เมื่อใกล้ถึงปลายปีส่ิงหนึ่งที่มักวนเวียนเข้ามาในหัวฉันก็คือเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดฤดูหนาว ดูเหมือนว่าการเดินทางกับฉันเป็นเรื่องคู่กันไปเสียแล้ว ครั้งนี้ฉันไม่อยากไปไหนไกลมากไม่อยากไปที่ไหนที่หนาวมากเกินไป รายชื่อประเทศเพื่อนบ้านไม่กี่ประเทศจึงลอยขึ้นมาในหัว
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ฉันค่อนข้างชื่นชอบจากการไปเที่ยวเมื่อหลายปีก่อน แต่ครั้งนั้นฉันไปเยี่ยมชมเพียงแค่เมืองหลวงในยุคปัจจุบัน คือโตเกียว เมืองที่มีความทันสมัย เปรี้ยวจี้ดจ้าดจนเข็ดฟัน แต่ยังไม่ได้ไปเยี่ยมชมเมืองอื่นๆ ที่อัดแน่นไปด้วยวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมโบราณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันสนใจ
ใครที่ไปเกียวโตมาต่างก็ชอบใจนักหนา ฉันก็คิดว่าตัวเองควรต้องไปสัมผัสกับเมืองหลวงเก่านี้ซักครั้ง ไม่งั้นคงเป็นนักเดินทางที่เชยแย่ แผนการที่วาดไว้โดยคร่าวๆ จึงเป็นดังนี้ นั่งเครื่องบินไปลง โอซาก้านั่งรถไฟไปเกียวโต ระหว่างนั้นไปเที่ยวนาราขากลับแวะเมืองชาเขียวอูจิ ไปเมืองทากายาม่าอีกเมืองระหว่างที่อยู่โตเกียว เวลา 12 วันคงเพียงพอต่อแผนการที่วางไว้
เนื่องจากฉันเพิ่งไปเนปาลและหมู่เกาะมัลดีฟในช่วงกลางปีที่ผ่านมาจึงไม่อยากเสียเงินมากมายนักกับการเดินทางในครั้งนี้ มีตัวช่วยก็คือคะแนนสะสมจากเครดิตการ์ดที่สามารถผันแปรไปเป็นไมล์สำหรับการเดินทางกับสายการบินไทยได้ (รู้สึกว่าคุ้มค่่ากับการรูดปรื้ดก็ด้วยเหตุนี้) จึงได้รีบจองที่นั่งไว้ล่วงหน้าถึงสองเดือนเต็ม หลังจากนั้นจึงเริ่มเช็คข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทาง ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจต่างๆ และเริ่มวางแผนการเดินทางที่ลงตัวกับตั๋วเครื่องบินที่ได้จองไว้
สายการบินไทยมีเที่ยวบินไปญี่ปุ่นเยอะและถี่มาก เดินทางได้ทุกวัน วันละหลายเที่ยว เราสามารถเลือกไปลงและกลับได้หลายเมืองทำให้เดินทางไปได้ทั่ว ได้แก่ โตเกียว (นาริตะ) นาโกย่า ฟูกูโอกะ และโอซาก้า แต่เมื่อถึงเวลาออกตั๋วเราต้องผิดหวังเล็กน้อยเพราะเที่ยวบินที่เราตั้งใจจะไปนั้นถูกยกเลิก ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่บินตรงไปโอซาก้า ทางการบินไทยจึงเปลี่ยนไปจองที่นั่งให้กับเราในเที่ยวบินถัดไปซึ่งทำให้เราต้องไปแวะที่เมืองมานิลาประเทศฟิลิปปินส์ เราจึงต้องออกเดินทางตั้งแต่เก้าโมงกว่าๆ ไปถึงโอซาก้าตอนประมาณทุ่มกว่าๆ เราต้องเสียเงินค่าภาษีและน้ำมันเครื่องบินประมาณหนึ่งหมื่นเศษๆ รู้สึกว่าแพงมากๆ แต่เมื่อคิดว่าเราได้ตั๋วฟรีมาส่วนหนึ่งก็เลยไม่เก็บมาทำให้เสียอารมณ์เพราะฉันเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาฟรีๆ
นอกจากตั๋วเครื่องบินที่ควรจองไว้ล่วงหน้า ส่ิงที่ควรต้องพกพาไปด้วยก็คือ Japan Rail Pass ซึ่งเป็นแพคเกจตั๋วรถไฟสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางไปท่องเที่ยวแบบชั่วคราวโดยเฉพาะ ซึ่งเราสามารถใช้เดินทางโดยรถไฟไปยังเมืองต่างๆ กี่เที่ยวก็ได้ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ครอบคลุมรถไฟหลายบริษัท เรียกว่าอยากไปไหนก็ไปได้ด้วยบัตรนี้ สามารถหาซื้อได้หลายที่ ฉันซื้อที่บริษัท แจลแพค ทัวร์ แอนด์ เทรเวล ชั้น 1 อาคาร นันทวัน ถนนราชดำริ ลงรถไฟฟ้าสถานีราชดำริ แล้วเดินนิดเดียวถึง ระยะเวลาที่ครอบคลุมการเดินทางนั้นมีให้เลือก 3 ระยะ คือ 7 วัน ราคา 28,300 เยน 14 วัน ราคา 45,100 เยน และ 21 วัน ราคา 57,700 เยน ต้องลองคิดคำณวนดูว่าระยะเวลาไหนที่เหมาะกับแผนการเดินทางที่สุด สำหรับฉันเลือกแบบ 7 วัน พนักงานที่บริษัทให้ข้อมูล ความรู้ คำแนะนำต่างๆ อย่างดีมาก แต่ต้องเตรียมเอกสารไปให้ครบด้วยนะ ซึ่งประกอบด้วยพาสปอร์ตที่มีประทับตราวีซ่าอนุญาตเข้าประเทศญี่ปุ่น
สำหรับการขอวีซ่าในการเดินทางท่องเที่ยวแบบชั่วคราวสำหรับคนที่เคยไปญี่ปุ่นมาแล้วนั้นแสนง่ายและใช้เวลาไม่มาก เอกสารก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่เว็บไซต์ของสถานฑูตญี่ปุ่น http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm
ช่วงสิ้นปีอากาศที่ญี่ปุ่นค่อนข้างหนาวโดยเฉพาะที่เกียวโตซึ่งถูกโอบล้อมด้วยหุบเขา อากาศจะชื้นและมีลมกว่าที่อื่น ต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้ดี และเลือกรองเท้าที่สวมสบายเพราะต้องใช้เท้าเป็นเพื่อนในการพาเราไปไหนๆ
ฉันตั้งหน้าตั้งตารอวันเดินทางในขณะที่ทำงานอย่างอุตลุต พยายามที่จะให้งานแล้วเสร็จไปให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว
การเดินทางครั้งนี้ฉันไม่ได้มุ่งหวังอะไรมากนัก ได้แต่คิดว่าคงได้แรงบันดาลใจจากบ้านเมืองสิ่งของและดีไซน์สวยๆ ที่เป็นความเชี่ยวชาญและสิ่งที่โดดเด่นของประเทศญี่ปุ่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น