ริซ่าอ้วนขึ้นมาหน่อย หลังจากมีลูกสองคนแต่สวยคมเหมือนเดิม เธอดูมีชีวิตชีวาและเป็นแม่บ้านที่สมบูรณ์แบบ เธอพูดเก่งขึ้นจากครั้งที่แล้วที่ฉันมีโอกาสได้พบเธอ
เรานั่งคุยกันอีกพักใหญ่ก่อนที่จูเกชจะพาเราออกไปเพื่อชมที่ที่เขาตั้งใจจะปลูกบ้าน คราวนี้ไปกันทั้งครอบครัว พ่อแม่ลูกและเราอีกสอง เพราะหลังจากนั้นริซ่าต้องแวะไปทานอาหารค่ำที่บ้านเนื่องจากบริเวณเขตบ้านของเธอนั้นมีการแห่รถ ครอบครัวในบริเวณนั้นจึงต้องเชิญสมาชิกครอบครัวกลับมาทานข้าวที่บ้านตามธรรมเนียมโบราณ
ขับรถไปไม่นานนักก็มาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านโคคนะ จูเกชจอดรถไว้ด้านนอกเพราะตรงบริเวณที่ของเขาไม่มีที่จอด อีกทั้งทางเข้ายังเป็นทางแคบๆ เราจึงใช้วิธีเดินเท้าเข้าไป ฉันจูง ไอช่า ส่วนพี่ตุ๊กจูงอาจิต ให้พ่อแม่หายเหนื่อยบ้าง เดินไปไม่ลึกนักก็ถึงที่โล่งๆ อยู่ในบริเวณหุบเขาด้านล่าง จูเกชชี้พลางอธิบายให้เราฟังว่าเขาซื้อที่ไว้กับเพื่อนอีก 5 คน ตั้งใจว่าจะมาปลูกบ้านติดๆ กัน จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปเที่ยวนั่งเล่นนอบ้าน ผลัดกันเป็นเจ้าภาพบ้านละวันน่าจะมีความสุขกว่า ที่ด้านหน้าที่เห็นนั้นเป็นที่กว้างที่มีธรรมชาติอยู่แวดล้อม ด้านหน้าเป็นภูเขาสูงตระหง่าน อากาศค่อนข้างบริสุทธิ์ ฉันว่าถ้าเขาได้ย้ายมาอยู่แล้วคงมีความสุขมาก เพราะปัจจุบันนั้นบ้านของเขาอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ เพราะฉะนั้นก็อาจจะมีความไม่สะดวกหลายๆ ประการ และอาจเลยไปถึงเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง บางครอบครัวเมื่อสมาชิกแต่งงานก็นำเอาสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ภายในบ้านเพราะถือว่าเป็นสมบัติร่วมกัน ครอบครัวก็ขยายขึ้นเรื่อยๆ บางทีเราจะเห็นบ้านที่ด้านหน้าหน้าตาเหมือนกันสองบ้านอยู่ติดๆ กัน นั่นเป็นเพราะว่าแต่เดิมก็เป็นบ้านเดียวกันนั่นแหล่ะ แต่ต่อมาเมื่อครอบครัวขยายขึ้นจึงต้องแบ่งบ้านกัน บางคนก็ทำง่ายๆ โดยการสร้างกำแพงขึ้นมากั้นตรงกึ่งกลางเป็นอันว่าแก้ปัญหาเรื่องการอยู่ร่วมกันได้แต่พื้นที่ก็จะมีขนาดคับแคบลง
เขาฝันว่าจะสร้างบ้านแบบที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เขาค่อนข้างเป็นคนโผงผางและพูดจาตรงไปตรงมา แต่ก็ดีไปอย่างเราไม่ต้องเดาว่าคนแบบนี้เขาคิดและรู้สึกยังไงเพราะเขาจะพูดให้เรารู้จนหมดเอง จะว่าไปเขาก็มีความคิดอะไรหลายๆ อย่างคล้ายๆ ฉัน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่นะเนี่ย” ริซ่าเอ่ยปากพร้อมพูดเสียงเล็กเสียงน้อย
“ฮ้า จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อเลย จูเกชทำไมไม่พาริซ่ามาดูที่ล่ะ” ฉันหันไปค่อนขอดเขา
“ก็กะว่าให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนค่อยพามา” เขาอธิบาย
ฉันเลยรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาดูที่กับเขาด้วย
“ผมตั้งใจว่าจะสร้างบ้านให้เสร็จในอีกสองปี แล้วตอนนั้นถ้าคุณมาเนปาลอีก ต้องสัญญาว่าจะมาอยู่ที่บ้านเรานะ เราจะดูแลคุณอย่างดีเลย ไม่ต้องเสียเงินซักรูปีเดียว” เขาเชื้อเชิญ
“ได้สิ ถ้ากลับมาอีก ต้องมาอยู่ด้วยแน่นอน”
เรากลับมาที่รถเพื่อที่จะเดินทางไปยังบ้านของริซ่าที่เมืองปาตัน ทั้งสองทดสอบความจำของฉันว่าจะจำบ้านริซ่าได้รึเปล่า โดยปล่อยให้ฉันเป็นคนเดินนำไป คลับคล้ายคลับคลาว่าอยู่ใกล้ๆ วัดแห่งหนึ่งที่พี่ชายของริซ่าแบกเธอขึ้นหลังและเดินรอบวัดก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังบ้านสามี แต่บ้านแถวๆ นั้นหน้าตาเหมือนๆ กันหมดแถมยังสลับซับซ้อนอีกด้วยฉันจึงไม่สามารถนำไปได้ถูก
เราผ่านเข้าไปยังด้านในและขึ้นไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องที่ไว้ต้อนรับแขก เด็กๆ เริ่มเล่นสนุกกับของเล่นที่มีอยู่ในห้องนั้น ซักครู่น้องสาวของริซ่าก็มาพร้อมกับลูกสาวของเธอ ฉันจำหน้าเธอได้เพราะเคยพบเมื่อตอนนำของหมั้นมาให้ริซ่าในค่ำคืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เธอสวยเหมือนเดิมเพียงแต่ท้วมขึ้นหน่อยหลังจากนั้นคุณพ่อก็ตามมารวมทั้งพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เรานั่งคุยกันจนราวสามทุ่มอาหารก็นำมาเสริฟตอนนั้นฉันยังอ่ิมอยู่มากเพราะเพ่ิงทานอาหารเที่ยงตอนบ่ายสาม แต่ด้วยมารยาทก็ต้องทานซะหน่อยเดี๋ยวจะเสียน้ำใจ
จูเกชบอกว่าธรรมเนียมของคนที่นี่เน้นเรื่องทาน เจ้าบ้านจะเติมข้าวปลาอาหารให้เราอย่างไม่หยุดหย่อน ถ้าเราไม่ปฏิเสธเสียงแข็งล่ะก้อ รับรองกินจนพุงแตกเป็นชูชกแน่
เรานั่งคุยอีกซักพักจึงขอตัวกลับเพราะจูเกชอยากพาเราไปแวะดื่มคอกเทลกันก่อนกลับไปส่งที่บ้านเพราะว่าวันพรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับบ้านแล้ว
จูเกชพาเราไปที่ร้านร้านเดิมที่ไปกันเมื่อวันก่อน คนไม่ค่อยเยอะนัก เรานั่งกันบริเวณที่เป็นโซฟาเพราะวันนี้เรามากันหลายคนแถมยังมีเด็กๆ อีกสองคน เราสั่งเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์มาให้รู้สึกครึกครื้นส่วนเด็กๆ ก็ดื่มน้ำส้มกัน
ฉันเริ่มซักถามพูดคุยกับริซ่าให้เธอได้รู้สึกผ่อนคลายลงหน่อยจากการทำหน้าที่เป็นคุณแม่และภรรยาที่ดีซึ่งเป็นส่ิงที่จูเกชมุ่งหวังไว้ เขาอยากให้ฉันลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดูว่าริซ่ามีอะไรที่หนักใจบ้างรึเปล่าอาจเป็นเพราะเธอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในฐานะภรรยา แม่ของลูก ลูกสะใภ้ พี่สะใภ้ ฯลฯ ทำให้ต้องมีภาระมากมาย มีงานต้องทำมากเลยทำให้ไม่ได้มีเวลาให้ตัวเองเท่าไหร่ ต้องใช้ความอดทนมากมายในการเป็นสะใภ้ แล้วอีกอย่างริซ่าเป็นคนไม่ค่อยพูด จูเกชก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าเธอมีความสุขดีรึเปล่าหรือมีปัญหาอะไรที่อยากให้ช่วยบ้าง ดูเขาเห็นอกเห็นใจและเข้าใจริซ่าอยู่มาก แต่ด้วยความเป็นผู้ชายและเคยชินกับวิถีแบบชายเนปาลที่เป็นใหญ่ในบ้านทำให้บางทีก็เพลินกับใช้ชีวิตสบายๆ ที่มีคนคอยปรนนิบัติ
ผู้หญิงเนปาลมีหน้าที่ภายในบ้านมากมาย ต้องทำงานบ้าน ดูแลคนในครอบครัว ดูแลพ่อแม่สามี ส่วนใหญ่สะใภ้จะเป็นคนที่ทานข้าวคนสุดท้ายหลังจากที่ทุกคนทานหมดแล้ว แถมริซ่ายังต้องทำงานนอกบ้านอีก แต่จูเกชบอกว่าเธอเป็นคนที่มีความอดทนสูง ไม่ค่อยบ่นอะไร จูเกชเดาว่าเธอต้องมีเรื่องไม่สบายใจอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่อยากทำให้คนรอบข้างไม่สบายใจก็เลยเก็บเงียบไว้กับตัว การที่จะแยกออกไปอยู่บ้านของตัวเองก็น่าจะช่วยผ่อนภาระของริซ่าลงบ้าง เขาบอกว่ามีแผนที่จะพาพ่อแม่และราเกชไปอยู่ด้วย คราวนี้ริซ่าก็ได้เป็นใหญ่คนเดียวในบ้าน ฉันว่าก็ดีเหมือนกัน เธอจะได้มีอิสระมากขึ้นด้วย สามารถจัดการบ้านในแบบที่เธออยากให้เป็นได้
หลังจากการคุยกับริซ่า พอจะเข้าใจว่าเรื่องที่เธอน้อยอกน้อยใจเรื่องหลักเห็นจะเป็นเรื่องที่สามีชอบเที่ยวนอกบ้านจนถึงดึกดื่น ปล่อยให้เธออยู่บ้านคนเดียว เหมือนว่าภาระภายในบ้านทุกอย่างตกอยู่ที่เธอแต่เพียงผู้เดียว ไหนจะลูกที่อยู่ในวัยกำลังซน ไหนจะพ่อแม่สามี แล้วยังมีญาติๆ ที่อยู่บ้านเดียวกันอีก จับความคร่าวๆ ได้ว่านอกจากเธอจะเป็นสะใภ้บ้านนี้แล้วยังมีสะใภ้คนอื่นอีกซึ่งคงมีปัญหาขัดแย้งกันบ้างตามประสาคนอยู่บ้านเดียวกัน คนเรานิสัยใจคอ ความชอบ การเป็นอยู่ ความคิดย่อมไม่เหมือนกันเป็ธรรมดา แล้วต้องมาอยู่ด้วยกันก็คงต้องมีเรื่องระหองระแหงกันบ้าง ถึงแม้ว่า
จูเกชจะอยากให้เธอระบายมันออกมา แต่ริซ่าก็ไม่ได้เป็นคนประเภทต้องฟ้องสามีทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้นภายในบ้าน เธอคงไม่อยากให้สามีต้องเหนื่อยเพ่ิมเติมจากงานนอกบ้าน ในขณะที่เจ้าสามีเองปากก็บอกว่าอยากให้ภรรยาบอกมาว่าไม่สบายใจเรื่องอะไรบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก เพราะหนึ่งในเรื่องความไม่สบายอกสบายใจก็คือเรื่องที่เขาชอบกลับบ้านดึกนั่นเอง
ฉันว่าการที่จูเกชจะย้ายออกไปสร้างบ้านของตัวเองน่าจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นบ้าง
“ผมว่าทุกคนต้องรู้จักโต รู้จักดูแลตัวเอง พ่อแม่จะอยู่กับเราไปได้นานแค่ไหนกัน ตอนนี้บ้านที่ผมอยู่ทุกคนก็ใช้กงสี ข้าวปลาอาหารก็เป็นเงินส่วนกลาง เป็นเงินของพ่อแม่ มันเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้ตลอดหรอก” เขาบอกเล่าความคิด
ฉันออกจะเข้าใจและเห็นด้วยกับเขาอย่างมากเพราะฉันเองก็มีความคิดและความรู้สึกคล้ายๆ กัน คงเพราะเราอยู่ในวัยเดียวกัน แม้ว่าจะต่างชาติต่างศาสนาแต่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความมีอิสระและมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเมื่อถึงวัยที่เราสามารถที่จะดูแลคนอื่นๆ ได้
เรานั่งคุยเล่นกันอีกพักใหญ่จนเกือบเที่ยงคืน เด็กๆ เริ่มง่วงนอน เราเองก็คิดว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว จูเกชจึงขับรถไปส่งเราที่ซานูเฮ้าส์ ฉันร่ำลากับริซ่า เธอชักชวนฉันอีกครั้งว่าให้กลับไปเที่ยวที่เนปาลอีกเมื่อบ้านสร้างเสร็จ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น