เราตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นแถวย่านฮาราจูกุ (Harajuku) แหล่งรวมวัยรุ่นคล้ายๆ สยามสแควร์ แต่ก่อนไปเราควรไปวัดขอพรให้ชีวิตแจ่มใสนิดนึง ก็เลยไปวัดเมจิ จิงกุ ซึ่งอยู่ในละแวกนั้น นั่งรถใต้ดินไปลงสถานีฮาราจูกุ โผล่ขึ้นมาก็เจอวัดเลย ความจริงฉันเคยมาเยี่ยมชมแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็อยากกลับมาอีกทีเพื่อขอพรสำหรับปีใหม่นี้
วัดเมจิ จิงกุนั้นเป็นวัดชินโตที่สำคัญมากที่สุดในโตเกียว เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาท่านจักรพรรดิ์เมจิ (Meji) และจักรพรรดินีโชเคน (Shoken) มีผู้คนมาเยี่ยมและขอพรกันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันปีใหม่ ว่ากันว่ามีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองมามากถึงสามล้านคน วัดเมจิ จิงกุนั้นถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลากหลายพันธุ์ปลูกไว้อย่างหนาแน่นรวมทั้งสวนสวยที่ท่านจักรพรรดิ์เมจิออกแบบด้วยพระองค์เองให้กับจักรพรรดินี ด้านหน้าทางเข้ามีเสาโทริสีน้ำตาลใหญ่มากๆ และเมื่อเดินผ่านเข้ามาด้านในทางเดินโรยกรวดเป็นระยะทางยาวพอสมควรกว่าที่จะเข้าไปถึงตัววัด บรรยากาศนั้นเงียบสงบแม้ว่าจะมีผู้คนมามากมายแต่ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็ต้องการพบกับความสงบทางจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ครั้งก่อนที่ฉันมานั้นตรงกับวันปีใหม่พอดีเลยต้องต่อแถวยาวมากและเบียดกับผู้คนมากมายแต่ทางวัดก็จัดให้เข้าเป็นกลุ่มๆ เพื่อกันไม่ให้เข้าไปออในบริเวณด้านในมากเกินไป แต่มาคราวนี้เราเดินกันอย่างสบายๆ ผู้คนบางตา
ตามธรรมเนียมนั้นก่อนเข้าวัดต้องล้างมือล้างปากก่อน ทางวัดมีบ่อน้ำสำหรับผู้มาเยี่ยมเยือนตรงด้านหน้าก่อนทางเข้าสู่ตัววัด แต่ไม่ควรให้ปากโดนกับกระบวยที่เขาเตรียมไว้ให้
ครั้งที่แล้วด้วยความเซ่อซ่าไม่รู้จักพิธีการฉันเลยเผลอดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่รู้ตัวอีกทีก็บ้วนไม่ทันซะแล้ว เมื่อเข้าไปด้านในก็ควรไปไหว้พระขอพรซะหน่อย ตามธรรมเนียมการทำความเคารพของชาวญี่ปุ่นนั้นจะโค้งสองครั้งแล้วก็ตบมือสองครั้งจากนั้นจึงโค้งอีกหนึ่งครั้ง และถ้าอยากทำบุญก็สามารถโยนเหรียญลงไปในบริเวณด้านหน้าได้
ครั้งที่แล้วด้วยความเซ่อซ่าไม่รู้จักพิธีการฉันเลยเผลอดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่รู้ตัวอีกทีก็บ้วนไม่ทันซะแล้ว เมื่อเข้าไปด้านในก็ควรไปไหว้พระขอพรซะหน่อย ตามธรรมเนียมการทำความเคารพของชาวญี่ปุ่นนั้นจะโค้งสองครั้งแล้วก็ตบมือสองครั้งจากนั้นจึงโค้งอีกหนึ่งครั้ง และถ้าอยากทำบุญก็สามารถโยนเหรียญลงไปในบริเวณด้านหน้าได้
นอกจากซึมซับความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นและธรรมชาติที่แวดล้อมแล้วกิจกรรมยอดฮิตอีกสามอย่างก็คือการเสี่ยงเซียมซี เขียนคำขอพรบนไม้แล้วแขวนไว้ในที่ที่เขาจัดเตรียมไว้ และซื้อถุงผ้าโชคดี (Omamori) ที่มีคำอวยพรเขียนไว้ด้านใน แบ่งเป็นหลายประเภท เช่น ความรัก ความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพ หรือแม้แต่การเรียน เค้าบอกกันว่าไม่ให้แกะออกดูด้านในเพราะไม่งั้นมนต์จะไม่ขลัง ครั้งที่แล้วฉันได้ซื้อเก็บไว้ใกล้ตัวเหมือนกันซึ่งเป็นแบบรวมฮิต
วัดเมจิ จิงกุ นั้นอยู่ในย่านฮาราจุกุ เพราะฉะนั้นเมื่อเดินออกมาด้านหน้าก็อาจจะพบเจอ
เด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวแรงๆ มาแข่งกัน บ้างก็มีกิจกรรมเพื่อให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น ถือป้าย “Free Hug” เราก็สามารถเข้าไปกอดกับเค้าได้ และเค้าก็ชอบที่จะถูกถ่ายรูป ไม่ต้องกลัวถูกเหวี่ยง ที่นี่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นมานานหลายสิบปีแล้วและมีชื่อเสียงในเรื่องการแต่งตัวแปลกๆ แรงๆ ล้ำสมัย แต่ไม่มีสไตล์ที่ตายตัว ใครชอบแนวไหนก็สามารถแต่งตามใจชอบได้ เห็นว่าหลังๆ นี้พวกที่มารวมกันมักเป็นเด็กต่างจังหวัดที่นั่งรถไฟเข้ามาในเมืองมากกว่า พวกเด็กโตเกียวเค้าเลิกมากันแล้ว วันอาทิตย์เป็นวันที่จะหาตัวพวกนี้ง่ายที่สุด เร่ิมต้นที่หน้าวัดเมจิ จิงกุนี่แหล่ะ
เด็กวัยรุ่นที่แต่งตัวแรงๆ มาแข่งกัน บ้างก็มีกิจกรรมเพื่อให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น ถือป้าย “Free Hug” เราก็สามารถเข้าไปกอดกับเค้าได้ และเค้าก็ชอบที่จะถูกถ่ายรูป ไม่ต้องกลัวถูกเหวี่ยง ที่นี่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นมานานหลายสิบปีแล้วและมีชื่อเสียงในเรื่องการแต่งตัวแปลกๆ แรงๆ ล้ำสมัย แต่ไม่มีสไตล์ที่ตายตัว ใครชอบแนวไหนก็สามารถแต่งตามใจชอบได้ เห็นว่าหลังๆ นี้พวกที่มารวมกันมักเป็นเด็กต่างจังหวัดที่นั่งรถไฟเข้ามาในเมืองมากกว่า พวกเด็กโตเกียวเค้าเลิกมากันแล้ว วันอาทิตย์เป็นวันที่จะหาตัวพวกนี้ง่ายที่สุด เร่ิมต้นที่หน้าวัดเมจิ จิงกุนี่แหล่ะ
ย่านนี้เป็นแหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่นโดยแท้มีทั้งของราคาถูกไปจนถึงแพงและแพงโคตร เรามาเริ่มต้นกันที่ซอย ทาเกชิตะ โดริ (Takeshita Dori) กันก่อน ซึ่งอยู่เยื้องๆ กับสถานีฮาราจูกุ หาไม่ยากด้านหน้้าจะมีเสาที่ตกแต่งสีสันสวยงาม ซอยนี้ยาวแค่ประมาณ 200 เมตร สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าขายของเสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้า เครื่องประดับมากมายหลากหลายสไตล์ สามารถสังเกตุแฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นในปัจจุบันได้ที่ซอยนี้รวมทั้งวัฒนธรรมการกินเครปด้วย มีร้านเครปข้างทางมากมายให้เลือก แต่ละร้านจะมีเด็กๆ ต่อแถวกันยาว สนนราคาประมาณ 300 เยนขึ้นไปแล้วแต่ว่าจะเลือกไส้อะไรซึ่งก็มีเยอะมาก เช่น ช้อคโกแล๊ตกล้วย สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ ลูกแพร์ ไอสกรีมรสต่างๆ ถ้าให้ได้อารมณ์ร่วมก็ต้องซื้อแล้วเดินกินแถวๆ นั้นแหล่ะ
อ้อ ร้านแถวนี้เปิดสายหน่อยไม่ต้องรีบมาแต่เช้า ช่วงเช้าแวะไปไหว้พระก่อนแล้วกัน
อ้อ ร้านแถวนี้เปิดสายหน่อยไม่ต้องรีบมาแต่เช้า ช่วงเช้าแวะไปไหว้พระก่อนแล้วกัน
เมื่อเดินจนสุดซอยและก็จะออกไปเจอถนนเมจิ โดริ ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านเสื้อผ้าแฟชั่นน่าสนใจมากมาย ทั้งร้านใหญ่ร้านเล็กเดินดูกันเพลินตา ห้างฯที่ฉันค่อนข้างชอบมากนั้นก็คือลาฟอเร่ (La Foret) แหล่งรวมร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นมากมายกว่า 150 ร้าน บนตึกที่มีมากถึง 6 ชั้น แต่เดินเข้าจริงๆ นั้นนับได้เป็นสิบชั้นเพราะแต่ละชั้นก็จะแยกย่อยเป็นชั้น 1, 1.5, 2, 2.5 เรียกว่าเดินได้เป็นชั่วโมงๆ ไม่รู้จักเบื่อ แต่ละร้านก็ขายของแตกต่างกันไปไม่มีซ้ำ คนขายก็น่ารักแต่งตัวจัดจ้านชวนมอง และที่สำคัญขยันและให้การต้อนรับเอาใจใส่ลูกค้าดีมากๆ วัยรุ่นทั้งหลายไม่ควรพลาดที่นี่เด็ดขาด
ข้างๆ ลาฟอเร่เป็นตึกของ เอชแอนด์เอ็ม (H&M) แบรนด์เสื้อผ้าของสวีเดน ซึ่งเพิ่งเปิดสาขาที่ฮาราจูกุเมื่อเดือนพฤศจิกายนนี้เอง เป็นแบรนด์ที่ราคาระดับปานกลางมีตั้งแต่เสื้อแบบใส่เล่นจนถึงพวกที่พอใส่ไปงานเลี้ยงค้อกเทลได้ ราคาก็มีตั้งแต่ถูกไปจนถึงแพงปานกลาง ถ้าย่ิงช่วงลดราคานี่น่าสนใจมาก แบบของเอชแอนด์เอ็มนั้นก็มีทั้งธรรมดาใส่ง่ายๆ จนถึงแบบที่ดีไซน์โดยดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลกหรือป้อบสตาร์เช่น มาดอนน่าก็เคยร่วมงานกับเอชแอนด์เอ็มมาแล้ว ส่วนด้านตรงข้ามลาฟอเร่นั้นเป็นร้านแก๊บ (Gap) มีหลายชั้น ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง
ฉันมักมีปัญหากับแบรนด์ที่มาจากอเมริกาเพราะขนาดที่ใหญ่เกินหุ่นของผู้หญิงเอเซีย
ฉันมักมีปัญหากับแบรนด์ที่มาจากอเมริกาเพราะขนาดที่ใหญ่เกินหุ่นของผู้หญิงเอเซีย
เดินขึ้นไปบนถนนโอโมเตะ ซานโด (Omotesando) อาจนึกว่าเดินอยู่แถวๆ ยุโรปได้ เพราะถนนที่กว้างสวยงามเพราะถูกประดับไปด้วยร้านแบรนด์ดังๆ เช่น ราฟ ลอเรน (Ralph Lauren) คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior) หลุยส์ วิคตอง (Louis Vuitton) ท๊อดส์ (Tod’s) แอนนิเวอร์แซร์ (Anniversaire) กุชชี่ (Gucci) แต่ละร้านก็แข่งกันตกแต่งตึกด้วย
สถาปัตยกรรมสุดล้ำสวยงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว ได้แต่ดูเพลินตา วกกลับมาที่ แคท สตรีท (Cat Street) เป็นตรอกเล็กๆ ที่มีร้านน่ารักๆ รวมทั้งคาเฟ่เก๋ๆ ให้เดินดูเล่นเพลินอีกเช่นเคยรวมไปถึงอันนา ซุย (Anna Sui) แคทสตรีทเป็นชื่อเล่นของถนน คิว ชิบูย่า กาว่า (Kyu Shibuya-Gawa Promenade) เพราะสมัยก่อนเป็นแหล่งรวมของแมวเหมียวที่มาเดินเล่นเพ่นพ่านกันมากมาย
สถาปัตยกรรมสุดล้ำสวยงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว ได้แต่ดูเพลินตา วกกลับมาที่ แคท สตรีท (Cat Street) เป็นตรอกเล็กๆ ที่มีร้านน่ารักๆ รวมทั้งคาเฟ่เก๋ๆ ให้เดินดูเล่นเพลินอีกเช่นเคยรวมไปถึงอันนา ซุย (Anna Sui) แคทสตรีทเป็นชื่อเล่นของถนน คิว ชิบูย่า กาว่า (Kyu Shibuya-Gawa Promenade) เพราะสมัยก่อนเป็นแหล่งรวมของแมวเหมียวที่มาเดินเล่นเพ่นพ่านกันมากมาย
เราย้อนกลับไปที่ตรอกทาเคชิโดริอีกรอบเพื่อสำรวจเด็กๆ ที่แต่งตัวแรงๆ แต่พบว่าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวและวัยรุ่นแต่งตัวกันปกติทั่วไป ช่วงหลังเที่ยงนั้นคนแน่นมาก ร้านเปิดครบทั้งซอยแล้ว แต่มองไปมองมาหาซื้ออะไรได้ยากมาก เพราะคงมีไว้เพื่อแต่งมาเดินเล่นตรงตรอกนี้เท่านั้น ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือมีพวกชาวผิวดำยืนขายของแถวนั้นเยอะมาก ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาทำมาหากินที่ญี่ปุ่นนี้ได้ยังไง ดูๆ ไปก็ออกจะน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เราแวะทานข้าวเที่ยงตรงร้านแถวๆ นั้นเพราะเวลาล่วงเลยมาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว
เราไปเดินเล่นต่อที่แถวย่านชินจูกุ คราวนี้ตัดสินใจแยกกันเดินเพราะต่างมีความสนใจที่ต่างกัน ฉันจะไปสำรวจแหล่งช้อปปิ้งเสื้อผ้า ส่วนพี่ตุ๊กจะไปขลุกตัวอยู่ในร้านหนังสือคิโนคุนิย่า แถวนี้มีห้างฯ ร้านให้เดินซื้อของมากมาย แต่ที่ฉันอยากแนะนำก็คือ ลูมิน (Lumine) และ แฟลค (Flags) เป็นห้างฯ ที่รวมหลายๆ ร้านเอาไว้ ล้วนแต่เป็นร้านที่มีของน่าสนใจ ดีไซน์เก๋ และอิเซตัน (Isetan) ที่มีของให้เลือกเยอะ เดินสบาย มีถึงสองตึกแบ่งของผู้ชายกับผู้หญิงไว้เป็นสัดส่วน แต่ละชั้นก็จะแบ่งของไว้เป็นจำพวกและมีความหลากหลายมาก ใครชอบกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าสะพายเก๋ๆ แม้แต่กระเป๋าเอกสารก็ควรมาที่นี่เพราะมีให้เลือกเยอะมาก พวกผ้าเช็ดหน้า ถุงเท้า ถุงน่อง ลายน่ารักๆ ก็มีให้จับจ่ายเพียบ โดยเฉพาะช่วงลดราคานั้นเค้าลดกันจริงๆ ไม่มีติ๋มๆ 10-20% อย่างน้อยต้องมี 30% ขึ้นไป
วันนี้เหนื่อยขาลากอีกแล้วไม่เจียมตัวเลยเรา หมดเรี่ยวแรงเพราะตั้งหน้าช้อปอย่างเดียว เลยต้องซื้ออาหารกล่องจากอิเซตันกลับไปกินที่โรงแรมอีกเช่นเคย ด้านล่างของห้างฯ ใหญ่ๆ นั้นมักรวมเอาร้านอาหารดังๆ มาเปิดตัวขายให้กับลูกค้าจะได้ไม่ต้องไปต่อแถวรอกินกันถึงร้าน เพราะฉะนั้นสนนราคาก็จะแพงกว่าปกติ ถ้าใครหวังจะประหยัดเงินโดยการกินอาหารกล่องล่ะก็ไม่แนะนำ เพราะเผลอๆ จะเสียเงินแพงกว่ากินร้านซะอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น