เนื่องจากว่าเรียวคังที่ฉันจองมานั้นอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนักเราจึงใช้วิธีเดินไป ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงที่หมาย (ถ้าไม่มีสัมภาระก็ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาที ) แรกพบก็ประทับใจ เพราะเรียวคัง เฮอันโบ (Heianbo) นั้น เป็นบ้านญี่ปุ่นเก่าทาสีส้มสดใส ห้องพักเป็นแบบญี่ปุ่นมีทั้งแบบมีห้องน้ำในตัวและแบบที่ใช้ห้องน้ำรวม มีอาหารเช้าบริการ ราคาต่อคนต่อคืนคือ 7,350 เยน (ประมาณ 2,830 บาท ซึ่งนับว่าไม่แพงมาก ใครอยากลองไปอยู่สามารถจองผ่านเว็บไซต์ http://www.japaneseguesthouses.com/index.htm ซึ่งเป็นเว็บรวมข้อมูลที่พักแบบเรียวคังในเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่นมีทั้งแบบราคาถูกและแพงถึงแพงมาก เมื่อเรามาถึงนั้นยังไม่ถึงเวลาที่เขาให้เช็คอินเข้าห้องได้ จึงฝากกระเป๋าไว้จะได้ออกไปเที่ยวไม่ให้เสียเวลาแม้แต่นิด
วันนี้เราเลือกที่จะเริ่มต้นเที่ยวเกียวโตกันด้วยการไปวัด ด้วยความที่ยังไม่คุ้นกับการเดินทางในเกียวโตเราเลยไปเริ่มต้นกันที่สถานีเกียวโตก่อนเพราะเป็นสถานีเริ่มต้นของรถเมล์ทุกสายด้วย เราเลือกไปวัด จิงคะคุจิ (Ginkakuji) เป็นที่แรก โดยการนั่งรถเมล์เบอร์ 5 คิดกันไปเองว่าตั๋ว Rail Pass ที่ซื้อมานั้นเปรียบเสมือนบัตรเบ่ง สามารถใช้ได้กับการเดินทางทุกรูปแบบ แต่ต้องหน้าจ๋อยเมื่อเดินทางไปถึงป้าย Ginkakuji mae และยื่นบัตรไปเบ่งกับพนักงานขับรถ เขาก็ส่ายหน้าอย่างรุนแรงพร้อมกับพูดว่า “no … no… no … no …” หรือแปลเป็นไทยว่า “บัตรนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ เข้าใจมั้ย นักท่องเที่ยวหน้าเด๋อทั้งสอง” เราเลยถามเขาว่าต้องจ่ายเงินค่ารถเท่าไหร่ แล้วจึงหยอดเหรียญ 220 เยนลงไปในเครื่องรับเงินอัตโนมัติ ซึ่งมีทั้งเครื่องแลกเหรียญและเครื่องรับเงิน ถ้าไม่มีเหรียญย่อยพอดีกับค่ารถก็ควรแลกเหรียญจากเครื่องแลกเหรียญอัตโนมัติก่อนเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาตอนลงจากรถ เพราะชีวิตมันเร่งรีบเข้าใจไหม
รถเมล์ที่นี่ต้องขึ้นจากประตูด้านหลังและลงที่ประตูด้านหน้า ก่อนลงอย่าลืมจ่ายเงิน 220 เยน ตลอดสาย ถ้าขึ้นลงไปไหนมาไหนหลายเที่ยวก็แนะนำให้ซื้อเป็นบัตรวันราคา 500 เยน ขึ้นรถได้ทุกสาย และขึ้นกี่เที่ยวก็ได้ตลอดทั้งวัน ยกเว้นเพียงบางย่านที่อยู่นอกเขตเมืองต้องเสียเงินต่างหาก จริงๆ แล้วรถเมล์ที่นี่สะดวกมาก ไปไหนมาไหนก็ขึ้นรถเมล์ไปได้ แถมวิ่งจนถึงเที่ยงคืน และมีเวลาหยุดตามป้ายเฉพาะเจาะจง สามารถคาดเดาได้ว่ารถเมล์จะมาถึงป้ายเมื่อไหร่และออกเดินทางทุกกี่นาที
เมื่อลงจากรถเมล์แล้วต้องเดินต่อไปอีกนิดนึงก็จะถึงทางเดินที่ขึ้นไปยังวัดจิงคะคุจิ สองข้างทางมีร้านขายของเรียงรายทั้งของกินของใช้สไตล์ญี่ปุ่นแท้ มีขนมน่ากินหลายอย่างที่อดลองไม่ได้นั่นก็คือขนมข้าวทอดหรือเซมเป้ (rice cracker หรือ Senbei) ป้ิงกันใหม่ๆ สด ๆ มีหน้าหลายแบบหลายรส ฉันเลือกทานแบบห่อด้วยสาหร่ายเพราะชอบเป็นทุนเดิม รสชาติเค็มๆ และกรอบเลยกัดกร้วบกร้าบ อร่อยเพลินแถมอุ่นท้องด้วย เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าด้่านนอก ทางเดินภายในวัดนั้นโรยด้วยหินและมีรั้วเป็นต้นไผ่ยืนเขียวสองข้างทาง ให้บรรยากาศธรรมชาติและความสงบ อาจจะเป็นกุสโลบายที่ทำขึ้นเพื่อให้เราทำจิตใจให้สงบจากโลกภายนอกก่อนที่จะเข้าไปสู่ตัววัดที่มีแต่ความสงบ ก่อนถึงทางเข้าด้านในจะมีที่เก็บเงินค่าเข้าราคา 500 เยนต่อคน (ตอนที่เราไปนั้นตัววัดนั้นปิดซ่อมแซมไปจนถึงปี 2010 แต่บริเวณสวนรอบๆ ยังเปิดให้เข้าชมอยู่)
วัดจิงคะคุจิหรือชื่อดั้งเดิมคือ จิโชจิ (jisho-ji) เป็นวัดแบบเซน มีชื่อเล่นว่าปราสาทสีเงิน (Silver Pavilion) แต่มองยังไงก็ไม่มีสีเงินให้เห็นมีแต่ไม้ล้วนๆ เพราะเจ้าของปราสาทไม่มีโอกาสได้ทาด้วยสีเงินอันเนื่องมาจากสงครามโอนินซึ่งเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในการเป็นโชกุนที่ต่อเนื่องยาวนานทำให้ไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอแถมยังเป็นช่วงที่เมืองเกียวโตถูกทำลายซะยับเยิน เล่าประวัติให้ฟังคร่าวๆ เผื่อใครสนใจ วัดจิงคะคุจินั้นสร้างโดยโชกุนโยชิมาสะ (Ashikaga Yoshimasa) ในปี 1482 โดยที่ท่านโชกุนตั้งใจสร้างเลียนแบบวัดคิงคะคูจิ (Kinkakuji) หรือปราสาททอง ซึ่งสร้างโดย โชกุนโยชิมิตสึ (Ashikga Yoshimitsu) ท่านปู่ของท่าน เพื่อใช้เป็นบ้านพักเมื่อเกษียณ แต่ตอนหลังท่านได้บวชเป็นพระในศาสนาพุทธนิกายเซนปราสาทจึงกลายเป็นวัดในที่สุด ตัววัดนั้นมีสองชั้น ด้านล่างเป็นสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่น ส่วนด้านบนเป็นแบบจีน มีนกฟินิกซ์อยู่ด้านบนสุด
เมื่อผ่านประตูด้านในเข้าไปตัววัดจะอยู่ด้านขวามือ ส่วนด้านหน้าเป็นทะเลแห่งทรายสีเงิน (Sea of Silver Sand) ซึ่งเป็นการโรยกรวดแบบญี่ปุ่น มีรูปทรงคล้ายกรวยทรงคว่ำตรงกลางรายล้อมด้วยกรวดที่ถูกแต่งให้เป็นลายทางซึ่งเป็นเงาสะท้อนของแสงของพระจันทร์และกรวยคว่ำนั้นก็คือที่นั่งรอให้พระจันทร์ขึ้นมาจากยอดเขา ฮิกาชิยามา (Higashiyama)* บ้างก็ว่ากรวดทรงกรวยนั้นเป็นตัวแทนของภูเขาไฟฟูจิหรือบางทฤษฎีก็บอกว่าเป็นเงาของพระจันทร์ที่สะท้อนอยู่ในทะเลสาป ถ้ามองจากชั้นบนของวัดสีเงิน สำหรับฉันเมื่อมองทะเลกรวดนี้
ในระหว่างที่เดินตามทางที่ทางวัดจัดไว้ ฉันเฝ้าครุ่นคิดถึงปรัชญาในการจัดกรวดแบบญี่ปุ่นซึ่งต้องบอกว่ามีความรู้แค่ศูนย์ แต่ก็พยายามที่จะแปลความหมายจากความรู้สึกที่ได้เมื่อมองธรรมชาติของส่ิงแต่ละส่ิงนั้นก็สัมผัสได้ถึงสมาธิและความสงบ นึกเรื่อยเปื่อยไปว่าคนที่มากวาดและจัดกรวดให้เป็นรูปทรงนี้ในทุกๆ วันนั้น ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่และสมาธิแก่กล้ามากพอสมควรถึงจัดระเบียบได้เนี้ยบขนาดนี้
ภายในบริเวณวัดนั้นยังมีสถาปัตยกรรมให้เห็นอีกหลายหลังรวมทั้งสวนที่จัดแบบศิลปะญี่ปุ่นโดยแท้ ซึ่งแต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่ถูกจัดวางภายในสวนนั้นล้วนมีความหมายลึกซึ้งของปวงปรัชญาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสะพานข้ามน้ำ น้ำตก หิน ต้นไม้ ดอกไม้
เราค่อยๆ เดินเรื่อยเอื่อยชมสวนไปเรื่อยท่ามกลางอากาศที่เย็นและบริสุทธิ์ทำให้ไม่ต้องคิดอะไรที่หนักหัวนัก เมื่อครบรอบแล้วก็วนกลับมาตรงทางออกด้านหน้า ฉันแวะซื้อโปสการ์ดรูปวัดสีเงินเป็นที่ระลึกเพราะไม่มีโอกาสได้ชมโฉมด้วยตาตัวเอง
http://www.shokoku-ji.or.jp/english/index.html
http://www.yamasa.org/japan/english/destinations/kyoto/ginkakuji.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น