เราขับรถขึ้นเขาไปซักพักเขาก็หันมาถามว่า
“เธออยากแวะดูโรงผลิตเบียร์พื้นเมืองที่ชื่อว่า “กาฏมาณฑุ” มั้ย เป็นของเพื่อนผมเอง”
ฉันไม่ได้มีโปรแกรมอยากไปไหนเป็นพิเศษอยู่แล้วก็เลยเออออไปกับเขา คิดว่าเขาอาจจะอยากเจอเพื่อนด้วย
“ที่นี่เขาใช้น้ำแร่ธรรมชาติมาผลิตเบียร์ ซึ่งเป็นเพียงยี่ห้อเดียวในเนปาลนะ ผมมักจะสั่งเบียร์จากเขานี่แหล่ะ ได้ดื่มแบบสดๆ เลยเพราะส่งจากโรงงาน”
อืมม์ ก็ฟังดูตื่นเต้นดี
บริเวณโรงงานนั้นถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ที่นี่ผลิตทั้งเบียร์และวิสกี้ ฉันเองก็ยังไม่เคยไปเห็นโรงผลิตที่ไหนก็เลยรู้สึกตื่นเต้นในตอนแรก
เพื่อนเขาออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดี เชิญชวนให้เข้าไปชมโรงงานด้านใน พาเดินลัดเลาะไปตามสายการผลิต จะว่าไปโรงงานที่นี่ก็ไม่ค่อยจะทันสมัยถูกสุขอนามัยซักเท่าไหร่
ถ้าเทียบกับที่เมืองไทย แต่ก็คงได้มาตรฐานระดับหนึ่ง เดินไปต่อที่โรงงานผลิตวิสกี้ ซึ่งเป็นประเภทราคาถูกแต่ดีกรีแรง แถวบ้านเรียกว่า “จ่ายน้อยแต่เมาเร็ว” โรงงานนี้บรรจุด้วยมือหญิงสาวล้วนๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการกรอกน้ำเมาเข้าขวด ปิดฝาขวด และแปะฉลาก ทุกขั้นตอนมีการผ่าน QC โดยสาวๆ ที่ทำงานอยู่ในสายการผลิต
ถ้าเทียบกับที่เมืองไทย แต่ก็คงได้มาตรฐานระดับหนึ่ง เดินไปต่อที่โรงงานผลิตวิสกี้ ซึ่งเป็นประเภทราคาถูกแต่ดีกรีแรง แถวบ้านเรียกว่า “จ่ายน้อยแต่เมาเร็ว” โรงงานนี้บรรจุด้วยมือหญิงสาวล้วนๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการกรอกน้ำเมาเข้าขวด ปิดฝาขวด และแปะฉลาก ทุกขั้นตอนมีการผ่าน QC โดยสาวๆ ที่ทำงานอยู่ในสายการผลิต
“พนักงานคุณเมากลับบ้านทุกวันรึเปล่าเนี่ย” ฉันแกล้งหยอกเขาเล่น
“อ๋อ …ไม่หรอกครับ ส่วนใหญ่พนักงานเป็นผู้หญิง พวกเธอไม่ดื่มอยู่แล้ว แต่พนักงานชายก็มีบ้าง”
คงเป็นเหตุนี้เองที่ใช้ผู้หญิงทำงานเพราะนอกจากจะละเอียดละออ ระมัดระวังกว่าแล้ว คงไม่แอบโขมยเหล้าดื่มเป็นแน่
เราเดินเรื่อยเปื่อยไปข้างๆ โรงงาน ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ที่เขาซื้อไว้เพื่อจะทำรีสอร์ตในอนาคต บรรยากาศรอบๆ นั้นค่อนข้างดี โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ต้นไม้น้อยใหญ่ อากาศบริสุทธิ์และเงียบ ถ้าทำบังกะโลหลังเล็กๆ คงจะน่ารักดี และบนนี้อากาศก็ดีกว่าในเมืองมาก
ก่อนกลับเพื่อนจูเกชชวนให้เราไปทดลองดื่มเบียร์สดกัน เป็นเบียร์ชนิดพิเศษที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนผลิตสุดท้ายทำให้ไม่มีแก้สอยู่ในนั้น ตอนแรกฉันก็ลังเลนิดหน่อย แต่ก็คิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาทั้งทีควรทดลองในสิ่งที่ไม่เคยลองดูบ้าง อะไรที่อยู่ในกรอบแบบเดิมๆ ควรลืมไปซะกับการเดินทางครั้งนี้ ไม่งั้นก็จะไม่ถึงที่สุดของการผจญภัยเต็มรูปแบบ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ารสชาติเบียร์นั้นถือว่าใช้ได้ทีเดียว (อันนี้เป็นการประเมินโดยคนที่ไม่ใช่นักดื่มตัวฉกาจ)
เรานั่งรถต่อไปที่ Godawari Village Resort ซึ่งเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่พอสมควร ที่พักนั้นถูกออกแบบในสไตล์พื้นเมือง ดูมีเอกลักษณ์ดี น่าเสียดายที่ทัศนียภาพอันสวยงามด้านหน้านั้นถูกทำลายด้วยโรงงานผลิตอิฐ จากพื้นดินที่เขียวชะอุ่มด้วยต้นไม้กลับกลายเป็นดิน
สีเทาที่ถูกขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์ในการผลิตก้อนอิฐ ทำให้รีสอร์ตนี้เงียบเหงาลง ผู้คนต่างห่างหาย ส่วนใหญ่คนที่มาจึงเป็นพวกที่มาเป็นกลุ่มใหญ่และใช้ประโยชน์ในการจัดสัมนาของบริษัท
สีเทาที่ถูกขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์ในการผลิตก้อนอิฐ ทำให้รีสอร์ตนี้เงียบเหงาลง ผู้คนต่างห่างหาย ส่วนใหญ่คนที่มาจึงเป็นพวกที่มาเป็นกลุ่มใหญ่และใช้ประโยชน์ในการจัดสัมนาของบริษัท
เรานั่งพักและสูดอากาศบริสุทธิ์พร้อมเครื่องดื่มดับกระหายแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน เครื่องดื่มยอดฮิตของเด็กๆ นั้นคงหนีไม่พ้น มิลค์เชค ฉันพยายามมองข้ามโรงงานด้านหน้าไปและค้นหาความสวยที่แท้จริงของภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังจะได้พักสายตา
จูเกชบอกว่ารัฐบาลเคยมีโครงการที่จะปิดช่องระหว่างเนินเขาสองลูกเพื่อทำให้เป็นทะเลสาป ซึ่งน่าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากันมากขึ้นได้ บรรยากาศคงคล้ายๆ กับทะเลสาปเฟวาที่โพครา แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการเกิดขึ้น คงคล้ายๆ กับประเทศไทยที่นักการเมืองมักสร้างเรื่องเพ้อๆ หลอกประชาชนให้เชื่อตาม แต่คำพูดนั้นไม่เคยเป็นคำสัญญาที่รักษาไว้ได้
จูเกชบอกว่ารัฐบาลเคยมีโครงการที่จะปิดช่องระหว่างเนินเขาสองลูกเพื่อทำให้เป็นทะเลสาป ซึ่งน่าที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากันมากขึ้นได้ บรรยากาศคงคล้ายๆ กับทะเลสาปเฟวาที่โพครา แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการเกิดขึ้น คงคล้ายๆ กับประเทศไทยที่นักการเมืองมักสร้างเรื่องเพ้อๆ หลอกประชาชนให้เชื่อตาม แต่คำพูดนั้นไม่เคยเป็นคำสัญญาที่รักษาไว้ได้
จูเกชบึ่งรถกลับเข้ามาในเมืองเพื่อพาฉันไปพบกับภราวาติกาและซูนิม
วันนี้ครอบครัวเล็กๆ นี้มีความสุขสดชื่นมากขึ้นเมื่อมีสมาชิกตัวน้อย “Syesha” ตอนนี้เธออายุ 3 ปีแล้ว เมื่อครั้งก่อนที่ฉันเจอเธอยังเป็นเด็กทารกที่เพ่ิงคลอด แต่บัดนี้เธอเติบโตขึ้นมาด้วยความรักความเอาใจใส่ของพ่อและแม่ ที่แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่คลอดเธอออกมาเอง แต่ก็มีความรักให้กับเธออย่างเต็มเปี่ยม เธอดูน่าเอ็นดูมาก ตัวเล็ก เสียงใสๆ ท่าทางฉลาด
และที่สำคัญขี้อ้อนใช่ย่อย
และที่สำคัญขี้อ้อนใช่ย่อย
ซูนิมขับรถพาฉันไปกินข้าวที่ร้านอาหารชื่อ Mike’s restaurant ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านจูเกชนัก ฉันเคยอ่านในไกด์บุ๊คเกี่ยวกับร้านนี้ว่าเป็นร้านที่มีอาหารเช้าอร่อย แต่ยังไม่เคยได้มาลองกินซักที อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารฝรั่ง เน้นประเภทเม็กซิกันซะหลายอย่าง
ฉันนึกไม่ออกว่าจะทานอะไรดีประกอบกับอาหารมื้อเที่ยงเมื่อตอนเกือบบ่ายสี่นั้นยัง
ตึงๆ ท้องอยู่ ก็เลยสั่งสลัดมากินให้เบาๆ หน่อย
ฉันนึกไม่ออกว่าจะทานอะไรดีประกอบกับอาหารมื้อเที่ยงเมื่อตอนเกือบบ่ายสี่นั้นยัง
ตึงๆ ท้องอยู่ ก็เลยสั่งสลัดมากินให้เบาๆ หน่อย
“เธอชอบกินสลัดใช่มั้ย ฉันเห็นเธอมักจะสั่งแต่สลัดไปซะทุกครั้ง” ภราวาติกาตั้งข้อสังเกตกับนิสัยการกินอาหารของฉัน
“ก็ชอบนะ แต่พอดีวันนี้ไม่ค่อยหิวด้วยน่ะ ฉันชอบทานผัก เนื้อสัตว์ก็ทานบ้าง แต่ถ้าเป็นอาหารประเภทแป้งนั้นกินไม่ค่อยได้ กินแล้วปวดท้อง”
เรานั่งคุยกันเรื่องนู้นนี้อีกพักใหญ่ ช่วงที่ภราวาติกาพาลูกสาวตัวน้อยไปเดินเล่น ซูนิมก็พูดขึ้นมาว่า
“ภราวาติกาเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมมาก เธอมีสัญชาตญาณความเป็นแม่เต็มเปี่ยม”
ฉันย้ิมตอบ “ฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เธอดูอ่อนโยนมากเมื่ออยู่กับลูก”
ชีวิตคนเรามักมองหาอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าสมบูรณ์แบบ อย่างชายหนุ่มหญิงสาวที่แต่งงานกันก็ย่อมอยากที่จะมีลูกมาทำให้ครบองค์ประกอบที่เรียกว่าครอบครัว ทำให้ชีวิตมีสีสัน ความสดชื่น มีความหวัง และมีอนาคตที่จะมองไปข้างหน้า แต่ทุกอย่างนั้นควรเกิดจากความรู้สึกไม่ใช่ค่านิยม เพราะบางคนอาจไม่คิดเช่นนั้นก็ได้ ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะการให้ค่าและความสำคัญของการใช้ชีวิตนั้นไม่ได้มีแค่รูปแบบตายตัวอย่างเดียวเสมอไป
ซูนิมเองก็ดูเป็นคุณพ่อที่อบอุ่น ใจดี และใจเย็นมากเมื่อมีคุณลูกสาวตัวน้อยอยู่ใกล้ๆ สายตาที่เขามองลูกสาวนั้นช่างดูอ่อนโยนผิดกับเวลาที่คุยกับเขาเรื่องการเมืองหรือธุรกิจ
ภราวาติกาบอกว่าเขาหลงลูกมาก แล้วก็เหมือนว่าฟ้าเป็นใจ หนูน้อย Syesha นั้นหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงเขามาก ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ
ภราวาติกาบอกว่าเขาหลงลูกมาก แล้วก็เหมือนว่าฟ้าเป็นใจ หนูน้อย Syesha นั้นหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงเขามาก ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ
แม้เป็นเวลาเพียงสั้นๆ แต่ฉันก็รู้สึกได้เสมอในทุกๆ ครั้งที่ฉันได้เจอเพื่อนทั้งสองว่า
พวกเขานั้นมีความจริงใจและหวังดีต่อฉัน อยากให้ฉันมีความสุข น่าแปลกที่คนเรานั้นได้เจอกันด้วยความบังเอิญในระยะเวลาสั้นๆ แต่ความรู้สึกที่มีให้ต่อกันนั้นกลับยืนยาว
พวกเขานั้นมีความจริงใจและหวังดีต่อฉัน อยากให้ฉันมีความสุข น่าแปลกที่คนเรานั้นได้เจอกันด้วยความบังเอิญในระยะเวลาสั้นๆ แต่ความรู้สึกที่มีให้ต่อกันนั้นกลับยืนยาว
ฉันเชื่อในพรหมลิขิต … เชื่อเสมอว่าเราแต่ละคนนั้นมีสายใยที่โยงออกไปถึงคนอีกหลายๆ คนที่ได้เคยทำบุญหรือทำกรรมร่วมกันมา สายใยนั้นแม้จะยาวแต่ถ้าแข็งแรงเราก็จะไม่หลุดจากวงโคจรของกันและกัน แต่หากสายใยนั้นมันเปราะบางเกินไป แม้ว่าเราจะพยายามแค่ไหนมันก็ไม่มีวันที่จะดึงคนๆ นั้นเข้ามาใกล้ตัวเราได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น