ศาลเจ้ายาซากะโดดเด่นตั้งแต่ประตูทางเข้าสีส้มที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมนั้นสะดุดตาแต่ไกล ยังไงซะก็ไม่หลงไปวัดอื่นแน่ เมื่อผ่านเข้ามาด้านในแล้วจะมีบริเวณด้านหน้าที่กว้างขวาง มีเวทีสำหรับประกอบพิธี และอีกฝั่งหนึ่งเป็นตึกชั้นเดียวที่คนมาไหว้พระขอพรและบริจาคเงินโดยโยนลงไปในกล่องขนาดใหญ่ และสั่นกระดิ่งเพื่อปลุกเทพเจ้าให้ฟังคำสวดมนต์อ้อนวอน รอบๆ จะมีโคมกระดาษห้อยอยู่ซึ่งไฟจะเปิดในยามค่ำคืน ตัวหนังสือที่เขียนไว้บนโคมนั้นเป็นชื่อของสปอนเซอร์ที่สนับสนุนวัดซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจร้านค้าที่อยู่ในเกียวโต
เมื่อเดินออกจากวัดแล้วที่พลาดไม่ได้ก็คือตรอก อิชิเบ โคจิ (Ishibe-koji lane) เป็นย่านเก่าแก่ของเมืองเราสามารถลัดเลาะเข้าไปเดินเล่นในซอยเล็กๆ เพื่อชมโรงแรม ร้านชา บ้านไม้เก่า ซึ่งมีต้นไม้ที่แทรกตัวอยู่อย่างสงบ สะท้อนให้เห็นสถาปัตยกรรมและความเป็นอยู่แบบโบราณได้อย่างดี
เมื่อเดินออกจากซอยเล็กแล้ว แนะนำให้ไปเดินเล่นแถวๆ ถนนนิเนนซากา (Ninenzaka) และซานเนนซากา (Sannenzaka) ซึ่งเป็นส่วนโบราณของเมืองที่ถูกอนุรักษณ์ไว้อย่างดี สองข้างทางเป็นร้านรวงขายของพื้นเมือง อาหาร ขนม ของใช้ต่างๆ ที่น่าสนใจมากๆ เดินแล้วต้องระวังกระเป๋าหน่อยเพราะเผลอใจไปนิดเดียวก็ต้องเสียเงินให้กับของล่อตาต่างๆ ถนนตรงนี้ค่อนข้างที่จะเป็นเนิน และไม่เรียบนัก ต้องระวังให้ดีเวลาเดินเที่ยว ถ้าเผลอลื่นหกล้ม คนโบร่ำโบราณแถวนั้นเค้าเชื่อกันว่าจะประสบกับโชคไม่ดีไปถึงสองสามปี … ไอ้หย๋า …
เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะถึงทางเข้า จิชู จินจา (Jishu Jinja) เป็นสถานที่ยอดฮิตของหมู่วัยรุ่น เพราะเป็นศาลเจ้าที่บูชาเทพเจ้าแห่งความรักและการมีคู่ ตรงลานด้านหน้ามีหินสีดำตั้งอยู่สองก้อน ระยะห่างจากกันไม่มากนัก ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้าปิดตาเดินจากก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งโดยไม่มีคนช่วยบอกทางได้สำเร็จล่ะก็จะโชคดีในเรื่องความรัก ฉันเห็นมีวัยรุ่นมาทดลองกันหลายคน หัวเราะคิกคักสนุกสนานกันใหญ่วัยรุ่นก็เหมือนกันทุกประเทศ สนใจใส่ใจกับเรื่องของหัวใจเป็นหลัก ยังไม่ค่อยมีความทุกข์ร้อนกับเรื่องอื่นๆ นัก ถ้าเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวคงต้องรอคิวเดินกันนานหน่อย เผลอๆ อาจจะหลับตาเดินชนเนื้อคู่ที่มาเที่ยววัด ก็ดีไปอีกแบบ
เดินไปอีกนิดก็จะเข้าไปสู่เขตวัด คิโยมิซุ (Kiyomizu Temple) วัดนี้เป็นวัดที่ผู้คนนิยมมาไหว้พระกันมาก มีพระพุทธรูปที่สำคัญซึ่งมี 11 หน้าและ 1,000 แขน ตัววัดนั้นสร้้างจากไม้ทั้งหมดและมีเทคนิคการสร้างที่ไม่ใช้ตะปูตอกแม้แต่ตัวเดียว น่าอัศจรรย์มาก เป็นหนึ่งในวัดที่องค์การยูเนสโกเลือกให้เป็นมรดกโลก แม้ว่าจะรอดพ้นจากการถูกทำลายในช่วงสงครามโอนินเพราะเป็นเพียงนิกายเล็กๆ ที่ไม่มีอิทธิพลอะไรมากมาย แต่ก็ไม่รอดจากการถูกไฟไหม้ วัดนี้ถ้าเปรียบเป็นผู้หญิงก็ต้องบอกว่าเป็นผู้หญิงที่สวยทุกมุม ไม่ว่าจะด้านข้างซ้ายขวาหรือด้านหน้า มองไกลมองใกล้ก็มีเสน่ห์สวยไปหมด เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะให้ความรู้สึกขลังและสงบเพราะอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่บนเนินเขา อีกทั้งยังรู้สึกถึงความมั่นคงหนักแน่นอาจเป็นเพราะเสาไม้ขนาดใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญของวัดนี้ เมื่อเดินต่อไปก็จะสามารถถ่ายรูปวัดด้านหน้าเต็มๆ จากหลายๆ มุม ซึ่งจะเห็นโครงสร้างของวัดอย่างชัดเจนว่าใหญ่โตและมีไม้ประกอบเป็นตัววัดมากมายขนาดไหน แถมยังสามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตอีกด้วย ก่อนที่จะเดินออกจากวัด
จะมีบ่อน้ำแร่ให้คนมาตักดื่มเชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ สองข้างทางของทางเดินลงจากตัววัดนั้นมีต้นซากุระเรียงราย ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิเชื่อว่าคงสวยงามอ่อนหวานมากๆ เป็นแน่ แต่ตอนที่เราเดินกลับออกไปนั้นเป็นช่วงเย็นที่อากาศเร่ิมหนาวขึ้นเรื่อยๆ จึงได้อีกความรู้สึกหนึ่งแทน ฉันรู้สึกว่าที่ญี่ปุ่นนั้นหลักศาสนาได้สอดแทรกเรื่องราวการอยู่ร่วมกับธรรมชาติเข้าไปค่อนข้างเยอะ ทำให้ทุกๆ ที่มีพื้นที่สำหรับธรรมชาติให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องมีก็เลยเจียดที่เข้าไปหน่อยนึงพอให้ได้อารมณ์
จะมีบ่อน้ำแร่ให้คนมาตักดื่มเชื่อว่าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ สองข้างทางของทางเดินลงจากตัววัดนั้นมีต้นซากุระเรียงราย ถ้าเป็นฤดูใบไม้ผลิเชื่อว่าคงสวยงามอ่อนหวานมากๆ เป็นแน่ แต่ตอนที่เราเดินกลับออกไปนั้นเป็นช่วงเย็นที่อากาศเร่ิมหนาวขึ้นเรื่อยๆ จึงได้อีกความรู้สึกหนึ่งแทน ฉันรู้สึกว่าที่ญี่ปุ่นนั้นหลักศาสนาได้สอดแทรกเรื่องราวการอยู่ร่วมกับธรรมชาติเข้าไปค่อนข้างเยอะ ทำให้ทุกๆ ที่มีพื้นที่สำหรับธรรมชาติให้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องมีก็เลยเจียดที่เข้าไปหน่อยนึงพอให้ได้อารมณ์
เราเดินกลับลงไปเพื่อซื้อของฝากซึ่งเป็นของกินล้วนๆ มาญี่ปุ่นคราวนี้เราติดใจรสชาติของขนมโมจิรสงาดำอย่างมาก เพราะเบื่ออะไรที่เป็นชาเขียวแล้ว อันเนื่องมาจากสินค้าและโฆษณาที่เมืองไทยที่ทั้งบอกกล่าว สั่งสอน จนกระทั่งยัดเยียดให้เรารู้สึกว่าชาเขียวเหมือนเป็นยาวิเศษทำได้ทุกอย่าง สรรพคุณดีซะจนต้องซื้อดื่มกันทุกวัน วันละหลายขวด ส่งผลให้ผู้ประกอบการนั้นร่ำรวยกันเป็นแถว
เรานั่งรถเมล์กลับไปย่านช้อปปิ้ง และพุ่งตรงไปยังห้างฯ “มินา” (Mina) เพื่อหาที่เข้าห้องน้ำ ห้างฯมินาเป็นห้างไม่ใหญ่โตมากนัก แต่การจัดร้านค่อนข้างน่าเดิน และมีข้าวของที่น่าสนใจ ด้านบนมีร้าน “ยูนิโคล” (Uniqlo) ซึ่งขายเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้ายืด เพ้นท์ลายต่างๆ ราคาย่อมเยาว์ เหมือนเลียนแบบมูจิแต่ดีไซน์สู้ไม่ได้ ที่แตกต่างคือสีสันที่มีความหลากหลาย เพราะมูจิมักเน้นแต่แนว Earth Tone
วันนี้เราเกรงว่าจะหาอะไรทานไม่ได้อีก ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาหาร้านอาหารกันก่อนที่จะทำอะไรกันต่อเดินๆ ไปก็หันไปพบกับร้านบะหมี่ร้านนึง ที่มีข้อความดึงดูดใจให้ต้องลอง เค้าเขียนไว้หน้าร้านว่า “If you come to Japan, you have to enjoy this noodle” แถมยังมีรูปเชฟยืนทำหน้ามุ่งมั่นด้านหลังเป็นไฟลุกท่วม ประหนึ่งโฆษณารายการทีวีแชมเปี้ยน นั่นแหล่ะก็สามารถกระตุกต่อมน้ำลายของเราให้สูบฉีดเต็มปากแล้ว เรายืนเก้ๆ กังๆ ตรงหน้าตู้หยอดเหรียญเพราะไม่รู้ว่าจะเลือกบะหมี่แบบไหนดี เนื่องมาจากว่าอ่่านไม่ออกซักตัว ทันใดนั้นเองก็มีอัศวินขี่ม้าขาวตาหยีมาช่วย หนึ่งในพนักงานของร้านภูมิใจนำเสนอเมนูเบอร์ 1 บอกว่าเป็นบะหมี่จานเด็ดของร้าน เป็นที่นิยมมากๆ ใครแวะมาเป็นต้องสั่งจานนี้อยู่ร่ำไป ฉันก็เลยกดปุ่มสั่งไปหนึ่งจาน ราคาประมาณ 850 เยน แต่ด้วยความเป็นคนช่างลอง เลยกดปุ่มเบอร์ 2 ให้กับตัวเอง
ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ประมาณหนึ่งคูหา มีโต๊ะนั่งเรียงๆ เป็นแถวหันหน้าไปทางเดียวกันเหมือนเวลาทำข้อสอบ ซึ่งด้านหน้านั้นเป็นครัวแบบเปิด คือมีกระจกใสให้เราเห็นว่าเชฟแต่ละคนปรุงอาหารกันยังไงซักครู่บะหมี่ก็ถูกนำมาเสริฟ ของพี่ตุ๊กเป็นบะหมี่น้ำข้นมีหมูฝานบางๆ โปะหน้า ส่วนของฉันน่าจะเป็นบะหมี่หมูตุ๋นเพราะน้ำเข้มข้นกว่าแถมมีไข่ต้มแบบยางมะตูมมาด้วย เมื่อได้ซดน้ำเข้าไปคำแรก น้ำตาแทบไหล เปล่าไม่ได้เผ็ด แต่รสชาตินั้นอร่อยมากๆ สมกับคำโฆษณาที่ติดไว้หน้าร้าน เพราะงั้นฉันเลยอยากบอกต่อว่า “ถ้าแวะมาเกียวโต คุณต้องแวะมาทานบะหมี่ร้านนี้ซักมื้อ”
เราเดินทอดน่องไปตามถนนและตรอกซอกซอย ซึ่งวันนี้ร้านรวงไม่ค่อยคึกคักนัก แถมปิดเร็วมาก เลยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน ทำลายสถิติการไม่ได้ซื้อของนานถึงหนึ่งวันเต็ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น