อาหารที่โรงแรมนิวานั้นรสชาติค่อนข้างดี อาหารค่ำเมื่อคืนนี้ก็ถูกปากเรามาก สำหรับอาหารเช้าเป็นแบบลูกครึ่ง มีออมเลตและผัดผัก เรานำแอ้ปเปิ้ลและมะม่วงมาทานล้างปากซึ่งรสชาติหวานใช้ได้ พี่ธันวาเล่าว่าเมื่อคืนนี้นอนดึกทีเดียวเพราะอยู่คุยสัพเพเหระกับเจ้าของโรงแรมที่เคยรู้จักกันเมื่อนานมาแล้วแกเป็นชายวัยกลางคนชาวภักตาปูร์ เปิดโรงแรมนี้มานานหลายปี ดูท่าทางใจดี และมีอัธยาศัยดีมากๆ ต้อนรับแขกที่มาพักด้วยตัวเองอย่างเป็นกันเองมาก มีมอเตอร์ไซต์คู่ใจใช้ขี่ขึ้นลงนาการ์ก็อตอย่างคล่องแคล่ว
วันนี้เราจะไปแวะชมหมู่บ้านเนวาร์เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกหุบเขากาฐมาณฑุ ชื่อว่า “ปาเนาติ” (Panuati) เป็นหมู่บ้านที่อนุรักษ์สถาปัตยกรรมโบราณไว้ได้อย่างดีอีกแห่งหนึ่ง และแน่นอนสิ่งหลักๆ ที่ต้องไปดูย่อมต้องเป็นวัด ที่นี่มีวัดเก่าแก่ที่บูชาพระศิวะชื่อว่า “อินเดรชวา มหาเทพ” ( Indreshwar Mahadev Temple ) ลักษณะสถาปัตยกรรมนั้นเป็นแบบเนวาร์โบราณแท้ๆ เชื่อกันว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดมีหลังคา 3 ชั้น และคานของแต่ละชั้นก็แกะสลักลวดลวยปางต่างๆ ของพระศิวะอย่างละเอียด ข้างๆ กันมีวัด อุนามันตา ไภราพ ( Unamanta Bhairab Temple ) ถ้าสังเกตบนหน้าต่างชั้นสองจะเห็นเทพไภราพสีขาวโผล่จากหน้าต่างทั้งสามบานเหมือนกับที่เราเห็นพระศิวะกับพระนางภราวาติโผล่จากหน้าต่างที่กาฐมาณฑุ เราเดินเล่นรอบๆ ข้ามสะพานไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านยามเช้า บ้างก็ออกมาซักผ้าที่แม่น้ำ อาบน้ำ สระผม บางคนก็ออกไปทำงานในไร่
ขากลับจากหมู่บ้าน คนขับรถของเราขอแวะซื้อมั่นฝรั่งระหว่างทางเพราะแถบนี้เขาขายกันเป็นถุงใหญ่ๆ ราคาถูกกว่าในเมืองมาก มันฝรั่งสามารถเก็บไว้ได้นานและเป็นส่วนประกอบหลักของอาหารเนปาล ทานง่ายให้กำลังเยอะ เราแวะจอดรถระหว่างทางและลงเดินไปในไร่มันฝรั่งที่เห็นอยู่ลิบๆ เห็นเป็นเรื่องสนุกไป ระหว่างทางมีคนงานเดินขนถุงมันโดยใช้เชือกรัดไว้กับหัวและใช้หลังแบกรับน้ำหนัก เดินกันตัวปลิว แต่เมื่อถามก็ได้ความว่าแต่ละถุงนั้นมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 70-100 กิโลกรัมเลยทีเดียว เราถึงกับอ้าปากค้าง แต่เขาตอบเราว่า “ทำไงได้ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีเงินไปเลี้ยงชีวิต” เฮ้อ ชีวิตคนทำไมมันลำบากยังงี้ ไอ้เราบางทีก็เพียรบ่นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ลำบากนิดลำบากหน่อยก็หน้าบูด ไม่ต้องแบกมันก็ดีถมไปแล้ว
เราเดินตะลุยเข้าไปช่วยกันเลือกมัน ขุดเอาใหม่ๆ สดๆ จากดินเลย แต่ต้องมีเทคนิคและอุปกรณ์พิเศษไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าฟันลงไปแรงๆ ในดิน เดี๋ยวไปโดนมันแหว่งก็จะขายไม่ได้ราคา เจ้าของไร่ดูท่าทางใจดี พูดคุยอธิบายเกี่ยวกับมันให้เราฟัง เขามีไร่มันขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว แต่ขายราคาไม่แพงตกกระสอบละ 350-400 รูปี เท่านั้น ก็ประมาณ 175-200 บาท โห ปลูกแทบแย่ ได้เงินนิดเดียวเอง เกษตรกรบ้านเขาคงถูกเอาเปรียบคล้ายๆ กับบ้านเรา สรุปว่าคนขับรถของเรามีมันราคาถูกกินไปอีกหลายเดือนทีเดียว
เราตัดสินใจว่าจะไปทานมื้อเที่ยงแถวๆ “ดุลิเกล” (Dhulikhel) จะได้ดูวิวเทือกเขาหิมาลัยจากอีกทิศหนึ่งด้วย ปรากฏว่าไม่เห็นเทือกอะไรทั้งนั้นเห็นแต่เมฆลอยเต็มฟ้า แต่ก็ได้ทานอาหารแก้หิว ตอนแรกพี่ตุ๊กอยากจะสั่งไก่ทอด แต่พอเห็นคนงานเดินหิ้วไก่เข้าไปในครัวหลังจากที่รับออร์เดอร์นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ไม่นานนักได้ยินเสียงสับโป้ก เท่านั้นแหล่ะถึงกับเปลี่ยนใจทานอย่างอื่น
บ่ายวันนี้เราไม่มีแผนการอะไรแน่นอน เลยจะไปชายแดนที่ต่อกับพรมแดนทิเบต นั่งรถไปกว่า 3 ชั่วโมง ทางทุลักทุเล ถนนดีบ้าง ขรุขระบ้าง แถมฝนก็ตก ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาซักเท่าไหร่ ดูแล้วค่อนข้างเปลี่ยว ถ้ารถเกิดเสียขึ้นมากลางทางยังนึกไม่ออกว่าจะทำยังไง (จุดหมายปลายทางนี้ไม่แนะนำอย่างแรง) เมื่อไปถึงตรงชายแดน มีรถจอดรอเพื่อเข้าคิวข้ามไปยังทิเบต เราจึงลงเดินไปดูตรงตะเข็บชายแดนซะหน่อยไหนๆ ก็มาแล้ว ขณะนั้นฝนยังตกปรอยๆ เมื่อเดินไปจนถึงด่าน เรากลับถูกห้ามไม่ให้เดินต่อ เจ้าหน้าที่บอกว่าเราต้องมีวีซ่าประเทศจีนเท่านั้นจึงจะผ่านไปได้ สำหรับพี่ธันวาไม่มีปัญหา คนเนปาลสามารถเดินไปถึงตรงรอยต่อของพรมแดนซึ่งเป็นสะพานได้ แต่ข้ามไปอีกทางไม่ได้ ฉันกับพี่ตุ๊กจึงนั่งรออยู่ตรงด่าน
“คุณมาจากไหนกันเหรอ” เจ้าหน้าที่ถามเรา
“อ๋อประเทศไทยน่ะค่ะ” ฉันตอบพร้อมรอยยิ้ม
“มาเที่ยวกันเหรอ อยู่กี่วัน มาครั้งแรกรึเปล่า” เขาถามต่อ
“มาทั้งหมด 10 วันค่ะ อีกไม่กี่วันก็กลับแล้ว ฉันมาหนที่สามแล้ว ส่วนเพื่อนเพิ่งมาครั้งแรก” ฉันตอบต่อ
“แล้วคุณชอบที่นี่มั้ยล่ะ”
“ก็ชอบสิคะ”
เวลาผ่านไปซักครู่เมื่อรู้สึกว่าตีซี้ได้ก็เลยลองลูกอ้อนลุ้นดูเผื่อว่าเจ้าหน้าที่จะใจอ่อน
“ฉันเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ เลยกับคนเนปาล ขอเดินไปตรงด่านหน่อยได้มั้ยคะ”
เขาหัวเราะฟันขาว หนวดกระดิก
“ไม่ได้หรอก คุณต้องมีวีซ่าจีน”
“แหม มีวีซ่าเนปาล ไม่ได้เหรอคะ”
เขาได้แต่อมยิ้มไม่ตอบ
ฉันรู้แล้วว่าหมดหวังก็เลยไม่ตื้อต่อ แต่จริงๆ แล้ว ก็ดีที่ไม่ได้ไป เพราะเมื่อพี่ธันวาเดินกลับมามีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“เกือบแย่แน่ะ พี่ถ่ายรูปอยู่ดีๆ ทหารจีนก็เดินมาห้าม แล้วก็จะยึดกล้องไป”
“อ้าวเหรอ แล้วพี่ทำไงล่ะ” ฉันถามต่อด้วยความตื่นเต้น
“พี่ก็แกล้งทำเป็นลบๆ รูปไป แล้วก็เอาให้เค้าดูว่าไม่มีรูปเหลือแล้ว”
เราเดินกลับไปยังรถ เพราะอยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้เห็นอะไร ชายดงชายแดนทิเบตอะไรเนี่ย แหมทีแรกไอ้เรานึกว่าเหมือนชายแดนไทย-ลาว หรือ ไทย-พม่า มีของขายสนุกสนาน
ออกเดินทางกลับ แวะดูสถานที่อาบน้ำพุร้อน ที่คนมักนิยมมาอาบกันเพราะเชื่อว่าดีต่อสุขภาพ แล้วจึงมุ่งหน้ากลับไปยังปาตัน
ระหว่างทางอยู่ดีๆ รถก็เบรคอย่างกระทันหันแล้วก็จอดที่ข้างทาง ฉันใจหายนึกว่ารถเป็นอะไร ปรากฏว่าคนขับรถบอกว่ามีกระรอกตัวจิ๋ววิ่งตัดผ่านหน้ารถ คนพื้นเมืองถึงว่าเป็นลางบอกเหตุไม่ดี ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เขาจึงต้องแวะหยุดพักซักครู่ เราจึงได้โอกาสลงเดินลืดเส้นยืดสาย หลังจากนั่งขดในรถมานาน เมื่อพร้อมแล้วจึงออกเดินทางต่อด้วยความระมัดระวังและสปีดที่ลดลง
เวลาผ่านไปอีกนาน ฟ้ายังครึ้มอยู่และแสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เมื่อกลับเข้าไปใกล้ๆ เมืองถนนสองข้างทางมืดมิดเพราะไฟดับ คนขับรถพยายามจะหาปั้มเติมน้ำมันเพราะใกล้หมดเต็มที แต่ไม่มีปั้มไหนเปิดขายเพราะน้ำมันไม่มาส่ง ไอ้ที่มีวี่แววว่าจะเปิดก็มีรถมาต่อแถวรอยาวมาก สถานการณ์น้ำมันบ้านเขาแย่กว่าเราเยอะ ทั้งราคาต่อลิตรก็แพงกว่า แถมยังต้องพึ่งพาเพื่อนบ้านอย่างอินเดียในการขนน้ำมันมาส่ง ถ้ามีเรื่องระหองระแหงกันเกิดประท้วง หรือมีปัญหาทางด้านการเมือง ไม่ส่งน้ำมัน คนเนปาลก็เดือดร้อนกันถ้วนหน้า เราจึงต้องนั่งคอยลุ้นว่าน้ำมันที่เหลือในถังจะสามารถพาเราไปส่งถึงบ้านได้รึเปล่า
ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะกลับมาทานข้าวเย็นกับจูเกช แต่เวลาล่วงเลยไปจนค่ำมากจึงตัดสินใจว่ากลับไปพักผ่อนก่อนแล้วค่อยไปพบเพื่อนในวันรุ่งขึ้นดีกว่าจะได้ใช้เวลาด้วยกันได้เต็มที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น