วันรุ่งขึ้นเด็กๆ ทุกคนต้องไปโรงเรียนแล้ว ฉันถูกปลุกด้วยอาจิและไอช่า เด็กทั้งสองต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำการบ้านที่ยังค้างอยู่เนื่องจากมัวแต่เพลินกับกิจกรรม พิธีการ และการท่องเที่ยวกับฉัน โรงเรียนที่นี่เร่ิมต้นเวลา 8 โมง 45 บางแห่งก็กระเถิบไปอีกนิด ตอนเวลา 9 โมง แต่บางแห่งก็เร่ิมสายถึง 10 โมงทีเดียว เช่นนี้ทำให้สามารถไปส่งเด็กแต่ละคนได้ตามเวลาที่โรงเรียนเร่ิม โชคดีที่จูเกชมีคนขับรถส่วนตัว หน้าที่ส่งเด็กๆ ตอนเช้าจึงมอบหมายให้กับคนขับรถไป แต่คุณแม่คุณน้าทั้งหลายก็ต้องวุ่นวายกันแต่เช้าทีเดียว ไหนจะต้องจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้กับลูกๆ เตรียมอาหารเช้าและบังคับให้กิน เตรียมอาหารว่างและกลางวันใส่กล่อง ช่างเป็นเช้าที่วุ่นวายแต่ก็ดูสนุกดี ฉันกอดเด็กๆ แต่ละคนพร้อมกับความคิดคำนึงว่าอีกเมื่อไหร่ฉันถึงจะได้กลับมาเจอพวกแกอีก ตอนนั้นพวกแกอาจจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วก็ได้ แกจะยังจำฉันได้รึเปล่า ชีวิตมันก็น่าแปลกเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่หยุดอยู่กับที่ ทุกส่ิงย่อมมีการเคลื่อนไหวไปพร้อมกับโลกที่หมุนไป
ริซ่าเดินเข้ามาหาฉันในห้องนอนพร้อมกับของในมือ เธอยื่นให้กับฉันเพื่อเป็นที่ระลึก เมื่อเปิดออกดูฉันถึงกับตะลึงเล็กน้อย ในกล่องใบเล็กนั้นเป็นองค์พระพิฆเนศสีแดงสดอมส้ม สวยงามอร่ามตา ฉันรู้สึกได้อีกครั้งว่าเธอเป็นคนละเอียดอ่อนและใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ฉันเพียงแค่บอกกับจูเกชในวันแรกที่มาถึงว่าฉันมาตามหาเช่าพระพิฆเนศปางทารกให้กับเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากอธิบายความว่าทำไมคนไทยบางกลุ่มถึงได้ศรัทธาและบูชาพระพิฆเนศ เธอเลยไปเลือกหาเช่าพระพิฆเนศองค์นี้มาให้กับฉัน ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ถูกใจฉันมาก องค์เล็กกระทัดรัด สีสันจัดจ้านสวยงาม รายละเอียดในการแกะนั้นไม่มากจนเกินงาม เรียกได้ว่าเหมาะกับรสนิยมส่วนตัวของฉันมาก
ปราวีณา นูนู่ และ ซูนุ นั้นให้ของเป็นที่ระลึกกับฉันเช่นกัน คือสร้อยคอลูกปัด กำไล และผ้าคลุมไหล่ ฉันรู้สึกซึ้งใจมากๆ กับน้ำใจของคนในครอบครัวนี้ ของบางอย่างนั้นมันมีค่ามากกับความรู้สึกเกินกว่าราคาของมันมากมายนัก ส่วนซาฟาร่าก็อุตส่าห์แวะมาลาพร้อมกับให้ตุ๊กตาพื้นเมืองแก่ฉัน ความจริงแล้วแค่น้ำใจที่พวกเขามีต่อฉัน หุงหาอาหารให้ทาน ต้อนรับ
ประหนึ่งเป็นคนในครอบครัว พาไปร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้ความสนใจกับความรู้สึกนึกคิดของฉัน แค่นี้ก็มากเพียงพอแล้วสำหรับของที่ระลึกที่มีค่าชื่อว่า “น้ำใจ”
วันนี้ทุกคนต้องออกไปทำงานกัน ริซ่าอยู่เป็นเพื่อนฉัน และเมื่อใกล้เวลาจูเกชกับ
ราเกชก็กลับบ้านมาเพื่อที่จะร่ำลาฉันเป็นครั้งสุดท้าย
ราเกชก็กลับบ้านมาเพื่อที่จะร่ำลาฉันเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะออกจากบ้านคุณแม่ได้นำถาดที่มีผงติกาสีแดง ข้าวสาร ผลไม้ และถั่ว ขึ้นมาหาฉันที่ห้องนั่งเล่น เธอบรรจงแต้มหน้าผากฉันด้วยข้าวสารที่มีผงติกาสีแดงผสมอยู่ เพื่อให้พรให้เดินทางโดยปลอดภัย พร้อมกับให้แอปเปิ้ลและถั่วไว้กินเล่น น้ำตาฉันเอ่อขึ้นมาด้วยความซึ้งใจ ฉันไหว้เธอและกอดเพื่อเป็นการร่ำลา เธอพูดเป็นภาษาเนวาร์ที่ราเกชแปลให้ฉันฟังมีใจความว่าเธอขอให้ฉันเดินทางปลอดภัย กลับไปแล้วอย่ากลับไปเลย ให้ติดต่อมาบ้าง และให้กลับมาเยี่ยมเยียนกันอีก
“ผมไปส่งคุณไม่ได้นะ คงต้องลากันตรงนี้ล่ะ” จูเกชบอกกับฉันก่อนขึ้นรถ
“อ้าวเหรอ ไม่เป็นไร ขอบคุณนายมากเลยนะสำหรับทุกส่ิงทุกอย่าง อย่าลืมนะว่าต้องทำดีกับริซ่าให้มากๆ” ฉันแอบสั่งเขาในขณะที่ริซ่าแอบอมย้ิม
“เป็นไง คุณรู้สึกอยากร้องไห้รึยัง” จูเกชแอบแซวฉัน
“เกือบแล้ว ก็ฉันเป็นคนอ่อนไหวนี่นา”
แม้ว่ามันจะเป็นการกอดเพื่อร่ำลากัน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายของเราซักที ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงกว่าๆ นั้น ไม่ได้นานหรือยากเกินกว่าที่เราจะได้โคจรมาเจอกันซักนิด ที่แน่ๆ นั้น พวกเขายังคงอยู่ใกล้ๆ กับฉันในใจเสมอ
จูเกชกับริซ่าแวะลงกลางทางเพื่อไปทำงานต่อส่วนราเกชไปส่งฉันถึงสนามบิน ครั้งนี้ฉันไม่ได้รู้สึกใจหายมากเพราะไม่คิดว่ามันเป็นการจากที่จะไม่ได้เจอกันอีก แต่มันเป็นการจากเพื่อที่จะรอวันกลับมาเจอกันใหม่ ฉันเชื่อโดยสนิทใจแล้วว่าชีวิตฉันมีความผูกพันกับคนที่นี่จริงๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน ใครจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร แต่เรายังคงมีสายใยที่ผูกพันกันไว้เสมอ
แล้วพบกันใหม่ เมื่อมีใครซักคนแต่งงาน …
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น