กาฏมาณฑุนัก ขับรถไปเพียงชั่วโมงเดียว แต่ที่สำคัญนั้นเพราะเป็นทางผ่านที่จะไปยังชายแดนทิเบต เมื่อสมัยก่อนเส้นทางนี้เป็นทางสายการค้าพ่อค้าชาวเนปาลเดินทางไปนำทองและเกลือกลับจากทิเบต ส่วนพ่อค้าทิเบตก็เดินทางมาหาพริกและของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันกันที่กาฏมาณฑุ แต่ละที่ย่อมมีผลผลิตที่ต่างกันและสามารถนำมาซื้อหาหรือแลกเปลี่ยนกันได้ ทำให้คนมีการพึ่งพาอาศัยและสร้างสัมพันธภาพต่อกันได้ ในสมัยโบราณยังไม่มีการคมนาคมที่สะดวกเหมือนสมัยนี้ พวกพ่อค้าเหล่านั้นใช้วิธีเดินเท้ากัน ดุลิเกลจึงเป็นเมืองที่ไว้ใช้พักระหว่างทาง ต่อเมื่อมีถนนที่มุ่งหน้าไปสู่ทิเบตตัดผ่านเมื่อปี ค.ศ 1965 ผู้คนจึงแวะเวียนมาเที่ยวกันมากขึ้น
เรานั่งรถไปไม่นานนักก็แวะไปกันที่ Dhulikel Mountain Resort ซึ่งเป็นหนึ่งในที่พักตากอากาศยอดนิยมแห่งหนึ่ง อยู่แวดล้อมท่ามกลางธรรมชาติ มีสวนต้นไม้ ดอกไม้ แถมมีวิวด้านหน้าเป็นเทือกเขาเขียวชะอุ่ม ตัวห้องพักนั้นถูกสร้างเป็นแบบกระท่อมสไตล์เนปาลใช้อิฐสีส้มและมุงด้วยหลักคาใบจากซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และดูกลมกลืนกับธรรมชาติดี
เราเลือกนั่งด้านนอกของร้านอาหารเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และชมวิวทิวทัศน์ ต่างคนต่างสั่งเครื่องดื่มโปรดของตัวเองและจิบช้าๆ พร้อมๆ กับการแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของกันและกัน เด็กๆ วิ่งเล่นสนุกตรงบริเวณสวนโดยไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ที่นี่เหมาะกับการมาพักผ่อนอย่างแท้จริง ไม่มีส่ิงรบกวนความสงบ (นอกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ส่งเสียงดังอยู่ตรงล้อบบี้โรงแรม) ฉันกะว่าถ้าได้กลับมาเนปาลครั้งหน้าคงต้องแวะมาพักซักคืนหนึ่ง เรานั่งคุยกันไปพลางสั่งของกินมารองท้องในขณะที่รอญาติของริซ่าที่จะตามมาสมทบเพราะต้องมาส่งลูกที่โรงเรียนประจำตรงบริเวณใกล้ๆ
ญาติของริซ่า ภรรยา และลูกๆ กับหลานๆ ตามมาในเวลาพลบค่ำ ซึ่งฝนกำลังโปรยปรายลงมาพอดี ทำให้เราต้องย้ายเข้าไปนั่งด้านในร้านอาหาร ฉันนั่งติดกับริซ่าและน้องสะใภ้ทั้งสองคน พวกเธอต่างซักถามเกี่ยวกับตัวฉันและขอโทษขอโพยที่ไม่มีเวลาได้ต้อนรับฉันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา คนที่นี่ให้ความสำคัญกับการต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือนมาก คงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเขา
นอกจากจะแวะพักสูดอากาศบริสุทธิ์ พักสายตาไว้กับธรรมชาติ ภูเขาเขียวชะอุ่มตามรีสอร์ทแล้วยังสามารถไปเดินชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่หลายศตวรรษได้ที่บริเวณเมืองเก่าของดูลิเกล สัมผัสวิถีการใช้ชีวิตแบบโบราณไร้ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยเกินจำเป็น แวะวัดไหว้เทพเจ้าตามแต่ศรัทธา จริงๆ แล้วแค่เพียงได้มาเห็นการใช้ชีวิตของคนอื่นบ้างก็อาจทำให้เราปลงๆ กับอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตได้
ฉันมักชอบเดินทางไปในที่ที่ไม่ค่อยมีความทันสมัยนัก ชอบสัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ เพื่อที่จะดึงตัวเองกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงบ้าง ให้ได้รู้ว่าการที่เรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสุขสบาย มีทุกอย่างที่จะสนองกิเลสได้อย่างง่ายดายเพียงแค่มีเงินนั้นทำให้เรากลายเป็นคนฉาบฉวยและมองข้ามหรือละเลยกับการให้ความสำคัญต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไป การที่ได้เห็นชาวบ้านเดินออกจากบ้านไปตักน้ำในบ่อบาดาลหรือลำธารเพื่อใช้อาบน้ำ ทำความสะอาดและดื่มนั้น เราควรจะรู้สึกว่าเราโชคดีที่ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น เพียงแค่เราเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำเราก็มีน้ำสะอาดๆ ใช้แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ควรมีสติในการใช้น้ำและรู้จักประหยัดบ้างเพราะเราไม่มีวันรู้หรอกว่าวันไหนที่เราเปิดก๊อกแล้วน้ำจะไม่ไหลออกมาอีกเลย แล้ววันนั้นอาจเป็นน้ำตาเราที่ไหลแทน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น