05 ตุลาคม 2554

22. วัดโคมใหญ่

     มาญี่ปุ่นคราวนี้ฉันเตรียมแผนการท่องเที่ยวเฉพาะที่เกียวโตเป็นหลักเพราะเห็นว่าโตเกียว
ก็เคยมาแล้วรู้จักเกือบหมดทุกที่และกะว่าจะมาช้อปป้ิงก่อนกลับบ้านอย่างเดียวเลยไม่ได้วางแผนอะไร (ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแรง) ทำให้ต้องพลาดหลายๆ สถานที่
ที่น่าสนใจไป แต่ไม่เป็นไร ญี่ปุ่นใกล้นิดเดียวเดี๋ยวมาใหม่ก็ได้
     ใครอ่านมาถึงตรงนี้คงต้องคิดว่าฉันบ้าช้อปปิ้งเอามากๆ ความจริงก็เป็นจริงอย่างที่คุณคิดกันนั่นแหล่ะแต่ด้านสาระก็พอมีบ้าง เอาเป็นว่าจะแนะนำที่เที่ยวที่น่าสนใจนอกจากห้างฯ เพื่อกระตุ้นต่อมสมองกันหน่อย
     เล่าให้ฟังถึงวัดเมจิ จิงกุ กันแล้ว มีอีกวัดที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ วัดเซนโซจิ (Senso-ji) หรือรู้จักกันดีในชื่อ วัดอาซากุสะ (Asakusa) หลายๆ คนคงคุ้นตากับโคมขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ที่อยู่ตรงด้านหน้าทางเข้าซึ่งเป็นฉากหลังอันเป็นที่นิยมในการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ถ้าอยากไปก็ง่ายมากนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีอาซากุสะ ซึ่งจะโผล่มาใกล้ๆ กับแม่น้ำสุมิดะ ตรงนั้นมีตึกที่น่าสนใจคือสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตเบียร์อาซาฮี (Asahi) เบียร์รสชาติดีของญีปุ่น ทำไมต้องสนใจตึกนี้ ก็เพราะว่าตึกมีรูปร่างประหลาดแปลกกว่าตึกอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ เป็นตึกสีดำที่รูปร่างเหมือนแก้วใส่เบียร์ส่วนด้านบนมีวัสดุรูปร่างยึกยือสีทองแปะอยู่ ดีไซน์โดยนักออกแบบชาวฝรั่งเศสชื่อดังระดับโลก ฟิลลิป สตาร์ค (Philippe Starck) สามารถเห็นโดดเด่นแต่ไกล ถ้าเห็นตึกนี้ก็แปลว่าเดินมาถูกทางแล้ว
     เดินเรื่อยไปอีกหน่อยก็จะเห็นทางเข้าวัดอาซากุสะที่มีเสาโทริสีส้มและโคมแขวนอยู่ตรงกลางผู้คนเดินกันขวักไขว่มากมาย แถวๆ ด้านหน้ามักจะมีรถลากมาจอดให้บริการ ซึ่งเขาจะลากพาคุณไปดูสถานที่สำคัญต่างๆ ตรงบริเวณใกล้ๆ ได้บรรยากาศการเดินทางแบบครั้งโบราณถ้าลองนึกภาพว่าตัวเองเป็นสาวญี่ปุ่นทาหน้าขาวปากแดงใส่กิโมโน
     ประตูทางเข้าด้านหน้า คามินาริมอน (Kaminarimon) เป็นทางเข้าชั้นนอกของวัด มีโคมใหญ่สีแดงที่มีเทพเจ้าคุ้มครองประตูซ้ายและขวา Raijin (ไรจิน) เทพเจ้าแห่งสายฟ้า และ Fujin (ฟูจิน) เทพเจ้าแห่งสายลม เมื่อเดินผ่านเข้ามาแล้วจะมีร้านค้าเรียงรายบนถนนเล็กๆ ที่ชื่อ
นากามิเซ (Nakamise) ซึ่งมีของให้คุณเลือกซื้อหาได้ตามใจชอบตั้งแต่พวกขนมอร่อยๆ ของ
ญี่ปุ่น ชุดกิโมโน พัด ตุ๊กตา ของที่ระลึกต่างๆ สารพัดชนิด นับว่าตื่นตาตื่นใจมาก กว่าจะเที่ยว
ดูชมแต่ละร้านจนเดินไปถึงด้านในของวัดนั้นก็ใช้เวลาพอสมควร แนะนำว่าดูพอได้อารมณ์ 
แล้วค่อยกลับออกมาซื้อทีหลังจะได้ไม่ต้องถือของพะรุงพุรัง ก่อนเข้าตัววัดจะมีประตูอีกชั้นหนึ่งชื่อว่า โฮโซมอน (Hozomon) มีโคมใหญ่แขวนและเทพเจ้าดูแลประตูเช่นกัน ตามธรรมเนียมต้องเดินไปปัดควันธูปที่จุดไว้ในกระถางใหญ่เข้าตัวถือว่าเพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง แล้วก็ต้องล้างมือล้างปากตรงที่เขาเตรียมไว้ให้ หลังจากนั้นก็ไปไหว้พระขอพรตรงตัวโบสถ์ใหญ่ที่มี
พระประธานแคนนอน (Kannon) เทพเจ้าแห่งความเมตตาประดิษฐานอยู่ ประวัติของวัด
ค่อนข้างน่าสนใจมาก เล่าขานกันว่ามีชาวประมงตกปลาที่แม่น้ำสุมิดะแล้วก็พบพระพุทธรูป
จึงได้สร้างศาลเจ้าให้ท่านประดิษฐาน หลังจากนั้นจึงได้มีการสร้างวัดและขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงศรัทธา วัดอาซากุสะรอดพ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้แต่สงครามโลก
ครั้งที่ 2 ก็ได้ทำลายตัววัดซะราบคาบ วัดที่เราเห็นในปัจจุบันจึงไม่ใช่วัดต้นแบบแต่ได้สร้างขึ้นมาใหม่โดยเลียนแบบศิลปะในยุคเอโดะ
     บริเวณโดยรอบวัดนั้นมีอาคารอีกหลายหลังอยู่ภายในสวนที่จัดไว้อย่างสวยงาม เมื่อดูชมจนสมใจแล้วขากลับก็สามารถแวะซื้อของต่างๆ ที่เล็งไว้ตั้งแต่ตอนเดินเข้าไปได้อย่างสนุกสนาน มีร้านหนึ่งที่ฉันอยากจะแนะนำเป็นพิเศษซึ่งอยู่ด้านนอกตัววัดทางด้านซ้ายมือนั่นก็คือร้านที่ขายกระดาษสไตล์ญี่ปุ่น มีทั้งกระดาษสาและกระดาษหลากหลายรูปแบบ นำมาทำเป็นกระดาษเขียนจดหมายพร้อมซอง ปฏิทิน การ์ด หรือแม้แต่กระดาษห่อของขวัญ สวยมากๆ แต่ราคาค่อนข้างแพง ใครชอบสะสมไม่ควรพลาดเด็ดขาด
     แม่น้ำสุมิดะ (Sumida) เป็นแม่น้ำสายสำคัญของโตเกียวคงคล้ายกับแม่น้ำเจ้าพระยา
ของเราที่มีประโยชน์ทั้งในเรื่องการเดินทางเข้าเมืองมาแต่ครั้งโบราณรวมทั้งเป็นเส้นทาง
การค้าอีกด้วย แต่ก่อนโตเกียวก็มีแม่น้ำและคลองมากมายเหมือนกรุงเทพฯ น่าเสียดายที่ความเจริญเข้ามาแทนที่ทำให้เราไม่เป็นเวนิสตะวันออกอีกต่อไป การเที่ยวชมแม่น้ำสุมิดะนอกจากทางเท้าแล้วยังมีบริการเรือล่องแม่น้ำหลายรูปแบบ สามารถเที่ยวชมตึกสวยๆที่อยู่
ริมแม่น้ำตลอดสาย รวมทั้งเรือจะพาไปลอดผ่านสะพานสำคัญๆ ถึง 12 แห่งซึ่งทาสีต่างๆ กันไป ในช่วงเวลาที่ดอกซากุระบานก็เป็นอีกหนึ่งทางในการชมดอกซากุระริมน้ำได้อีกบรรยากาศ 
ในช่วงเดือนปลายเดือนกรกฏาคมก็มีเทศกาลจุดดอกไม้ไฟซึ่งสามารถนั่งเรือชมได้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น