18 กรกฎาคม 2554

2. ปัญหาแก้ได้ ... ด้วยน้ำใจ

ก่อนเดินทางฉันไปหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปให้สมาชิกในครอบครัวพร้อมกับปั่นงานทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่จะบินหนีไป
            จะว่าไปฉันก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากกับการเดินทางเท่าไหร่นักเพราะไปคนเดียวจนชินแล้ว แต่ก็มีเรื่องที่พะวักพะวงอยู่ในหัวสองสามเรื่อง ได้แต่คิดว่าไปอยู่ที่นู่นแล้วจะทำให้จิตใจสงบลงได้บ้าง เพราะไปที่นั่นทีไรก็ทำให้ฉันได้รับความรู้สึกใหม่ๆ และเกิดความคิดอันลึกซึ้งเกี่ยวกับการใช้ชีวิตซะทุกครั้งไป
            เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆ ผ่านไปไวเหมือนขับรถสบายๆ ไปหัวหิน  เมื่อเครื่องร่อนลงจอดฉันถึงเร่ิมรู้สึกตื่นเต้นเพราะฉุกคิดถึงคำพูดของภราวาติกาที่ส่งมาหาฉันเมื่อสองสามวันก่อน เธอส่งข่าวมาบอกว่าจะมีการประท้วงที่กาฏมาณฑุ ถนนอาจจะปิด รถอาจจะไม่สามารถเข้าไปรับฉันที่สนามบิน ได้แต่คิดในใจว่าให้เขาเลื่อนประท้วงหรือถ้ามีการประท้วงก็ขออย่าให้มีผลกระทบอะไรกับการเดินทางเลย
ฉันมีวีซ่ามาจากเมืองไทยเรียบร้อยจึงไม่ต้องกรอกข้อมูลอะไรให้วุ่นวาย สามารถผ่านขั้นตอนพิธีการตรวจคนเข้าเมืองได้ฉลุยเลย
            “นมัสเต” ฉันทักทายเจ้าหน้าที่พร้อมแจกยิ้มสยาม
            “นมัสเต” เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันนิดหน่อย คงเป็นเพราะรูปในพาสปอร์ตกับตัวจริงของฉันนั้นไม่เคยตรงกันเลย ผมเผ้ามักเปลี่ยนไปทุกๆ เดือน แต่รูปในพาสปอร์ตนั้นถ่ายมาหลายปีแล้ว
            “คุณมีวีซ่ามาแค่ 15 วันเท่านั้นนะ” เขาชี้แจง
            “ใช่ค่ะ ฉันจะมาแค่ 6 วันเท่านั้นนี่” ฉันสวนกลับไป
            “6 วัน ?” เขาทำเสียงสงสัย
            “ใช่แค่ 6 วัน นี่เป็นการเดินทางมาที่นี่ครั้งที่ 4 ของฉันแล้ว”
            “โห …​ ครั้งที่ 4” เขาทวนคำพร้อมย้ิมมุมปาก ในใจคงคิดเช่นเดียวกับเพื่อนๆ ฉันที่มักสงสัยว่าติดใจอะไรนักหนา

            ฉันเดินออกมาด้านนอกสนามบินหน้าตาเด๋อด๋ากวาดตามองหาจูเกชในหมู่แขกมุง 
ในขณะที่ชาวเนปาลีต่างเดินเข้ามาเสนอบริการมากมาย ตั้งแต่โรงแรม รถเข้าเมือง หรือแม้แต่ทัวร์
            “ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ ฉันรอเพื่อนอยู่”
เชอะ …​ ไม่รู้จักสาวเนปาลีตัวจริงซะแล้ว อย่ามาหลอกเอาตังค์กันให้ง่ายๆ เลย 
            รอไป รอมา ไม่เห็นวี่แววเพื่อนซักกะนิด คนขับรถผ่านไปมาต่างบอกว่า วันนี้มีประท้วงจริงๆ รถไม่สามารถว่ิงเข้าออกสนามบินได้ถ้าไม่มีสติกเกอร์ “นักท่องเที่ยว” (Tourist) ขณะนั้น รปภ ด้านนอกเดินเข้ามาประชิดตัวกระซิบถามฉันว่าเป็นชาวเนปาลีรึเปล่า ถ้าไม่ใช่และเป็นเพียงแค่นักท่องเที่ยวหน้าตาเด๋อๆ ล่ะก็ กรุณานำตัวเองเข้าไปอยู่ด้านในสนามบินซะดีๆ เดี๋ยวเกิดเรื่องไม่ดีจะหาว่าไม่เตือน
… เอาล่ะสิ ทำไงดีล่ะเรา โทรศัพท์หาเพื่อนดีกว่า 
             “zxlkjfda9vjladkjas@##$$%%&&*W”
            เอ่อ ฟังไม่เข้าใจ โทรใหม่อีกที  อีกที และอีกที
            ในที่สุดฟ้าก็เป็นใจ มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกซักที
“จูเกช …​ ฉันมาถึงแล้วนะ รออยู่ที่สนามบินแล้ว”
“โอเค … รถผมไม่สามารถเข้าไปที่สนามบินได้ คุณนั่งรถบัสของนักท่องเที่ยวไปที่โรงแรมเรดิสันนะ เดี๋ยวราเกชจะไปรอรับที่นั่น”
สาวไทยใจกล้า มีรึจะหวั่นกับโจทย์ง่ายๆ แค่นี้
กวาดตามองหารถบัสที่เขาว่าแต่ไม่แน่ใจว่าใช่ไอ้คันเขียวที่จอดด้านหน้านั่นรึเปล่า 
ดูแล้วคล้ายรถเมล์บ้านเรา หน้าตาร้อนเชียว …
ด้วยความกังวลว่าจะขึ้นคันผิด เดี๋ยวนั่งไปถึงเมืองอื่นล่ะแย่เลย หันรีหันขวางถามพี่ ร.ป.ภ หน้ามลดีกว่า
“คุณคะ รถบัสที่ไปโรงแรมเรดิสันจอดที่ไหนเหรอ”
เขาหันไปเรียกชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งจากถนนฝั่งตรงข้ามมาพูดคุยกับฉัน
“คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
“อ้อ … ฉันไม่ใช่แขกของโรงแรมหรอก แต่ฉันต้องการไปที่เรดิสันเพราะมีเพื่อนรออยู่ที่นั่น”
“เอ่อ …​ วันนี้คงหารถยากหน่อยน่ะครับ แล้วถ้านั่งรถนักท่องเที่ยวก็ต้องวนไปส่งทีละโรงแรมคงใช้เวลาชั่วโมงหรือกว่านั้นถึงจะไปถึงเรดิสัน เอางี้มั้ยผมมีข้อเสนอ … ตอนนี้ผมยังรอแขกของโรงแรมอยู่ เครื่องยังไม่ลง เดี๋ยวผมจะให้รถไปส่งคุณที่โรงแรมก่อน แล้วคุณก็ให้เงินกับคนขับเองแล้วกัน ถือว่าเป็นการช่วยกัน เป็นสินน้ำใจ”
“สินน้ำใจที่ว่านี่มันเท่าไหร่กันเหรอ” ฉันต้องถามให้ละเอียดเดี๋ยวจะมารีดไถกันทีหลัง
“ก็ซัก 500 รูปี น่ะครับ ปกติถ้าคุณเรียกรถไปเอง แพงกว่านี้อีก แถมวันนี้มีเหตุการณ์ไม่ปกติคงหารถได้ยากมาก”
ฉันคิดคำณวนในใจแล้วว่าค่ารถราคาประมาณไม่ถึง 300 บาท กับการที่ต้องนั่งรอในรถบัสอันแสนร้อนอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แถมรถยังต้องวนไปส่งผู้โดยสารตามโรงแรมต่างๆ อีก กว่าฉันจะไปถึงสงสัยคงแห้งตายคล้ายจ้ิงจกแดดเดียว … จ่ายก็จ่าย ช่วยไม่ได้ คนมันรักสบายนี่นา
ฉันขึ้นนั่งรถไปกับคนขับที่ไม่พูดไม่จากับฉันซักคำ ตามถนนหนทางที่ผ่านไปนั้นช่างว่างเปล่า ไม่มีรถวุ่นวาย จะมีก็แต่รถที่รับและส่งนักท่องเที่ยวเท่านั้น เป็นจริงดังคำเขาบอก แต่เมื่อนั่งไปซักพัก ก็เพ่ิงมีสติเลยนึกกลัวขึ้นมา ถ้าหากว่าเขาไม่พาฉันไปส่งโรงแรมจริงๆ แต่พาไปที่อื่นฉันจะทำอย่างไรดี ฉันเชื่อคนง่ายเกินไปอีกแล้วรึเปล่าเนี่ย ไม่นานเกินความกังวลจะทำร้ายโสตประสาทของฉันได้ รถก็ค่อยๆ พาฉันผ่านถนนที่มองเห็นโรงแรมเรดิสันอยู่ลิบๆ ใจค่อยโล่งขึ้นหน่อย ฉันเลยควักเงินให้คนขับรถไป 10 ดอลล่าห์ ก่อนที่จะเข้าบริเวณโรงแรมตามที่ชายคนที่สนามบินแนะนำ เขาบอกว่าเดี๋ยวคนขับจะถูกโรงแรมตำหนิเอา ถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันนะ “น้ำใจ…เข้าใจไหม” เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ฉันไม่ค่อยถือสา ถือว่าเราได้มีโอกาสช่วยคนที่ลำบากกว่าเรา เป็นการกระจายรายได้ แม้ว่าจะถูกเพื่อนเนปาลตำหนิในภายหลังว่าจ่ายมากเกินความจำเป็นก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น