11 ตุลาคม 2554

28. สัญญลักษณ์พาไป

     รถแท้กซี่ที่ทางโรงแรมโทรเรียกให้มาถึงตรงเวลา เราขนกระเป๋าอันหนักอึ้งใส่ท้ายรถและก้าวเข้าไปนั่งในรถ ใจหนึ่งก็ดีใจที่จะได้กลับบ้าน อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่ายังเที่ยวไม่พอ เวลา 12 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกว่าวางแผนพลาดไปหลายอย่าง ไม่ได้ไปหลายๆ ที่ที่ควรจะไปในโตเกียวกลับไปเสียเวลากับการเดินห้างฯ ซะเยอะเกินไปหน่อย รู้สึกเสียใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คิดว่าคงต้องกลับมาเที่ยวอีกแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
     เรามาก่อนเวลารถไฟเลยต้องนั่งรอครู่ใหญ่ รถไฟมาตรงเวลาและออกตรงเวลา อย่ามัวโอเอ้เดินเถลไถล ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ “สัญญลักษณ์” ของการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทางที่ใช้ทั้งตัวหนังสือและรูปกราฟฟิกต่างๆ สำหรับคนที่อาจจะอ่านทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษไม่ออก แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือสัญญลักษณ์ในการใช้ตกแต่งสถานที่ ตอนที่เราเดินทางไปถึงสถานีรถไฟโตเกียวนั้น ด้วยขนาดที่ใหญ่และบริการที่มีมากมาย ตั้งแต่การเดินทางต่างเมือง รถไฟเองก็มีหลายรูปแบบ ไหนจะยังรถไฟแบบที่เดินทางไปสนามบินโดยเฉพาะอีก ต้องดูให้ดีว่าต้องเดินไปขึ้นตรงไหน ไอ้เราก็พยายามเดินตามป้ายไม่ให้พลาด แต่ไหง
หาลิฟท์เพื่อลงไปยังชานชลาไม่เจอก็ไม่รู้ โชคดีมีคุณลุงที่ทำหน้าที่ทำความสะอาดมาชี้ทางให้แต่ชี้ลงไปบนพื้นนะ ตอนแรกเราก็งงๆ แต่พอเบ่ิงตาดูถึงได้รู้ว่ามันมีสัญญลักษณ์บ่งบอกอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่ได้สังเกต ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวลองมองบนพื้นของสถานีรถไฟโตเกียว
ดูกระเบื้องที่ถูกปูไว้นั้นจะมีสีที่แตกต่างแล้วถ้าคุณมองตามสีนั้นไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่ามันเป็นทางที่นำไปสู่ลิฟท์นั่นเอง แถมบนพื้นยังมีแนวปูดๆ ขึ้นมา เดาว่าคงทำไว้ให้สำหรับคนตาบอดได้เดินตาม เห็นดังนั้นตาเราก็เลยเร่ิมสว่าง ขอบอกขอบใจคุณลุง แกก็ยิ้มรับด้วยหน้าตาท่าทางใจดี
     ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีการใช้สัญญลักษณ์ค่อนข้างมาก เร่ิมต้นตั้งแต่ตัวหนังสือเขาเลย 
ทุกคำนั้นประกอบกันให้เป็นรูปภาพที่อธิบายความหมายของคำนั้นๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาเป็นประเทศที่มีงานดีไซน์เก๋ไก๋ล้ำสมัย การ์ตูนดังๆ มากมาย ทุกส่ิงอย่างแต่ละช้ินแต่ละอันนั้นต่างถูกประดิษฐ์ประดอยจัดให้สวยงามและมีความหมายทั้งนั้น
     การเดินทางไปสนามบินนาริตะนั้นใช้เวลากว่าชั่วโมง ก่อนลงต้องสังเกตให้ดีว่าต้องลง
เทอร์มินัล (Terminal) ไหน เพราะมีทั้งหมดสองแห่ง 2 ขึ้นอยู่กับสายการบินที่เราโดยสาร สำหรับสายการบินไทยจอดเครื่องบินที่เทอร์มินัล 1 ก็ต้องนั่งไปสุดสายของนาริตะเอ็กส์เพลส เพราะเทอร์มินัล 2  จะถึงก่อน เมื่อไปถึงสนามบินเราก็รีบไปเช็คอินกลัวว่าจะแถวยาว สำหรับ
ขาออกต่างประเทศนั้นอยู่ที่ชั้น 4 และแม้ว่าน้ำหนักกระเป๋าจะเกินไปบ้างแต่พนักงานไม่ว่าอะไรแถมแจกย้ิมและโค้งคำนับอีกหนึ่งทีทำให้เราโล่งใจว่าไม่ต้องจ่ายเงินเพ่ิม (เดินทางครั้งที่แล้วจ่ายค่าปรับซะเข็ดเลย) มีเวลาเหลือเราจึงไปหาอาหารเช้าทานกัน ที่นี่มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย แต่เราเลือกร้านซื้อเบเกิล (Bagel) ที่ร้าน Bagel &Begel เป็นร้านขายเบเกิลสไตล์นิวยอร์ค (แต่จริงๆ แล้วสัญชาติญี่ปุ่นนะ) มีเบเกิลแบบต่างๆ กว่า 10 ชนิด แบบธรรมดา แบบมีงา หัวหอม ลูกเกด บลูเบอร์รี่ หรือแม้กระทั่งชาเขียว (อันนี้คงเป็นภาคบังคับ ถ้าไม่มีก็เสียชื่อการเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นน่ะสิ) และเลือกไส้ได้ตามต้องการ เช่น แฮม แซลมอน กุ้งกับอโวคาโด ไก่เทอริยากิ หรือใครไม่ทานเนื้อสัตว์ก็สามารถสั่งไส้ผักได้ ซื้อเสร็จเราเดินข้ามไปนั่งดื่มกับกาแฟที่ร้านสตาบัคส์ฝั่งตรงข้าม อ่ิม อร่อย ฉีดคาเฟอีนเข้าเส้น ก่อนขึ้นเครื่อง
     ฉันมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่หายอยู่โรคหนึ่ง ซึ่งจะมีอาการอันตรายร้ายแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับส่ิงของรอบตัวและความหนาของกระเป๋าตังค์ นั่นก็คือโรคช้อป หลายคนก็คงเป็นเหมือนกัน ใครมีหมอดีช่วยส่งมาแนะนำหน่อย เงินเยนในกระเป๋ายังพอมีเหลือ ไม่มากพอที่จะเสียเวลากลับไปแลกเป็นเงินไทย แต่ก็ไม่น้อยที่จะซื้อของฝากตามร้านค้าในสนามบินได้อีกนิดหน่อย เราเดินหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเศษเงินเหลือ พลันสายตาก็หันไปเจอกับตู้แช่ช้อคโกแล๊ตเชื้อชาติญี่ปุ่นชื่อ Royce ซึ่งราคาขายที่กรุงเทพฯ นั้นค่อนข้างสูงอยู่  เลยพุ่งตัวเข้าไปเลือกกันคนละหลายกล่อง เพราะราคาที่นี่ผิดกันลิบลับ ประมาณหนึ่งในสามเท่านั้น 
แถมมีหลายรสชาติหลายรูปแบบให้เลือก ทั้งช้อคโกแล็ตรสนม แบบขม ผสมถั่ว คุ้กกี้ ถ้าใครมีโอกาสไปญี่ปุ่นก็แนะนำให้ลองชิมและซื้อกลับบ้านมาเป็นของฝาก เพราะรสชาติที่อร่อยแบบแตกต่าง ไม่เข้มข้นจนเกินไปนัก แต่หวานกลมกล่อม และที่พิเศษคือเนื้อช้อคโกแล๊ตที่นุ่มลิ้นละลายในปากไม่ต้องให้ฟันทำงานหนัก
     เราขึ้นเครื่องด้วยของพะรุงพะรังเต็มสองมือ เงินที่เหลืออยู่หมดเกลี้ยง แถมยังรูดเครดิตการ์ดเพ่ิมไปอีกต่างหาก เห็นมั้ยว่าโรคประจำตัวของฉันนั้นมีอาการเข้าขั้นรุนแรงจริงๆ  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น