รายล้อมและผู้คนเบียดเสียดที่ต่างก็พากันมาเดินเล่นที่นี่
ตรงลานด้านหน้าสถานีนั้นเป็นจุดนัดพบที่ดี มีรูปปั้นที่มีชื่อเสียงเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมา เป็นเรื่องราวของสุนัขผู้จงรักภักดีตัวหนึ่งชื่อว่า ฮาชิโกะ (Hachiko) พันธุ์อากิตะ (Akita) ซึ่งมีความรักและผูกพันต่อเจ้าของที่เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวชื่อว่า ฮิเดซาบุโระ อุเอโนะ (Hidesaburo Ueno) กิจวัตรประจำวันของทั้งสองนั้นก็คือทุกเช้าเขาจะออกไปสอนหนังสือ
และพอตกเย็นเจ้าฮาชิโกะก็จะไปรอรับเขาที่สถานีชิบูย่า เป็นอย่างนั้นอยู่นาน จนวันหนึ่ง
ฮิเดซาบุโระเกิดหัวใจวายและเสียชีวิตที่มหาวิทยาลัยจึงไม่มีโอกาสได้ร่ำลาและกลับมาเจอเจ้าฮาชิโกะอีก มันก็ยังมีความหวังเฝ้าแต่รอที่สถานีนี้เวลาเดิมทุกวัน แม้ว่าจะมีคนนำไปเลี้ยงที่อื่นแล้วก็ตาม แต่มันก็ต้องออกมารอพบฮิเดซาบุโระทุกๆ วัน เวลาผ่านไปเป็นสิบปีมันก็ไม่เคยหมดความหวัง ยังคงทำกิจวัตรแบบเดิมๆ ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเป็นประจำล้วนแต่รู้จักมันดีและมักจะทักทายและเอาขนมมาให้มันอยู่เสมอๆ รวมทั้งลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ฮิเดซาบุโระด้วย ในตอนนั้นเขากำลังศึกษาและเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์อากิตะอยู่ จึงได้เขียนเรื่องราวความประทับใจที่มีต่อฮาชิโกะจนได้ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของโตเกียว ทำให้ผู้คนทั่วประเทศได้รู้จักฮาชิโกะและต่างก็ประทับใจกับความจงรักภักดีและความรักที่มีต่อนายของมัน ถึงขั้นยกให้เป็นแบบอย่าง ผู้ใหญ่ต่างยกตัวอย่างเจ้าฮาชิโกะสอนเด็กๆ เรื่องความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อคนในครอบครัว รูปปั้นเจ้าฮาชิโกะถูกหล่อขึ้นและได้ตั้งไว้หน้าสถานีชิบูย่าซึ่งมันก็ได้ไปร่วมในงานเปิดตัวด้วย จนในที่สุดเวลาที่เจ้าฮาชิโกะจะได้พบเจ้าของอีกครั้งก็มาถึง มันตายด้วยโรคหนอนหัวใจ แต่ร่างกายมันได้ถูกสตัฟไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สามารถไปเยี่ยมมันได้ นอกจากนี้ประตูด้านหนึ่งของสถานีรถชิบูย่านั้นได้ตั้งชื่อว่า Hachiko Guchi เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับเจ้าหมาแสนกตัญญู และทุกๆ วันที่ 8 เมษายนของทุกปี ยังเป็นวันที่จะมีพิธีรำลึกถึงเจ้าฮาชิโกะอีกด้วย ซึ่งคนรักหมาทั้งหลายก็มักจะมารวมตัวกันที่สถานีชิบูย่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ผู้คนก็ไม่มีวันลืมเจ้าหมาแสนจงรักภักดีตัวนี้ได้
และพอตกเย็นเจ้าฮาชิโกะก็จะไปรอรับเขาที่สถานีชิบูย่า เป็นอย่างนั้นอยู่นาน จนวันหนึ่ง
ฮิเดซาบุโระเกิดหัวใจวายและเสียชีวิตที่มหาวิทยาลัยจึงไม่มีโอกาสได้ร่ำลาและกลับมาเจอเจ้าฮาชิโกะอีก มันก็ยังมีความหวังเฝ้าแต่รอที่สถานีนี้เวลาเดิมทุกวัน แม้ว่าจะมีคนนำไปเลี้ยงที่อื่นแล้วก็ตาม แต่มันก็ต้องออกมารอพบฮิเดซาบุโระทุกๆ วัน เวลาผ่านไปเป็นสิบปีมันก็ไม่เคยหมดความหวัง ยังคงทำกิจวัตรแบบเดิมๆ ผู้คนที่ผ่านไปมาแถวนั้นเป็นประจำล้วนแต่รู้จักมันดีและมักจะทักทายและเอาขนมมาให้มันอยู่เสมอๆ รวมทั้งลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ฮิเดซาบุโระด้วย ในตอนนั้นเขากำลังศึกษาและเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์อากิตะอยู่ จึงได้เขียนเรื่องราวความประทับใจที่มีต่อฮาชิโกะจนได้ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของโตเกียว ทำให้ผู้คนทั่วประเทศได้รู้จักฮาชิโกะและต่างก็ประทับใจกับความจงรักภักดีและความรักที่มีต่อนายของมัน ถึงขั้นยกให้เป็นแบบอย่าง ผู้ใหญ่ต่างยกตัวอย่างเจ้าฮาชิโกะสอนเด็กๆ เรื่องความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อคนในครอบครัว รูปปั้นเจ้าฮาชิโกะถูกหล่อขึ้นและได้ตั้งไว้หน้าสถานีชิบูย่าซึ่งมันก็ได้ไปร่วมในงานเปิดตัวด้วย จนในที่สุดเวลาที่เจ้าฮาชิโกะจะได้พบเจ้าของอีกครั้งก็มาถึง มันตายด้วยโรคหนอนหัวใจ แต่ร่างกายมันได้ถูกสตัฟไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สามารถไปเยี่ยมมันได้ นอกจากนี้ประตูด้านหนึ่งของสถานีรถชิบูย่านั้นได้ตั้งชื่อว่า Hachiko Guchi เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับเจ้าหมาแสนกตัญญู และทุกๆ วันที่ 8 เมษายนของทุกปี ยังเป็นวันที่จะมีพิธีรำลึกถึงเจ้าฮาชิโกะอีกด้วย ซึ่งคนรักหมาทั้งหลายก็มักจะมารวมตัวกันที่สถานีชิบูย่า แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ผู้คนก็ไม่มีวันลืมเจ้าหมาแสนจงรักภักดีตัวนี้ได้
อย่างที่บอกตอนต้นว่าชิบูย่าเป็นแหล่ง ช้อป กิน ฟัง ฉันจะเร่ิมต้นที่การช้อปก่อน
ตึกที่เหมือนจะเป็นอนุสาวรีย์ของย่านชิบูย่าก็คือ Shibuya 109 เป็นตึกกลมๆ ที่ค่อนข้างสูง ร้านรวงแหล่งช้อปนั้นมีมากถึง 7 ชั้น (ชั้น 8 เป็นร้านอาหาร) ซึ่งเป็นของวัยรุ่นล้วนๆ พวกเสื้อผ้า หน้าผม เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ ของตกแต่งต่างๆ ฉันไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไรได้จากที่นี่หรอกแต่อยากเข้าไปเดินดูบรรยากาศการช้อปของเด็กวัยรุ่นโตเกียวมากกว่า ซึ่งต้องบอกว่าตื่นตาตื่นใจพอสมควรทีเดียว เด็กๆ ที่มาล้วนแต่ประโคมแต่งตัว
แต่งหน้ามาประชันกัน ดูแล้วก็เพลินตาดี เด็กญี่ปุ่นน่าตาน่ารักแล้วก็มีความมั่นใจสูงถึงสูงมาก เขาไม่ค่อยสนใจสายตารอบข้างที่มองหรอก ถ้าไม่มองนี่สิอาจหมดความมั่นใจได้ กว่าจะเบียดคนออกมาจากตึกได้แทบแย่เหมือนกัน เวลาปกติที่ไม่ใช่ช่วงปีใหม่คงเดินได้สบายกว่านี้
แต่งหน้ามาประชันกัน ดูแล้วก็เพลินตาดี เด็กญี่ปุ่นน่าตาน่ารักแล้วก็มีความมั่นใจสูงถึงสูงมาก เขาไม่ค่อยสนใจสายตารอบข้างที่มองหรอก ถ้าไม่มองนี่สิอาจหมดความมั่นใจได้ กว่าจะเบียดคนออกมาจากตึกได้แทบแย่เหมือนกัน เวลาปกติที่ไม่ใช่ช่วงปีใหม่คงเดินได้สบายกว่านี้
ต่อไปเปลี่ยนโหมด (Mode) ไปกันที่โตเกียวแฮนด์ (Tokyo Hands) แรกเริ่มนั้นเปิดเป็นร้านประเภท “ทำเองเถอะ” (DIY : Do-it-yourself) สังเกตุง่ายๆ จากโลโก้ที่เป็นมือสองมือ
เน้นขายของเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ งานอดิเรก และพวกของตกแต่งบ้าน แต่ตอนนี้นั้นไม่ว่าคุณจะนึกคิดอยากได้อะไรก็ตามเขามีขายหมด ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ ของเล่น เครื่องไม้เครื่องมือ กระเป๋าเดินทาง อุปกรณ์เดินป่า เสื้อยืด ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ของฝาก ของที่ระลึก โอ้ยสารพัดเลือกดูเลือกชมกันไม่หมด ฉันเลยเลือกซื้อของฝากเป็นนาฬิกาฝากหลานๆ ซะเลย เดินได้เพียงไม่กี่ชั้นไอ้ท้องเจ้ากรรมก็ร้องครางเพราะความหิว เลยต้องชักชวนพี่ตุ๊กไปหาซูชิกินกัน ร้านนี้เป็นร้านซูชิสายพานเช่นเคย ราคาซูเปอร์ถูก คือทุกจานราคา 120 เยน แต่มีข้อแม้นะจ๊ะ คุณต้องทานอย่างน้อยคนละ 7 จาน ตอนแรกฉันก็ลังเลแต่คราวที่แล้วยังทานได้เลยคราวนี้ก็น่าจะไหว ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งจับจองที่นั่งกัน ร้านนี้มีเมนูให้เลือกหลากหลายมาก และขนาดใหญ่กว่าร้านที่แล้ว คนนั่งกันเต็ม ไม่รู้ว่าเพราะอร่อยหรือถูก เราเริ่มลงมือปฏิบัติการกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากบรรเลงเพลงซูชิเสร็จก็นับได้ทั้งหมด 17 จาน อืมม์ ไม่เลว เฉลี่ยแล้วคนละ 8 จานครึ่ง นับว่าไม่ทำให้เจ้าของร้านผิดหวังแถมทำลายสถิติของตัวเองอีก ค่าเสียหาย 2,040 เยน ถือว่าคุ้มมากๆ
เน้นขายของเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ งานอดิเรก และพวกของตกแต่งบ้าน แต่ตอนนี้นั้นไม่ว่าคุณจะนึกคิดอยากได้อะไรก็ตามเขามีขายหมด ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ ของเล่น เครื่องไม้เครื่องมือ กระเป๋าเดินทาง อุปกรณ์เดินป่า เสื้อยืด ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ของฝาก ของที่ระลึก โอ้ยสารพัดเลือกดูเลือกชมกันไม่หมด ฉันเลยเลือกซื้อของฝากเป็นนาฬิกาฝากหลานๆ ซะเลย เดินได้เพียงไม่กี่ชั้นไอ้ท้องเจ้ากรรมก็ร้องครางเพราะความหิว เลยต้องชักชวนพี่ตุ๊กไปหาซูชิกินกัน ร้านนี้เป็นร้านซูชิสายพานเช่นเคย ราคาซูเปอร์ถูก คือทุกจานราคา 120 เยน แต่มีข้อแม้นะจ๊ะ คุณต้องทานอย่างน้อยคนละ 7 จาน ตอนแรกฉันก็ลังเลแต่คราวที่แล้วยังทานได้เลยคราวนี้ก็น่าจะไหว ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งจับจองที่นั่งกัน ร้านนี้มีเมนูให้เลือกหลากหลายมาก และขนาดใหญ่กว่าร้านที่แล้ว คนนั่งกันเต็ม ไม่รู้ว่าเพราะอร่อยหรือถูก เราเริ่มลงมือปฏิบัติการกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากบรรเลงเพลงซูชิเสร็จก็นับได้ทั้งหมด 17 จาน อืมม์ ไม่เลว เฉลี่ยแล้วคนละ 8 จานครึ่ง นับว่าไม่ทำให้เจ้าของร้านผิดหวังแถมทำลายสถิติของตัวเองอีก ค่าเสียหาย 2,040 เยน ถือว่าคุ้มมากๆ
เมื่อหนังท้องตึงก็ไม่ปล่อยให้หนังตาหย่อนเป็นอันขาด ว่าแล้วก็ไปเดินดูของกันที่ลอฟท์ (Loft) ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นห้างฯ ประเภทไลฟ์สไตล์ แต่เรื่องคอนเซ็ปต์และของที่ขายไม่แข็งแรง ที่นี่ก็เลยกลายเป็นห้างฯ ที่ขายของสะเปะสะปะไปหน่อย มีหลายชั้นอยู่เหมือนกัน แต่ละชั้นก็แบ่งประเภทของสินค้าเช่น ชั้นล่างขายเครื่องเขียน ถัดมาเป็นพวกเครื่องประดับ นาฬิกา แว่นตา ชั้นต่อๆ ไปเป็นของใช้ส่วนตัว เช่นแชมพู ครีมอาบน้ำ น้ำยาทำความสะอาดบ้าน กระเป๋า และเครื่องนอน ก็เลยงงๆ พี่ตุ๊กได้ซื้อนาฬิกายี่ห้อนิคสัน (Nixon) ที่ตอนนี้กำลังฮิต
ที่ญี่ปุ่นอยู่
ที่ญี่ปุ่นอยู่
เดินไปอีกหน่อยก็จะเจอกับห้างฯ ปาร์โก้ Part 1, 2 และ 3 (Parco) (ตอนที่ฉันไปนั้น Parco 2 ปิดปรับปรุงชั่วคราว) ปาร์โก้ 1 นั้นเน้นขายแฟชั่นเสื้อผ้ามีทั้งชายและหญิง ดีไซน์ในและนอก มีร้านหนังสือ เครื่องเขียน และคาเฟ่ชั้นล่างสุด ส่วนชั้น 7, 8 เป็นร้านอาหาร ส่วนชั้น 9 เป็นโรงหนัง สำหรับปาร์โก้ 3 เน้นพวกเสื้อผ้าลำลองใส่เล่นๆ (แต่ราคาเล่นด้วยไม่ลง) ที่เพิ่มมาคือของตกแต่งบ้าน
ชักจะเบื่อช้อปปิ้งแล้วล่ะสิ งั้นเรามาพักดื่มกาแฟกันดีกว่า ถ้ามาที่ชิบูย่าต้องพยายามหาที่แทรกตัวนั่งที่สตาร์บัคสาขาซึทาย่า (Tsutaya) ด้านที่ติดกับหน้าต่างให้ได้ เพราะเป็นร้านกาแฟที่เห็นวิวใจกลางชิบูย่าแจ่มชัดมากๆ เราจะเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจตรงด้านล่าง นั่นก็คือคลื่นคนที่รอข้ามถนนตรงไฟแดงที่นี่ ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มใหญ่เสมอ ถ้ามาเที่ยวโตเกียวใหม่ๆ อาจจะตื่นตระหนกถ้าคุณต้องไปเป็นคนยืนรออยู่ตรงนั้น อาจกลัวว่าจะโดนเหยียบ แต่จริงๆ แล้วคนที่นี่มีระเบียบดีมาก เมื่อไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวทุกคนก็จะก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้า
ไม่อืดอาดแต่ก็ไม่เร่งรัดจนกดดันคนที่อยู่ด้านหน้า ทุกคนเดินไปอย่างอัตโนมัติสวนกับคน
อีกด้านที่เดินผ่านมาด้วยอาการแบบเดียวกันแล้วก็ข้ามไปถึงถนนอีกฝั่งหนึ่งได้โดยปลอดภัย ทางข้ามที่นี่เค้าทำดีคือมีการข้ามทะแยงมุมด้วย ทำให้คนไม่ต้องข้ามถนนถึงสองครั้ง
ไม่อืดอาดแต่ก็ไม่เร่งรัดจนกดดันคนที่อยู่ด้านหน้า ทุกคนเดินไปอย่างอัตโนมัติสวนกับคน
อีกด้านที่เดินผ่านมาด้วยอาการแบบเดียวกันแล้วก็ข้ามไปถึงถนนอีกฝั่งหนึ่งได้โดยปลอดภัย ทางข้ามที่นี่เค้าทำดีคือมีการข้ามทะแยงมุมด้วย ทำให้คนไม่ต้องข้ามถนนถึงสองครั้ง
ฉันทิ้งพี่ตุ๊กไว้ที่สตาร์บัคเพื่อที่จะไปเดินดูของที่มารูอิ (Marui) และมารูอิ แจม (Marui Jam) ได้กระเป๋าใบสวยมาสองใบแต่กระเป๋าตังค์คงเบาไปอีกนาน
นอกจากพวกแฟชั่นแล้ว ชิบูย่ายังมีร้านหนังสือและร้านเพลงใหญ่ๆ หลายแห่ง เช่น ซึทาย่า (Tsutaya) เอชเอ็มวี (HMV) และทาวเวอร์เรคคอร์ด (Tower Records) นอกจากนี้ก็มีร้านเกมส์ต่างๆ รวมทั้งปาจิงโกะอยู่ตรงถนนเซนเตอร์ ไก (Center Gai) แถวนี้เด็กๆ มักชอบมาเดินเที่ยวเล่นกัน
วันนี้ฉันเดินจนเมื่อยอีกเช่นเคยก็เลยซื้ออาหารกล่องจากโตคิวกลับไปทานที่โรงแรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น