03 ตุลาคม 2554

20. ฟูจิขี้อาย

     ความพยายามที่จะใช้ตั๋วเจอาร์ให้คุ้มก็คือการเดินทางออกนอกเมือง เราตัดสินใจว่าจะไปดูภูเขาไฟฟูจิกัน ไปสถานีรถไฟโตเกียวแต่เช้าตรู่เพื่อจองตั๋วชิงคันเซน เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องไปลงที่สถานีชินฟูจิ (Shin-Fuji) เราก็ไปตามนั้น เมื่อไปถึงเดินออกมาหน้าสถานีเห็นภูเขาไฟอยู่ลิบๆ เดาว่าคงต้องนั่งรถต่อไป ก็ไปถามตรงที่ให้ข้อมูลแถวๆ ป้ายรถเมล์ว่าคันที่ไปฟูจิจอดตรงนั้น
ใช่มั้ย คุณป้าแกบอกว่าไม่มีรถเมล์ไปฟูจิหรอก เอ๊ะ ก็เห็นอยู่ตรงป้ายว่าจุดหมายปลายทางคือฟูจิ ไม่ยอมแพ้หันไปถามคนแถวๆ นั้นอีก เขาบอกกันว่าวิธีเดียวที่จะไปภูเขาไฟฟูจิก็คือแท้กซี่ 
ซึ่งค่าโดยสารนั้นหลายพันเยน อืมม์ คิดว่าแพงไปนะ เราพยายามเดินวนหาบริเวณใกล้ๆ สถานีรถไฟว่ามีบริการประเภทอื่นอีกมั้ยที่ไปยังภูเขาไฟอันเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นลูกนี้ได้ เดินจน
ขาขวิดแถมหลงเข้าไปศูนย์แสดงอะไรไม่รู้ เป็นอันว่าหมดความพยายาม เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ คิดว่าจะถามเจ้าหน้าที่ภายในนั้นให้รู้แล้วรู้รอด เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งบอกเราว่าในช่วงนี้สามารถเดินทางไปดูฟูจิใกล้ที่สุดได้ที่สถานีฟูจิ โนมิย่า (Fuji Nomiya) โดยเราต้องนั่งรถเมล์ไปที่สถานีรถไฟฟูจิก่อน (Fuji Station) โอเค คราวนี้มีรถเมล์สายที่ไปยังสถานีนั้น เราจึงขึ้นนั่งกัน ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักประมาณ 15 นาที แล้วก็ต่อรถไฟขนาดเล็กเดินทางไปยังสถานีที่เขาบอก เมื่อลงไปก็เห็นฟูจิลิบๆ นะ แต่ตอนนี้เมฆลงมาหนาและปกคลุมยอดเกือบหมดแล้ว เราจึงลองเดินเล่นภายในบริเวณเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ฉันเร่ิมถอดใจ คิดว่าคงไม่มีบุญพอจะเห็นฟูจิเต็มๆ เป็นแน่ ขณะที่เราเดินไปตามแผนที่ที่หยิบมาจากสถานีรถไฟนั้นก็มีคุณป้าชาวญี่ปุ่นสองคนท่าทางเหมือนนักท่องเที่ยวเดินอยู่ด้านหน้า เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเหมือนที่เราทำ คิดเอาเองว่าเขาคงจะไปที่เที่ยวอะไรที่น่าสนใจของเมืองนี้ก็เลยเดินตามเขาไปซะเลย (พฤติกรรมอันนี้ไม่แนะนำให้ลอกเลียนแบบ เผื่อเค้าไปตามหาบ้านญาติอาจทำให้คุณเสียเวลาได้) ตาม ตาม ตาม เข้าซอยเล็ก เอ๊ะ ไปไหนนะ แล้วทั้งสองป้าก็หยุดด้านหน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วก็เดินขึ้นไปชั้นสอง หลังจากงงอยู่เพียงชั่วครู่เดียวเพราะกวาดสายตาไปเห็นป้ายด้านหน้าเดาได้ทันทีว่าเป็น
ร้านอาหาร ก็เลยขึ้นตามเขาไปชั้นบน เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเป็นร้านอาหารจริงๆ เป็นอาหารประเภทบาร์บีคิวปิ้งย่าง คนนั่งกันเต็มทั้งวัยรุ่น ทั้งครอบครัว เราเลยตัดสินใจว่าจะกินข้าวกลางวันกันที่นี่แหล่ะเพราะคิดว่าต้องเป็นร้านดังของเมืองนี้อย่างแน่นอน (ดวงเรื่องกินเร่ิมดีแล้ว) เราต้องรออีกพักใหญ่เพราะโต๊ะเต็มหมด (คิดในใจว่าอร่อยแน่นอน) เมื่อได้ที่นั่งเราก็พยายามแกะระหัสเมนูที่เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ประกอบกับอาหารชะเง้อชะแง้ว่าโต๊ะอื่นเขากินอะไรกันบ้าง ฉันตัดสินใจสั่งยากิโซบะหนึ่งจานเพราะเห็นเขากินกันทุกคนคงจะอร่อยน่าดูแล้วก็สั่งพวกเนื้อสัตว์มาปิ้งกันเองอีกสองสามจาน รวมทั้งพิซซ่าญี่ปุ่นอันเป็นอาหารยอดฮิตของ
คนที่นี่  เมนูหลังนี่เสี่ยงมากเพราะต้องทำเอง เขาจะเอามาให้เฉพาะพวกเครื่องปรุงต่างๆ ใส่ลงในชาม ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ (สามารถเลือกได้ว่าเอาอะไรบ้าง เราเลือกแบบรวมฮิต หมู ไก่ ปลาหมึก อะไรมาหมด) กะหล่ำปลีหั่นฝอย ต้นหอมซอย ข้าวโพด และราดน้ำที่รสชาติเหมือนครีมสลัด เราต้องกวนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันและเทลงไปบนเตาเหล็กร้อนด้านหน้า จัดให้เป็นวงกลมสวยงาม เมนูนี้แนะนำให้ทำเป็นอันดับแรกเพราะใช้เวลานานมากกว่าพิซซ่า
จะสุก ระหว่างรอก็ปิ้งย่างเนื้อหมูเนื้อไก่กินกันแก้หิวไปก่อน ยากิโซบะนั้นรสชาติอร่อยเด็ดขาดมาก สมกับการที่ต้องรอนาน พนักงานเสริฟส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นล้วนๆ อายุน่าจะอยู่ในช่วงอายุ 15-18 ปี ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ใจบริการนั้นเต็มร้อย มีคนนึงที่ดูท่าทางซ่าส์กว่าใครเพื่อนพอจะพูดกับเราได้รู้เรื่องก็เลยกลายเป็นขวัญใจเราไปโดยปริยาย เพราะมีอะไรสงสัยหรืออยากได้อะไรเพ่ิมเป็นต้องเรียกน้องคนนี้มาช่วย เราอ่ิมแปล้และพอใจกับรสชาติอาหารมื้อนี้มาก แต่ก็ได้สิ่งอื่นตามมาด้วยนั่นก็คือกล่ินตัวอันตลบอบอวลที่ติดตามเสื้อผ้าและผมของเรา





     ออกจากร้านอาหารมาไม่รู้จะไปไหนต่อดี ดูเหมือนว่าเมืองนี้ไม่ได้มีอะไรให้ท่องเที่ยวมากนัก แต่ไหนๆ ก็มาแล้วเลยเดินกันเรื่อยเปื่อยจับทิศของภูเขาไฟฟูจิเป็นหลัก กะว่าจะหามุมถ่ายรูปให้ได้สวยๆ แต่เขาไม่เล่นด้วย ย่ิงนานขึ้นเมฆก็จับตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ บดบังฟูจิจนแทบมิด 
ฉันไม่รู้จะโกรธใครดี ได้แต่โกรธตัวเองที่เสร่อมาดูฟูจิฤดูกาลนี้ทำไม ดันทุรังแท้ๆ ปกติเค้าจะมาเที่ยวกันช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งใครที่อยากมาปีนขึ้นไปด้านบนก็สามารถทำได้ในช่วงนั้น 
หรืออย่างน้อยก็สามารถที่จะขึ้นไปถึงชั้นที่ 5 ของภูเขาได้ ซึ่งบริเวณนั้นจะมีทะเลสาปถึง 5 แห่งด้วยกัน ไปเที่ยวเล่นชิลล์ๆ แถวนั้นก็ยังดี เพราะมีศาลเจ้าให้ไปเยี่ยมชมด้วย แต่ก่อนการไต่ฟูจินั้นถือเป็นการแสวงบุญเพราะฟูจิถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์
     เอาล่ะเห็นทีว่ากลับเข้าโตเกียวจะดีกว่า เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดยาววันสุดท้ายในช่วง
ปีใหม่ทำให้มีคนกลับเข้าเมืองกันมาก (คงเหมือนช่วงสงกรานต์บ้านเรา) รถไฟจึงแน่นมาก ไม่มีที่นั่งแถมต้องยืนเบียดกับผู้คนอีก โชคดีที่ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง ความตั้งใจที่จะใช้ตั๋วเจอาร์ให้คุ้มนั้นก็ประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะเห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเลือนลางแต่ก็เรียกว่า
ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว บางทีความตั้งใจจะทำอะไรซักอย่างแต่ไม่สำเร็จด้วยเหตุเพราะว่าอะไรก็แล้วแต่ ก็อย่าไปเสียใจให้มากถ้าเราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น