สิบชั่วโมงเมื่อวานนี้ วันนี้เลยตัดสินใจว่าจะอยู่เที่ยวในโตเกียว แล้วค่อยใช้บัตรเจอาร์
ครั้งสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยเราลงไปชั้นล่างสุดเพื่อทานอาหารเช้า ร้านอาหารนี้อยู่ด้านนอก
ของตัวอาคารแต่สามารถเดินตัดที่จอดรถไปได้ เปิดให้บริการแก่คนทั่วไปไม่ใช่เฉพาะแขก
ของโรงแรม แต่ในช่วงเช้าจะเป็นที่ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์สำหรับแขกที่มาพัก ร้านมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนัก เราต้องบริการตัวเองโดยการตักอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้โดยมีทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก สำหรับแบบญี่ปุ่นนั้นมีปลาแซลม่อนย่าง ทานกับข้าวแบบญี่ปุ่นพร้อมเครื่องเคียงต่างๆ ประเภทผักดองชนิดต่างๆ ปลาตัวเล็กกรอบ ไข่หวาน ผัดผัก สลัดผักและซุปเต้าหู้
มีไข่ไก่ไว้ให้ตอกลงไปในซุปด้วย ส่วนฟากตะวันตกมีขนมปังปิ้งทานกับเนยและแยม ไส้กรอก ไข่ต้ม ชา กาแฟ ทานได้ไม่อั้น ใครอยากประหยัดค่าอาหารกลางวันก็สามารถทานให้อ่ิมตั้งแต่เช้าได้
ของตัวอาคารแต่สามารถเดินตัดที่จอดรถไปได้ เปิดให้บริการแก่คนทั่วไปไม่ใช่เฉพาะแขก
ของโรงแรม แต่ในช่วงเช้าจะเป็นที่ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์สำหรับแขกที่มาพัก ร้านมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนัก เราต้องบริการตัวเองโดยการตักอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้โดยมีทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก สำหรับแบบญี่ปุ่นนั้นมีปลาแซลม่อนย่าง ทานกับข้าวแบบญี่ปุ่นพร้อมเครื่องเคียงต่างๆ ประเภทผักดองชนิดต่างๆ ปลาตัวเล็กกรอบ ไข่หวาน ผัดผัก สลัดผักและซุปเต้าหู้
มีไข่ไก่ไว้ให้ตอกลงไปในซุปด้วย ส่วนฟากตะวันตกมีขนมปังปิ้งทานกับเนยและแยม ไส้กรอก ไข่ต้ม ชา กาแฟ ทานได้ไม่อั้น ใครอยากประหยัดค่าอาหารกลางวันก็สามารถทานให้อ่ิมตั้งแต่เช้าได้
หลังจากทัวร์วัฒนธรรมและศาสนามาหลายวัน ฉันตัดสินใจว่าวันนี้จะเป็นวันช้อปปิ้ง จึงนั่งรถไฟใต้ดินจากโรงแรม (สถานียูชิม่า “Yushima” ประตู 5) ไปลงที่สถานีกินซ่า (Ginza) ในย่านกินซ่า ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดัง มีตึกสำคัญๆ อยู่มากมาย ฉันเลือกที่จะเดินไปออกตรงประตูหน้าห้างฯ วาโกะ (Wako) เพราะเป็นห้างฯ ที่เก่าแก่ตัวตึกเป็นสไตล์นีโอ-เรเนซองซ์ (Neo-Ranaissance) มีมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1894 ร้อยกว่าปีแล้วมีนาฬิกาโบราณอยู่ด้านบนตึก
ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของย่านกินซ่า เจ้าของคือผู้ผลิตนาฬิกาไซโก้ ห้างฯนี้ส่วนใหญ่ขายของแบรนด์เนม มีชื่อเสียงเรื่องของนาฬิกา เครื่องประดับ ถ้วยชามลายครามและกระเป๋า ก็เลยเน้นขายของให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ที่มีสตางค์ จุดเด่นที่ฉันชอบก็คือการตกแต่งหน้าร้านที่สวย
และเก๋ แต่ไม่เหมาะกับวัยรุ่นเท่าไหร่เพราะคงไม่มีของถูกใจ
ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของย่านกินซ่า เจ้าของคือผู้ผลิตนาฬิกาไซโก้ ห้างฯนี้ส่วนใหญ่ขายของแบรนด์เนม มีชื่อเสียงเรื่องของนาฬิกา เครื่องประดับ ถ้วยชามลายครามและกระเป๋า ก็เลยเน้นขายของให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ที่มีสตางค์ จุดเด่นที่ฉันชอบก็คือการตกแต่งหน้าร้านที่สวย
และเก๋ แต่ไม่เหมาะกับวัยรุ่นเท่าไหร่เพราะคงไม่มีของถูกใจ
เราตั้งใจมาร้านเครื่องเขียนอิโตย่า (Itoya) ซึ่งต้องเดินเลยห้างฯ วาโกะไปอีกหน่อยข้ามอีกสองแยกก็ถึงซึ่งต้องผ่านห้างฯ มัตซุย่า (Matsuya) ก่อน ละแวกนี้มีร้านหรูๆ หลายร้านลานตา เช่น หลุยส์ วิคตอง ชาแนล คาร์เทีย แต่ละร้านต่างก็แข่งกันตกแต่งร้านและตึกอย่างสวยงามให้สมศักด์ิศรีกับการอยู่ในย่านกินซ่าอย่างไม่มีใครยอมใคร อิโตย่าเป็นร้านเครื่องเขียนที่มีมาแต่โบราณตึกทั้งตึกที่มีถึง 9 ชั้นขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการขีดเขียนโดยแต่ละชั้นจะแยะสินค้าเป็นหมวดหมู่ เช่น หมวดกระดาษ สมุดจด ปากกา ออกาไนเซอร์ และมีให้เลือกหลากหลายมาก เหมาะกับคนรักเครื่องเขียนอย่างมาก ห้ามพลาดเด็ดขาด น่าเสียดายที่วันนี้ร้านปิด คงปิด
ต่อเนื่องมาจากวันปีใหม่ ฉันเลยต้องกลับมาอีกทีในวันท้ายๆ ของทริป
ต่อเนื่องมาจากวันปีใหม่ ฉันเลยต้องกลับมาอีกทีในวันท้ายๆ ของทริป
เราไปเดินดูของต่อในห้างฯ มัตซุย่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับอิโตย่า วันนี้เป็นวัน เมก้าเซล (Mega Sale) เป็นวันที่สองของปีซึ่งทางห้างฯจะจัดการเซลแบบกระหน่ำสุดๆ เหล่าชาวญี่ปุ่นทั้งหลายก็จะมาเดินซื้อ “ถุง” กัน ใช่แล้ว ซื้อถุง จะเรียกว่าถุงนำโชคหรือถุงสมบัติก็ว่าได้ เป็นวัฒนธรรม
ของการช้อปที่ญี่ปุ่น ในช่วงหลังปีใหม่ห้างฯ ร้านส่วนใหญ่จะลดราคาของกันแบบสุดๆ และบางร้านก็จะนำของภายในร้านมาผสมผสานใส่ในถุงใบใหญ่และขายในราคาตายตัว แต่คุณจะไม่สามารถรู้ได้ว่าของภายในจะเป็นอะไรแล้วแต่ดวงใครดวงมัน เรียกว่าลุ้นดีเหมือนกัน แต่ว่าถ้าใครชื่นชอบของร้านไหนอยู่แล้วโอกาสที่จะได้ของถูกใจในถุงก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนญ่ีปุ่นนิยมซื้อถุงกันมาก เราจะเห็นเขามากันแต่เช้าเพื่อรอห้างฯ เปิดและเข้าไปจู่โจมกระหน่ำซื้อถุงเหล่านั้นจนเต็มสองมือ ถ้าไปเดินห้างฯ ช่วงนี้ต้องระวังหน่อยเพราะที่เดินเหลือน้อยเต็มที ต้องเดินกระทบไหล่บรรดานักช้อปเหล่านั้นอย่างถึงเนื้อถึงตัวทีเดียว
ของการช้อปที่ญี่ปุ่น ในช่วงหลังปีใหม่ห้างฯ ร้านส่วนใหญ่จะลดราคาของกันแบบสุดๆ และบางร้านก็จะนำของภายในร้านมาผสมผสานใส่ในถุงใบใหญ่และขายในราคาตายตัว แต่คุณจะไม่สามารถรู้ได้ว่าของภายในจะเป็นอะไรแล้วแต่ดวงใครดวงมัน เรียกว่าลุ้นดีเหมือนกัน แต่ว่าถ้าใครชื่นชอบของร้านไหนอยู่แล้วโอกาสที่จะได้ของถูกใจในถุงก็ไม่ใช่เรื่องยาก คนญ่ีปุ่นนิยมซื้อถุงกันมาก เราจะเห็นเขามากันแต่เช้าเพื่อรอห้างฯ เปิดและเข้าไปจู่โจมกระหน่ำซื้อถุงเหล่านั้นจนเต็มสองมือ ถ้าไปเดินห้างฯ ช่วงนี้ต้องระวังหน่อยเพราะที่เดินเหลือน้อยเต็มที ต้องเดินกระทบไหล่บรรดานักช้อปเหล่านั้นอย่างถึงเนื้อถึงตัวทีเดียว
ข้ามไปฝั่งตรงข้ามของถนนและเดินเข้าไปในซอยที่มีชาแนลและคาร์เทียร์อยู่ตรงด้านหน้า
ก็จะเจอห้างฯ แพรงตอน (Printemps) ห้างฯ ฤดูใบไม้ผลิจากประเทศฝรั่งเศส มีร้านน่าสนใจหลายร้านพวกเสื้อผ้าแฟชั่นก็สวยดี เดินสบายด้วย ร้านอาหารอยู่ชั้น 10 มีให้เลือกหลายร้าน
ที่สำคัญมีกลิ่นอายความเป็นฝรั่งเศสอยู่ในบรรยากาศทั้งห้างฯ ฉันเลือกซื้อเพียงแค่
เครื่องสำอางค์ยี่ห้อ ชู อูมูระ (Shu Eumura) ซึ่งเป็นเครื่องสำอางค์ที่มีต้นกำเนิดจากชาติญี่ปุ่นโดยแท้หากแต่ว่าเพิ่งเปลี่ยนสัญชาติโดยการขายให้กับบริษัทลอรีอัลเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ชู เป็นเมคอัพ อาร์ติส ที่โด่งดังมากในฮอลลีวู้ดนับว่าได้ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง
ก็จะเจอห้างฯ แพรงตอน (Printemps) ห้างฯ ฤดูใบไม้ผลิจากประเทศฝรั่งเศส มีร้านน่าสนใจหลายร้านพวกเสื้อผ้าแฟชั่นก็สวยดี เดินสบายด้วย ร้านอาหารอยู่ชั้น 10 มีให้เลือกหลายร้าน
ที่สำคัญมีกลิ่นอายความเป็นฝรั่งเศสอยู่ในบรรยากาศทั้งห้างฯ ฉันเลือกซื้อเพียงแค่
เครื่องสำอางค์ยี่ห้อ ชู อูมูระ (Shu Eumura) ซึ่งเป็นเครื่องสำอางค์ที่มีต้นกำเนิดจากชาติญี่ปุ่นโดยแท้หากแต่ว่าเพิ่งเปลี่ยนสัญชาติโดยการขายให้กับบริษัทลอรีอัลเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ชู เป็นเมคอัพ อาร์ติส ที่โด่งดังมากในฮอลลีวู้ดนับว่าได้ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง
เอาล่ะเดินมาก็มากแล้วต้องหาอะไรลงท้องกันซักที ว่าแล้วก็ไปเดินเลียบๆ เคียงๆ แถวๆ ทางรถไฟ พบร้านซูชิสายพานร้านหนึ่งมีขนาดเล็กนิดเดียวและมีที่เหลือเพียงสองที่พอดี เราเลยตัดสินใจทานมื้อเที่ยงที่นั่น ราคาต่อจานมีตั้งแต่ 180 เยน ถึง 480 เยน แล้วแต่ชนิดของปลาซึ่งจะใส่ในจานสีต่างๆ ให้เราได้รู้ราคาก่อนหยิบ เลือกได้ตามใจชอบตามจานที่ถูกลำเลียงผ่านมาตรงหน้า รสชาติปลาที่นี่อร่อยมากเพราะว่าสดและทำแบบถูกวิธีวิถีญีปุ่นโดยแท้แถมยังช้ินใหญ่พาดผ่านก้อนข้าวด้านล่างซะมิดเลย ไม่เหมือนที่เมืองไทยบางที่ปลาช้ินสั้นมาก ทานแบบนี้ก็ดีเพราะถ้าสั่งเองอาจจะงงไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ แบบนี้เลือกได้โดยสัมผัสด้วยตาแถมยังทันใจ ที่อร่อยมากๆ เห็นจะเป็นซูชิหอยเชลล์รสชาติหวานล้ินสุดๆ ด้วยความอยากมากกว่าความหิวฉันและพี่ตุ๊กเลยทานกันไปทั้งหมดคนละ 7 จาน อ่ิมสุดๆ
ไม่รอช้าฉันเดินเข้าห้างฯต่อทันที ห้างฯ ที่เข้ารอบต่อไปคือ Yurakucho-Itocia ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2007 เป็นตึกสูงกว่า 20 ชั้น 8 ชั้นแรกเป็นที่ช้อปปิ้งและชั้นบนๆ เป็นออฟฟิส ที่นี่เป็นที่ตั้งของห้างฯ Marui ที่เป็นห้างฯ โปรดของฉัน เน้นขายของวัยรุ่นและวัยทำงาน
ที่สำคัญเป็นที่ตั้งของร้าน คริสปี้ ครีม (Krispy Kreme) ร้านโดนัทชื่อดังสัญชาติอเมริกันที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 ห้างฯ นี้มีการจัดเลย์เอ้าท์ได้น่าเดินไม่แน่นมาก และของหน้าตาน่าสนใจมากมาย นี่ถ้าเป็นหน้าร้อนคงได้ของถูกใจมากกว่านี้ ถ้าใครซื้อของเกิน 10,000 เยนสามารถไปทำเรื่องขอภาษีคืนได้ที่ชั้น 8 กรอกเอกสารแป้บเดียวก็ได้เงินสดคืนทันทีไม่ต้องไปรอรับที่สนามบินหรือโอนเข้าบัตรเครดิตเหมือนประเทศแถบยุโรป เราจบการเดินห้างฯ นี้ด้วยการต่อแถวซื้อคริสปี้ครีมทานกัน ตอนแรกก็ลังเลเพราะแถวยาวออกไปนอกห้างฯ เลยทีเดียว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว หาทานที่บ้านก็ไม่ได้ (ตอนนั้นคริสปี้ครีมยังไม่มาเปิดที่เมืองไทย) แถมสโลแกน
ที่บอกว่า “ความอร่อยที่ละลายในปาก” (Melt in your Mouth Delicious) ก็กระตุ้นต่อมอยากอย่างได้ผล ที่นี่มีการจัดระบบการต่อแถวดีมากๆ เขาจะกั้นคนเป็นกลุ่มๆ แถมระหว่างรอ
ยังเอาโดนัทรสออริจินัล ( Original Glazed) มาให้ทานอีก (ลงทุนสุดๆ ) เรียกความประทับใจได้เต็มๆ นอกจากนี้ยังมีการถามคนท่ีต่อแถวซื้อถึงชนิดของโดนัทที่ต้องการ ถ้าใครจะซื้อแต่แบบออริจินัลล้วนๆ สามารถเดินเข้าอีกแถวหนึ่งและไปจ่ายเงินได้เลย เพราะเขามีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ได้จัดเป็นกล่องๆ ไว้ตอบสนองความอยากของคนได้อย่างดีเยี่ยมแต่สำหรับมือใหม่หัดกินอย่างฉันก็ย่อมต้องการลองหลายๆ รส (จริงๆแล้วเป็นคนขี้เบื่อ ไม่ชอบทานหรือทำอะไรซ้ำๆ) เอาเป็นว่าสิริรวมเวลาแล้วตั้งแต่เข้าแถวหม่ำโดนัทระหว่างรอจนถึงจ่ายเงินเสร็จนั้นไม่ถึง 10 นาที เรียกว่าทั้งประทับใจทั้งอิ่มท้องเลยทีเดียว
ที่สำคัญเป็นที่ตั้งของร้าน คริสปี้ ครีม (Krispy Kreme) ร้านโดนัทชื่อดังสัญชาติอเมริกันที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 ห้างฯ นี้มีการจัดเลย์เอ้าท์ได้น่าเดินไม่แน่นมาก และของหน้าตาน่าสนใจมากมาย นี่ถ้าเป็นหน้าร้อนคงได้ของถูกใจมากกว่านี้ ถ้าใครซื้อของเกิน 10,000 เยนสามารถไปทำเรื่องขอภาษีคืนได้ที่ชั้น 8 กรอกเอกสารแป้บเดียวก็ได้เงินสดคืนทันทีไม่ต้องไปรอรับที่สนามบินหรือโอนเข้าบัตรเครดิตเหมือนประเทศแถบยุโรป เราจบการเดินห้างฯ นี้ด้วยการต่อแถวซื้อคริสปี้ครีมทานกัน ตอนแรกก็ลังเลเพราะแถวยาวออกไปนอกห้างฯ เลยทีเดียว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว หาทานที่บ้านก็ไม่ได้ (ตอนนั้นคริสปี้ครีมยังไม่มาเปิดที่เมืองไทย) แถมสโลแกน
ที่บอกว่า “ความอร่อยที่ละลายในปาก” (Melt in your Mouth Delicious) ก็กระตุ้นต่อมอยากอย่างได้ผล ที่นี่มีการจัดระบบการต่อแถวดีมากๆ เขาจะกั้นคนเป็นกลุ่มๆ แถมระหว่างรอ
ยังเอาโดนัทรสออริจินัล ( Original Glazed) มาให้ทานอีก (ลงทุนสุดๆ ) เรียกความประทับใจได้เต็มๆ นอกจากนี้ยังมีการถามคนท่ีต่อแถวซื้อถึงชนิดของโดนัทที่ต้องการ ถ้าใครจะซื้อแต่แบบออริจินัลล้วนๆ สามารถเดินเข้าอีกแถวหนึ่งและไปจ่ายเงินได้เลย เพราะเขามีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ได้จัดเป็นกล่องๆ ไว้ตอบสนองความอยากของคนได้อย่างดีเยี่ยมแต่สำหรับมือใหม่หัดกินอย่างฉันก็ย่อมต้องการลองหลายๆ รส (จริงๆแล้วเป็นคนขี้เบื่อ ไม่ชอบทานหรือทำอะไรซ้ำๆ) เอาเป็นว่าสิริรวมเวลาแล้วตั้งแต่เข้าแถวหม่ำโดนัทระหว่างรอจนถึงจ่ายเงินเสร็จนั้นไม่ถึง 10 นาที เรียกว่าทั้งประทับใจทั้งอิ่มท้องเลยทีเดียว
ยัง ยังไม่พอ เพราะวันนี้เป็นวันช้อป เราจึงไปต่อกันที่ มูจิ (Muji) สาขากินซ่า ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่ เดินดูของที่พากันลดราคาล่อใจให้เราซื้อกันอย่างสนุกสนานเพราะถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับสินค้าของญี่ปุ่นแบรนด์อื่นๆ ด้วยความที่เป็นคนตัดสินใจซื้อของเร็ว เห็นแล้วชอบก็ซื้อเลย แล้วจริงๆ แล้วเป็นคนชอบสีสันสดใส ซึ่งของส่วนใหญ่ของมูจิจะเป็นสีเอิร์ทโทนหรือสีเข้มๆซะเยอะ ก็เลยไม่ได้ใช้เวลาในการเดินมากนัก พวกของแต่งบ้านไม่ต้องพูดถึง ยังไม่มีบ้านของตัวเอง ซื้อไปก็รกเปล่าๆ ขี้เกียจจนอีกต่างหาก ฉันท้ิงพี่ตุ๊กให้เลือกดูของอย่างสบายๆ เพราะดูว่าจะเป็นเพียงไม่กี่ที่ที่เธอสามารถเลือกซื้อของถูกใจและได้ใช้ ฉันเดินฝ่า
ความหนาวไปห้างฯ อื่นต่อนั่นก็คือเซบุ (Seibu) กับฮันคิว (Hankyu) ห้างฯ สไตล์ญี่ปุ่นแท้
ตั้งประจันหน้ากันแถมยังมีทางเดินต่อจากห้างฯ หนึ่งไปอีกห้างฯ ได้ด้วย ส่วนใหญ่เน้นขายพวกเสื้อผ้าซึ่งคอลเลคชั่นตอนนี้ใส่ไม่ได้คือกันหนาวล้วนๆ แถมราคาก็แพงสุดขั้วหัวใจ ฉันเลยใช้เวลาเดินแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นถึงแม้จะมีถึง 7 ชั้นก็ตาม
ความหนาวไปห้างฯ อื่นต่อนั่นก็คือเซบุ (Seibu) กับฮันคิว (Hankyu) ห้างฯ สไตล์ญี่ปุ่นแท้
ตั้งประจันหน้ากันแถมยังมีทางเดินต่อจากห้างฯ หนึ่งไปอีกห้างฯ ได้ด้วย ส่วนใหญ่เน้นขายพวกเสื้อผ้าซึ่งคอลเลคชั่นตอนนี้ใส่ไม่ได้คือกันหนาวล้วนๆ แถมราคาก็แพงสุดขั้วหัวใจ ฉันเลยใช้เวลาเดินแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นถึงแม้จะมีถึง 7 ชั้นก็ตาม
เราพยายามหาร้านอาหารเพื่อทานมื้อค่ำกันแถวๆ นั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ดวงเรื่องหาอาหารการกินคราวนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เลยต้องซื้ออาหารกล่องจากห้างฯ Matsuzakaya กลับไปทานกันที่โรงแรมตามเคย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น