นึกถึงเนปาลเพราะรู้สึกผูกพันเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ก็เลยติดต่อจูเกชให้ช่วยจองโรงแรมราคาย่อมเยาให้ บังเอิญว่าเขากำลังจะแต่งงานพอดีก็เลยชวนฉันมาร่วมงานด้วย นับแต่นั้นมาเราก็เลยสนิทกันขึ้น”
เรานั่งคุยกันสนุกสนานพักใหญ่ สั่งอาหารจานหลักที่รสชาติอร่อยมากๆ พร้อมกับคอคเทลและมอคเทลมาดื่มกัน นั่งเพลินๆ ก็เกือบเที่ยงคืน ยิ่งดึกก็ยิ่งมีคนมาดื่มกันมากขึ้น เชื่อแล้วว่าเป็นร้านยอดฮิตจริงๆ ถ้าอยากทานฟรีที่นี่ไปตลอดชีวิตมีทางเดียวต้องพิชิตเทือกเขาเอเวอเรสให้ได้ก่อน อิอิ …
จูเกชดูท่าทางมีความสุขกับชีวิต ผ่อนคลาย ไม่เครียดเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วที่เราเจอกัน อาจเป็นเพราะชีวิตเขาครบสมบูร์แบบแล้ว มีครอบครัวที่มีความสุข มีภรรยาที่ดี ลูกที่น่ารักถึงสองคน การงานก็เจริญก้าวหน้า มีเพื่อนร่วมสังสรรค์ดื่มด้วยกันบ่อยๆ
จูเกชอยากให้ฉันเจอริซ่ามากๆ อยากให้ฉันพูดคุยกับเธอเพื่อถามไถ่ว่าเธอมีความสุขดีรึเปล่า มีความทุกข์หรือเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือไม่ ฉันรู้สึกแปลกใจมากพอสมควรเพราะถ้าจะว่าไปฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองสนิทสนมกับจูเกชมาก แล้วนี่เขาไว้ใจขนาดให้ฉันพูดคุยถามไถ่เรื่องราวส่วนตัวของเขากับภรรยาขนาดเพื่อนที่กรุงเทพยังไม่มีใครขอให้ฉันทำอะไรแบบนี้เลย
ฉันออกจะแปลกใจแต่ก็รับปากจูเกชว่าจะลองคุยกับเธอดู เดาเอาเองว่าเขาคงคิดว่าฉันเป็นเหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่มีบุคลิกลักษณะที่เป็นตัวของตัวเอง พูดตรงๆ อาจทำให้ริซ่าพูดความในใจของเธอออกมาก็ได้
“เออ … ผมถามหน่อยสิ ว่าเมื่อไหร่คุณถึงจะยอมแต่งงานซักที” จูเกชซัก
“คงไม่แต่งแล้วล่ะ ฉันยังไม่เจอคนที่ถูกใจเลย แล้วอีกอย่างถ้าแต่งงานแล้วฉันคงไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระตามใจอยาก” ฉันบอกเขา
“ผมว่าไม่จริงหรอก ดูอย่างผมสิ ผมก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลย” เขาเถียง
“ก็ถ้าฉันแต่งงาน ฉันคงไม่ได้เดินทางมาเจอคุณได้บ่อยๆ อีกแล้วนะ”
“เออ ถ้าเป็นอย่างนั้นอย่าแต่งเลยดีกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ท่าทางจูเกชคงคิดว่าฉันเป็นเพื่อนนักเที่ยวของเขาจริงๆ ซะด้วย
จูเกชขับรถไปส่งเราที่ซานูเฮ้าส์เมื่อเวลาใกล้ตีหนึ่ง หลังจากที่แวะไปดื่มต่อที่บาร์แห่งนึ่ง พร้อมกับทิ้งท้ายคำพูดดีๆ ที่ทำให้ฉันซึ้งใจ
“แครอล คุณจำไว้เลยนะ ผมน่ะมีเพื่อนสนิทไม่กี่คน และคุณก็เป็นหนึ่งในคนที่ผมถือว่าเป็นเพื่อนสนิทของผม เพราะฉะนั้นคุณเป็นคนสำคัญในชีวิตผม ไม่ว่าเรื่องอะไรผมทำเพื่อเพื่อนได้เสมอ ครั้งหน้าถ้าคุณมาเนปาลอีก คุณต้องสัญญาว่าจะมาพักที่บ้านผม ผมกำลังจะสร้างบ้าน ซื้อที่ไว้แล้วแถวๆ หมู่บ้านโคคนะ เดี๋ยววันเสาร์ที่เราเจอกันผมจะพาคุณไปดูที่ มันสวยมากเลย รับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่ๆ”
จูเกชออกจะมึนๆ นิดหน่อย เลยพูดจาอะไรออกมามากมายมากกว่าทุกๆ ครั้งที่เราเจอกัน ทำให้ครั้งนี้ฉันรู้จักจูเกชในตัวตนแบบใหม่ ในใจฉันรู้สึกยินดีกับเขาอย่างมากที่ดูเหมือนว่าชีวิตเขาพร้อมสมบูรณ์และมีความสุขดี เรามักจะยินดีเมื่อเห็นเพื่อนมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต และก็อยากที่จะสนับสนุนและเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ
คืนนั้นฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจูเกชถึงอยากให้ฉันพูดคุยกับริซ่าในเรื่องส่วนตัวนัก แต่ก็อีกไม่กี่วันหรอกฉันก็จะได้พบคำตอบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น