15 กันยายน 2554

2. โอซาก้าพอสังเขป

     วันที่ 26 มกราคม 2551 เรา (ฉันและพี่ตุ๊ก เพื่อนคู่หูในการเดินทางของฉัน) ไปถึงสนามบินแต่เช้า หลังจากเช็คอินแล้วจึงมีเวลาทำเรื่องสัพเพเหระอีกเล็กน้อย เช่น ดื่มกาแฟกระตุ้นต่อมง่วง โทรศัพท์เช็คข่าวสารและฝากฝังงานที่ยังไม่แล้วเสร็จ และช้อปปิ้งซื้อของปลอดภาษีภายในสนามบิน ซึ่งสามารถฝากไว้แล้วกลับมารับในภายหลังเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว
     พี่ตุ๊กเลือกนั่งติดหน้าต่างส่วนฉันนั่งตรงกลางจึงต้องนั่งติดกับผู้โดยสารชายอีกคนหนึ่ง 
เดาว่าเป็นคนญี่ปุ่น (ดูจากหนังสือพิมพ์ที่เขาหยิบมาอ่าน) เขาหลับแทบตลอดทาง ทำให้ฉันไม่อยากรบกวนเวลาที่ต้องลุกไปทำธุระส่วนตัว อาศัยพลังตัวเบาโหย่งตัวข้ามเขาไปโดยไม่ทำให้เขาตื่น เราแวะที่มานิลาประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนที่จะนั่งต่อไปยังโอซาก้า ระหว่างนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันเตรียมตัวหาลู่ทางในการเดินทางไปยังโรงแรมเมื่อไปถึงสนามบิน เมื่อกางแผนที่ทางไปโรงแรมที่พริ้นท์จากเว็บไซต์ของโรงแรม ก็มีเสียงถามค่อยๆ จากชายหนุ่มข้างๆ                  
     “คุณจะไปเที่ยวโอซาก้าเหรอครับ” นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเสียงเขา
     “อ๋อ ใช่ค่ะ” ฉันตอบเขาไป
     “อยู่โรงแรมแถวไหนเหรอครับ” เขาถามต่อ
     “เอ่อ ชื่อ คุราโมโต อยู่แถวๆ นี้ค่ะ” ฉันชี้แผนที่ให้เขาดู
     “อ๋อ คุณสามารถนั่งรถไฟเข้าเมืองไปแล้วไปต่อรถไฟใต้ดินลงที่สถานี นากาโฮริ บาชิ (Nagahoribashi ) แล้วเดินอีกนิดเดียว” เขาอธิบายต่อ
     “เอ แต่ทางโรงแรมบอกให้ลงสถานี นิปปอมบาชิ ( Nippombashi ) นี่คะ” ฉันชี้แจง
     “ลงสถานี นากาโฮริ จะเดินใกล้กว่านะครับ” เขาบอก
     นั่นเป็นจุดเริ่มต้นในการทำความรู้จักกับคนญี่ปุ่นคนแรกในการเดินทางครั้งนี้ “อินาดะ” 
( Inada ) เป็นชาวโอซาก้าที่ทำงานในประเทศไทยมา 19 ปีแล้ว ไปๆ กลับๆ อยู่เมืองไทย 20 วัน กลับบ้านอีก 10 วัน แต่พูดภาษาไทยได้น้อยมากๆ หลังจากทำความรู้จักกันเขาก็คุยกับเราไม่หยุดเลย ไม่ว่าจะแนะนำเรื่องอาหารการกิน ที่ช้อปปิ้ง สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แถมยังแนะนำเรื่องการเดินทางอีก ว่าให้เราไปเมืองทากายาม่าระหว่างที่เดินทางเข้าโตเกียว เพราะระยะทางจากเกียวโตสั้นกว่ามาจากทางโตเกียว
     เมื่อไปถึงเราใช้เวลาไม่มากนักในการผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เดี๋ยวนี้ที่ญี่ปุ่นทันสมัยมากมีเครื่องไม้เครื่องมือในการบันทึกข้อมูลที่ไฮเทคสุดๆ เราต้องถ่ายรูปด้วยกล้องขนาดจ๋ิวที่อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ของพนักงานตรวจคนเข้าเมือง และประทับน้ิวมือบนเครื่องที่จะบันทึกลายมือของเราไว้ แถมยังมีภาษาไทยอธิบายตลอดขั้นตอน
     เดินผ่านมาด้านนอกและลงไปด้านล่างของสนามบินเพื่อต่อรถไฟเข้าเมือง ใช้รถไฟสาย นานไก (Nankai) ราคา 850 เยน อันนี้เป็นรถแบบธรรมดา ถ้าแบบเร่งด่วนหรือ Rapit เพ่ิมเงินอีก 500 เยน ไปลงสถานี “เทงกาชายา” (Tengachaya) เพื่อต่อรถไฟใต้ดินไปลงสถานี 
นากาฮอริบาชิ
     เมื่อนั่งมาซักพักรถไฟก็หยุดลง ผู้คนต่างพากันลงจากรถไฟ เรานั่งงงๆ พลางดูผู้คนเดินข้ามไปนั่งรถไฟอีกคันหนึ่ง ซักครู่เราตัดสินใจลากกระเป๋าตามไปพลางถามพนักงานประจำรถว่า รถคันนั้นผ่านไปยังสถานีที่เราต้องไปรึเปล่า เมื่อเขาพยักหน้าเราจึงรีบก้าวเข้าไปในตัวรถและหาที่นั่ง ยังงงไม่หายว่าทำไมต้องเปลี่ยนรถ แต่ก็หลิ่วตาตามคนเมืองโอซาก้าไปก่อน
     ใช้เวลาไม่นานนักรถไฟก็พาเรามาถึงยังสถานี นากาฮอริบาชิ เดินเลิกลั่กมาหยุดยืนงงๆ ที่หน้าเครื่องขายตั๋วรถไฟใต้ดินอัตโนมัติ ทันใดนั้นเอง (ถ้าเป็นหนังก็ต้องมีแสงไฟส่องและมีเพลงสร้างบรรยากาศแบบอัศจรรย์นิดๆ)​ มีคุณลุงคนหนึ่งเดินมาหยิบบัตรที่วางไว้ตรงด้านหน้าเครื่องขายตั๋ว แล้วยื่นให้ฉัน ในตอนนั้นฉันยังงงอยู่และไม่เข้าใจว่าเขายื่นอะไรให้ฉันแต่เมื่อตั้งสติและมองดูสิ่งที่อยู่ในมือก็กระจ่างว่ามันคือบัตรวันของรถไฟใต้ดิน ราคา 600 เยน ยังไม่ทันหายงงดี จะหยิบเงินเพื่อซื้อบัตรอีกใบให้พี่ตุ๊ก ก็มีคุณน้าผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาหาและยื่นบัตรอีกใบให้กับพี่ตุ๊ก เรายังไม่ค่อยอยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นับเป็นความประทับใจแรกที่มีต่อชาวโอซาก้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคุณลุงและคุณน้าเขาจะยอมเสียเวลาที่จะเดินมาหาเราและหยิบยื่นบัตรรถไฟของเขาให้เรา สำหรับเขาแล้วมันหมดประโยชน์แต่สำหรับคนอื่นมันยังมีค่าอยู่ นับเป็นการแบ่งปันและการใช้ทรัพยากรอย่างมีค่า เราสามารถประหยัดค่ารถไฟไปได้เล็กน้อยแต่เงินที่เราประหยัดได้นั้นไม่สามารถเทียบค่าได้กับน้ำใจของคนท้องถ่ินที่มีให้นักท่องเที่ยวอย่างเรา ฉันเริ่มรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นจุดเริ่มต้นความประทับใจในการเดินทางครั้งนี้ของเราได้อย่างรวดเร็ว               
     เมื่อไปถึงสถานี นากาฮอริบาชิ เราลากกระเป๋าขึ้นบันไดด้วยความทุลักทุเล และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คันลากกระเป๋าของฉันหักทำให้กระเป๋าหล่นจากชั้นบนลงไปยังชั้นล่างเสียงดังสนั่น โชคดีที่ไม่มีใครเดินตามมา ไม่งั้นคงโดนกระแทกโดยกระเป๋าอันหนักของฉันเป็นแน่ โชคยังดีที่มีที่หิ้วกระเป๋าเหลืออยู่อีกสองอัน ฉันจึงต้องลากกระเป๋าอย่างยากลำบาก เมื่อเราขึ้นมายังด้านบนสถานีอากาศอันหนาวเย็นเร่ิมซึมผ่านเสื้อผ้า ลมเริ่มพัดผ่านมายังหน้าเรา เป็นลมหนาวที่ต้อนรับเราอย่างได้อย่างเย็นยะเยือก ฉันพยายามหาทิศการเดินไปยังโรงแรมด้วยความไม่แน่ใจ จึงพยายามดักคนที่เดินผ่านไปผ่านมา และฉันก็พบเหยื่อซึ่งเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งท่าทางเมากึ่มๆ เดินมากับเพื่อนๆ ถูกฉันหยุดไว้เพื่อถามทาง เมื่อได้เรื่องเราก็เริ่มออกเดินอย่างลำบาก อยากให้ถึงโรงแรมเร็วๆ เพราะเมื่อยแสนเมื่อย เมื่อถึงปากทางที่มีตึก NTT สถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่นอยู่ด้านหน้าเราก็เข้าซอยไปเลี้ยวซ้ายอีกนิดก็ถึงที่หมายโรงแรมคุราโมโต 
http://www.kuramoto-hotel.co.jp/english/ เป็นโรงแรมสไตล์ เรียวคัง (Ryokan) ราคาต่อคืนต่อคนคือ 6,300 เยน ไม่มีอาหารเช้า ตกประมาณ 2,425 บาท
     โรงแรมแบบเรียวคังนั้นเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ประวัติความเป็นมาคือเป็นโรงแรมที่มีมาแต่สมัยโบร่ำโบราณทำไว้ให้พวกซามูไรหรือพ่อค้าที่เดินทางระหว่างเมืองได้พัก มีเรียวคังหลายเกรดตั้งแต่แบบธรรมดา แบบทันสมัย จนกระทั่งแบบหรูหรา หน้าตาก็ต่างกันไป ส่วนใหญ่ฉันเลือกแบบกลางๆ เพราะยิ่งหรูหรือยิ่งมีหน้าตาเป็นแบบดั้งเดิมก็ยิ่งราคาแพง เมื่อไปถึงเรียวคังแล้วสิ่งที่ควรทำก็คือต้องถอดรองเท้าก่อนและเปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ใช้เดินในบ้าน ห้องหับจะเป็นแบบญี่ปุ่นแยกสัดส่วนชัดเจน มีห้องนั่งเล่นที่มีโต๊ะตัวเตี้ยและเก้าอี้นั่งพร้อมกาน้ำชา ถ้วยชา และชาเขียวให้ชงดื่มทุกวัน เมื่อเข้าห้องต้องถอดรองเท้าเพราะพื้นปูด้วยเสื่อตาตามิ ในส่วนของที่นอนจะเป็นฟูกฟูตองและผ้านวมหนาไว้ให้ห่ม นอกจากนี้ยังมีเสื้อยูคาตะให้ใส่เมื่ออยู่ภายในเรียวคัง สามารถใส่เดินไปไหนมาไหนภายในเรียวคังได้ และส่วนใหญ่จะมีห้องอาบน้ำรวม (Onsen) แต่ฉันเลือกแบบมีห้องน้ำส่วนตัวเพราะสะดวกกว่า ส่วนใหญ่ห้องน้ำก็จะแยกส่วนกัน เป็นส่วนของอ่างล้างหน้า ห้องส้วม และห้องอาบน้ำ ก็สะดวกดีเพราะถ้ามากับเพื่อน เราก็ประหยัดเวลาโดยการแบ่งกันทำกิจกรรมต่างๆ ได้
     เราเก็บกระเป๋าและล้างหน้าล้างตาเพื่อออกไปชมเมืองโอซาก้ากัน โรงแรม คุราโมโต นั้นอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวมาก เพียงเดินไป 5 นาที ก็ถึง โดตนโบริ (Dotonbori) ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวย่านหนึ่ง มีร้านค้าเรียงรายในถนนนี้มากมายตั้งแต่ร้านอาหาร ร้านเกม ร้านขายของต่างๆ อินาดะบอกว่าถนนนี้แทบไม่เคยปิดเลย ร้านค้าจะเปิดกันถึงดึกดื่น
     ฉันมีความอยากกินปูที่โอซาก้ามากเพราะเป็นของขึ้นชื่อ พวกร้านที่ขายอาหารทะเลเหล่านี้ก็จะทำ mock up รูปปูตัวใหญ่ติดไว้หน้าร้าน แถมก้ามยังขยับได้อีกต่างหาก ประหนึ่งว่าเชื้อเชิญนักท่องเที่ยวให้แวะกินอาหาร แต่มีคนเคยบอกฉันว่าอย่าไปกินตามร้านพวกนี้ เพราะนอกจากราคาจะแพงหูฉีกแล้วรสชาติก็งั้นๆ อีกต่างหาก เราก็เลยผ่านไปก่อน เดินดูแสงสีตามร้านแถบถนนนี้เพลินจนเจอร้านบะหมี่ร้านหนึ่ง เป็นบะหมี่หยอดเหรียญแต่เห็นว่ามีคนท้องถิ่นเข้าไปทานเยอะมากไม่น่าจะเป็นพวกร้านขายนักท่องเที่ยว ก็เลยลองไปดูบ้าง บะหมี่หมูธรรมดาชามละ 600 เยน (ตกเป็นเงินไทย 230 บาท) ถ้าเพิ่มหมูเป็นพิเศษก็เป็น 900 เยน แพงใช่ย่อย เมื่อหยอดเหรียญในตู้แล้วเครื่องก็จะคายตั๋วออกมา นำตั๋วนั้นไปให้พนักงาน เขาก็จะทำบะหมี่ตามที่เราสั่งเรียงตามคิว เราหาโต๊ะนั่งด้านในที่เหมาะเหม็ง เมื่อบะหมี่เสร็จแล้วพนักงานก็จะตะโกนบอก เราต้องเดินไปหยิบชามบะหมี่เอง ประมาณว่า self service บนโต๊ะนั้นมีกิมจิ กระเทียม และต้นหอมซอยให้ใส่เพิ่มเติมตามความชอบ โต๊ะที่นั่งเป็นโต๊ะเตี้ยๆ เราต้องถอดรองเท้าแล้วนั่งพับขาทาน สนุกไปอีกแบบ รสชาติบะหมี่ก็อร่อยดี แถมยังร้อนทำให้ร่างกายอบอุ่นจากอากาศที่หนาวเย็น
     เมื่ออ่ิมท้องแล้วเราไปเดินเตร็ดเตร่ต่อ ดูแสงสีเสียงของเมือง ตามหาป้ายไฟกูลิโกะที่เหมือนเป็นอนุสาวรีย์ของเมืองไปซะแล้ว ใครไปใครมาต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก โอซาก้าดูเป็นเมืองที่ค่อนข้างทันสมัย มีตึกใหญ่ๆ สูงๆ มากมาย ดูคล้ายๆ กรุงเทพอยู่เหมือนกัน ผู้คนที่เดินกันบนท้องถนนนั้นดูคึกคักและมีชีวิตชีวา ประหนึ่งว่าราตรีนี้ช่างยาวนานนัก
     เมื่อเดินจนถึงดึกพอเห็นบ้านเมืองคร่าวๆ แล้ว เราก็กลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเที่ยวในวันรุ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น