10 นาที ที่นั่นมีบ้านเก่าแบบโบราณแท้ๆ (Gassho-zukuri) เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
ให้ผู้คนได้ชม ซึ่งอยู่ห่างจากทากายาม่าไปไม่ไกลนักสามารถนั่งรถเมล์ไปใช้เวลาประมาณ
ให้ผู้คนได้ชม ซึ่งอยู่ห่างจากทากายาม่าไปไม่ไกลนักสามารถนั่งรถเมล์ไปใช้เวลาประมาณ
50 นาทีก็ถึง ถ้าจะออกไปนอกเมืองเพื่อชมหมู่บ้านโบราณที่อยู่ในหุบเขาโชกาว่า (Shogawa) ก็จะเพิ่มอรรถรสมากขึ้นไปอีก เพราะเขตชิรากาว่าโก (Shiragawa-go) และเขตโกกายาม่า (Gokayama) นั้นเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านโบราณขนานแท้ คุณจะพบกับบ้านเก่ามากมายที่สร้างด้วยวิถีโบราณ ส่วนใหญ่บ้านเหล่านี้เลี้ยงไหมเป็นอาชีพ เพราะฉะนั้นโครงสร้างของบ้าน อากาศแสงแดด ความร้อนจึงต้องเอื้ออำนวนต่ออาชีพเขาด้วย หลังคาของบ้านแบบโบราณนี้
มีลักษณะเหมือนมือที่พนม อันนี้นอกจากเรื่องความสวยงามคงทนแล้วยังมีส่วนเรื่องการทนทานต่อดินฟ้าอากาศ ต้องแข็งแรงพอที่จะทนหิมะที่ตกหนัก รวมทั้งความชื้นของฝน บ้านบางหลังยังเปิดให้พักค้างคืนได้อีกด้วย อันนี้น่าลองมากๆ เพราะจะได้ซึมซับความเป็นอยู่แบบโบราณโดยแท้
เนื่องจากอากาศไม่เป็นใจเราเลยต้องถอดใจจากที่เที่ยวอีกหลายแห่ง เดินคอตกกลับไปยังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางเข้าโตเกียว เราแวะรับกระเป๋าที่ร้านเดลี่แล้วเลยตัดสินใจซื้ออาหารกล่องเผื่อไว้ทานในรถไฟเพราะกว่าจะไปถึงโตเกียวก็ดึกดื่นแล้ว
ใช้เวลาประมาณ 2 ½ ชั่วโมงในการเดินทางกลับมาต่อรถไฟที่นาโกย่า ด้วยความเร่งรีบ
เราก้าวขึ้นชานชาลาเบอร์ที่รถไฟจะเทียบท่าในอีกไม่กี่นาทีถัดไป รถวิ่งฉิวมาจอดพอดีฉันก็รีบก้าวเท้าเข้ารถ ลากกระเป๋าอันหนักไปหาที่วาง ประตูปิดในอึดใจ ฉันเดินไปหาที่นั่งตามเบอร์ตั๋วที่ระบุไว้ตอนจอง ปรากฏว่าตรงนั้นมีชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่ก่อน ฉันก็เลยยื่นตั๋วให้เขาดูว่านี่มันที่ของฉันนะจ๊ะ เขาก็ทำหน้างงๆ พร้อมกับควักตั๋วของตัวเองมาดู ซึ่งปรากฏว่าเป็นเบอร์เดียวกัน
เอาล่ะสิ ใครผิดใครถูก ใครออกตั๋วผิดรึเปล่า หัวใจฉันเต้นแรง ซักครู่พนักงานเดินตั๋ว
เดินมาทันใจ เขาหยิบตั๋วฉันไปดูพร้อมกับพูดว่า
เราก้าวขึ้นชานชาลาเบอร์ที่รถไฟจะเทียบท่าในอีกไม่กี่นาทีถัดไป รถวิ่งฉิวมาจอดพอดีฉันก็รีบก้าวเท้าเข้ารถ ลากกระเป๋าอันหนักไปหาที่วาง ประตูปิดในอึดใจ ฉันเดินไปหาที่นั่งตามเบอร์ตั๋วที่ระบุไว้ตอนจอง ปรากฏว่าตรงนั้นมีชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่ก่อน ฉันก็เลยยื่นตั๋วให้เขาดูว่านี่มันที่ของฉันนะจ๊ะ เขาก็ทำหน้างงๆ พร้อมกับควักตั๋วของตัวเองมาดู ซึ่งปรากฏว่าเป็นเบอร์เดียวกัน
เอาล่ะสิ ใครผิดใครถูก ใครออกตั๋วผิดรึเปล่า หัวใจฉันเต้นแรง ซักครู่พนักงานเดินตั๋ว
เดินมาทันใจ เขาหยิบตั๋วฉันไปดูพร้อมกับพูดว่า
“ตั๋วของคุณต้องขึ้นรถไฟฮิคาริ (Hikari) แต่คันนี้คือรถไฟโนโซมิ (Nozomi)”
“ฮ้า !!!!! เป็นไปได้ยังไง นี่ฉันขึ้นรถไฟผิดคันหรือนี่” ฉันหน้าซีดเผือดทันที พูดอะไร
ไม่ออกได้แต่ทำหน้าเหว๋อ
ไม่ออกได้แต่ทำหน้าเหว๋อ
“เออ พี่ก็เห็นเหมือนกันว่าฮิคาริมันต้องจอดอีกด้านหนึ่งของชานชาลา” พี่ตุ๊กเพ่ิงเฉลย ทำไมไม่ยั้งกันไว้ตอนที่วิ่งขึ้นรถไฟ ไหงกลับตามกันขึ้นมาเฉยเลย
“แล้ว แล้ว ทำไงดีคะ ฉันสามารถลงที่ป้ายหน้าได้มั้ยคะ” ฉันทำเสียงเล็กเสียงน้อยถามพนักงาน
เขามองหน้าฉันอย่างอ่อนใจแล้วตอบ “ได้ครับ เดี๋ยวคุณลงป้ายหน้าแล้วกัน ชื่อป้าย
ชินโยโกฮาม่า แล้วไปต่อรถไฟฮิคาริซึ่งจะจอดที่นั่นเหมือนกัน”
ชินโยโกฮาม่า แล้วไปต่อรถไฟฮิคาริซึ่งจะจอดที่นั่นเหมือนกัน”
ตอนแรกฉันใจหายวาบเพราะกลัวว่าถ้าเกิดเจ้ารถไฟโนโซมินี้ไม่เดินทางเข้าโตเกียวแต่ไปเมืองอื่นเราจะยิ่งเสียเวลาไปกันใหญ่ แต่ก็คงพอมีบุญอยู่บ้างที่อะไรๆ ไม่เลวร้ายเกินไปนัก
ที่รู้สึกว่าโชคดีอีกอย่างก็คือปกติแล้วรถไฟโนโซมิเป็นรถไฟชนิดเดียวที่ไม่สามารถใช้ตั๋วเจอาร์จองได้ ถ้าจะขึ้นต้องเสียเงินสถานเดียว นี่ยังดีนะที่พนักงานยังใจดีกับฉันอยู่บ้าง คงสงสารเห็นหน้าซีดเผือดเหลือสองนิ้ว โชคดีอีกที่รถไฟทั้งขบวนนั้นว่างสนิท (คนเดินทางออกนอกเมือง
ไปเยี่ยมญาติกันหมดแล้ว) มีที่เหลือให้นักท่องเที่ยวเซ่อซ่าอย่างเราเลือกนั่งตามสะดวก
ที่รู้สึกว่าโชคดีอีกอย่างก็คือปกติแล้วรถไฟโนโซมิเป็นรถไฟชนิดเดียวที่ไม่สามารถใช้ตั๋วเจอาร์จองได้ ถ้าจะขึ้นต้องเสียเงินสถานเดียว นี่ยังดีนะที่พนักงานยังใจดีกับฉันอยู่บ้าง คงสงสารเห็นหน้าซีดเผือดเหลือสองนิ้ว โชคดีอีกที่รถไฟทั้งขบวนนั้นว่างสนิท (คนเดินทางออกนอกเมือง
ไปเยี่ยมญาติกันหมดแล้ว) มีที่เหลือให้นักท่องเที่ยวเซ่อซ่าอย่างเราเลือกนั่งตามสะดวก
ไอ้เจ้าป้ายชินโยโกฮาม่าที่ว่าป้ายต่อไปน่ะ มันไกลโขอยู่ เรียกว่าเป็นป้ายก่อนเข้าโตเกียว เราเลยนั่งโนโซมิกันยาวเลย ไม่มีกะจิตกะใจจะหลับหรือจะกินอะไรทั้งสิ้นกลัวหอบกระเป๋าลงไม่ทัน คราวนี้โดนจ่ายเงินแน่ถ้ายังขืนนั่งต่อไปถึงโตเกียว
ในที่สุดเราก็เเปลี่ยนเป็นรถไฟฮิคาริแล้วก็เดินทางต่อไปถึงสถานีโตเกียว ตัดสินใจว่าจะนั่งแท้กซี่เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่ถ้ามาจากสนามบินนาริตะก็สามารถนั่งรถไฟสายเคไซ (Keisei) ไปลงที่สถานีอูเอโนะ แล้วต่อรถแท้กซี่ ถ้ามารถใต้ดินสายชิโยดะ (Chiyoda) ก็ไปลงที่สถานียูชิม่า (Yushima) แล้วเดินต่ออีกหน่อย
แท้กซี่ที่โตเกียวนี่ทันสมัยสุดๆ แค่บอกชื่อโรงแรมและย่านอูเอโนะเท่านั้น เขาก็เปิดจอตรงด้านหน้า สามารถว่ิงตามเส้นทางที่แสดงไว้บนจอไปจนถึงหน้าโรงแรมได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าหันมาถามผู้โดยสารว่าไปทางไหนเหมือนแท้กซี่ที่เมืองไทยล่ะก็คงต้องหากันทั้งคืน หมดค่าแท้กซี่ไป 1,640 เยน
เราไปถึงโรงแรมอิโดย่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว เราเคยมาอยู่ที่นี่แล้วเมื่อหลายปีก่อนเลยรู้สึก
คุ้้นเคย พนักงานก็หน้าเดิม ห้องพักอยู่ชั้นหนึ่งเลยไม่ต้องหอบห้ิวกระเป๋าให้เหนื่อยยาก เราจองห้องพักแบบญี่ปุ่น (Ryokan) อีกเช่นเคย ที่นี่มีห้องสองแบบทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก
แต่ที่ดีก็คือมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำส่วนตัวสะดวกมาก แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย ถ้านอนครบ 5 คืนจะได้แถมอาหารเย็นหนึ่งมื้อ ใครสนใจอยากพักลองดูรายละเอียดและจองห้องได้ที่เว็บไซต์ www.hoteledoya.com
คุ้้นเคย พนักงานก็หน้าเดิม ห้องพักอยู่ชั้นหนึ่งเลยไม่ต้องหอบห้ิวกระเป๋าให้เหนื่อยยาก เราจองห้องพักแบบญี่ปุ่น (Ryokan) อีกเช่นเคย ที่นี่มีห้องสองแบบทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก
แต่ที่ดีก็คือมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำส่วนตัวสะดวกมาก แถมราคายังไม่แพงอีกด้วย ถ้านอนครบ 5 คืนจะได้แถมอาหารเย็นหนึ่งมื้อ ใครสนใจอยากพักลองดูรายละเอียดและจองห้องได้ที่เว็บไซต์ www.hoteledoya.com
เราเอากระเป๋าไปเก็บในห้องและเริ่มแกะอาหารมื้อเย็นที่ซื้อจากทากายาม่าออกมาเตรียมตัวทาน โชคดีที่อิโดย่ามีเครื่องอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวพร้อม มีไมโครเวฟ
ให้อุ่่นอาหาร คูลเลอร์ให้เติมน้ำดื่มกาต้มน้ำร้อน กาแฟมีให้ตลอด 24 ชั่วโมง แถมมีโทรศัพท์แบบโทรทางไกลโดยใช้บัตรโทรศัพท์ในโรงแรมอีกด้วย
ให้อุ่่นอาหาร คูลเลอร์ให้เติมน้ำดื่มกาต้มน้ำร้อน กาแฟมีให้ตลอด 24 ชั่วโมง แถมมีโทรศัพท์แบบโทรทางไกลโดยใช้บัตรโทรศัพท์ในโรงแรมอีกด้วย
เมื่ออ่ิมท้องก็เลยผลัดกันไปส่งข่าวคราวถึงคนทางบ้านกัน โทรศัพท์สาธารณะที่ญี่ปุ่น
ใช้ยากนิดหน่อยแต่ที่โรงแรมมีบอกขั้นตอนอย่างละเอียดเราก็เลยโทรได้สำเร็จ เคล็ดลับก็คือต้องซื้อบัตรโทรศัพท์ทางไกลจากร้านสะดวกซื้อ แล้วก่อนจะโทรได้ต้องหยอดเหรียญสิบเยน
ลงไปก่อนแล้วก็กดตามขั้นตอน แม้ว่าเสียงโอเปอร์เรเตอร์จะพูดอะไรไม่ต้องสนใจ เพราะถึงสนใจก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ซักครู่สัญญาณก็จะต่อไปยังเลขหมายที่เรากดไป
ใช้ยากนิดหน่อยแต่ที่โรงแรมมีบอกขั้นตอนอย่างละเอียดเราก็เลยโทรได้สำเร็จ เคล็ดลับก็คือต้องซื้อบัตรโทรศัพท์ทางไกลจากร้านสะดวกซื้อ แล้วก่อนจะโทรได้ต้องหยอดเหรียญสิบเยน
ลงไปก่อนแล้วก็กดตามขั้นตอน แม้ว่าเสียงโอเปอร์เรเตอร์จะพูดอะไรไม่ต้องสนใจ เพราะถึงสนใจก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ซักครู่สัญญาณก็จะต่อไปยังเลขหมายที่เรากดไป
ฉันเห็นมีฝรั่งยืนโวยวายเรื่องหยอดเหรียญนี้ซะใหญ่โต ว่าทำไมถึงต้องหยอดอีกในเมื่อจ่ายเงินค่าบัตรไปแล้ว แหม ! สิบเยนเนี่ยนะ เรื่องใหญ่มาก โทรเสร็จเครื่องมันก็คืนเงินกลับออกมาอยู่ดี ฉันล่ะไม่เข้าใจคนประเภทนี้เลย ขอให้ได้โวยไว้ก่อน ปกป้องสิทธิ์ตัวเองสุดฤทธิ์สุดเดช
ขอให้ลืมหูลืมตากันบ้างเถอะ ไปโวยวายเรียกร้องสิทธิ์ให้กับคนที่เค้าถูกเอาเปรียบ ถูกริดรอนสิทธิมนุษยชนดีกว่ามั้ย ให้ตายเถอะ
ขอให้ลืมหูลืมตากันบ้างเถอะ ไปโวยวายเรียกร้องสิทธิ์ให้กับคนที่เค้าถูกเอาเปรียบ ถูกริดรอนสิทธิมนุษยชนดีกว่ามั้ย ให้ตายเถอะ
อีกครู่หนึ่งก็มีสาวฝรั่งอีกนางหนึ่งมายืนโวยวายเสียงหลงอยู่หน้าเคาน์เตอร์ของพนักงานต้อนรับ ต่อว่าต่อขานว่าของของเธอหายไปจากห้อง ให้ทางโรงแรมรับผิดชอบ โทษว่าพนักงานทำความสะอาดซุ่มซ่ามบ้างล่ะ อะไรอื่นๆ อีกมากมาย ในขณะที่พนักงานต้อนรับก็พยายามอธิบาย เมื่อไหร่ที่เขาปริปากพูดยัยฝรั่งนั่นก็สวนเสียงแหลมขึ้นมาทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดอะไรเลย แถมยังตะคอกอีกว่าให้ไปเรียกคนที่พูดภาษาอังกฤษรู้เรื่องมาพูดกับหล่อน ฉันมองไปแล้วรู้สึกว่าเป็นภาพที่น่าสงสารมากๆ คนนึงก็ใส่ๆๆๆ อย่างเดียว อีกคนก็พยายามที่จะช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ บางทีคนเราชอบใช้อำนาจมากเกินไปรึเปล่า ยิ่งกับคนที่ไม่มีทางสู้ คนที่สุภาพไม่โต้ตอบ ทำให้บางครั้งตกเป็นเหยื่อของคนที่บ้าอำนาจโดยที่อาจจะไม่ได้เป็นคนผิด คนที่โมโหโทโสอารมณ์ก็จะขุ่นมัว มีความทุกข์ มีแต่ความไม่พอใจกับทุกสิ่ง
ทุกคนรอบตัว ฉันมองว่าคนที่ระงับอารมณ์ไม่ตอบโต้ถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
ทุกคนรอบตัว ฉันมองว่าคนที่ระงับอารมณ์ไม่ตอบโต้ถือว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น