เมืองอุจิ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการผลิตชาเขียว ฉันจึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องซื้อกลับบ้านซักหน่อย เมื่อไปถึงสถานีเขาก็มีแผนที่แจกให้แต่เป็นภาษาญี่ปุ่น ฉันคิดว่าไม่น่ายากเย็นอะไรก็เลยตั้งหน้าตั้งตาเดินตามเส้นทางสีแดงที่เขาแนะนำซึ่งเป็นเส้นทางที่ครอบคลุมพื้นที่ไกลกว่าสีน้ำเงิน เห็นว่าเป็นเส้นทางการเดินทางของ “เกนจิ” (The tale of Genji) ซึ่งเป็นตัวละครเอกในนวนิยายเรื่องแรกของโลก เขียนโดยนักเขียนหญิงชาวญี่ปุ่นนามว่า “มุราซากิ ชิกิบุ” (Murasaki Shikibu) นวนิยายเรื่องนี้มีอายุอานามกว่า 1,000 ปีแล้ว เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตแบบโบราณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ประเพณี วัฒนธรรมความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในสมัยก่อน เมื่อครั้งเสน่ห์ความงามของหญิงสาวนั้นถูกตัดสินกันด้วยผมที่ยาวสลวยและเสื้อผ้าการแต่งตัวที่มีรสนิยมในการเลือกสีมาผสมผสานกันอย่างลงตัว ผู้หญิงญ่ีปุ่นสมัยโบราณนั้นต้องเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้านของตัวเอง คนที่จะเห็นหน้าเธอก็มีเพียงพ่อและสามีเท่านั้นเพราะฉะนั้นเรื่องราวการผจญภัยของเกนจิและผู้หญิงของเขาจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าติดตาม ฉากที่เกิดขึ้นใน 10 ตอนสุดท้าย (ทั้งหมดมี 54 ตอน) ของ The Tale of Genji เกิดขึ้นที่เมืองอุจิ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่วัด เพราะฉะนั้นเมืองอุจิก็เลยเอาจุดขายตรงนี้มาโปรโมทให้คนที่มาท่องเที่ยวได้ติดตาม ถือเป็นการทำ marketing ที่ดีอย่างหนึ่ง เหมือนที่เกาหลีเอาสถานที่ถ่ายทำหนังหรือซีรี่ส์เรื่องดังมาเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมในทัวร์ ทำให้ช่วยการท่องเที่ยวเกาหลีได้อย่างดี
ที่อุจิมีแม่น้ำสำคัญคือแม่น้ำอุจิ ไหลพาดผ่านตัวเมือง หลังจากเดินตามเส้นทางสีแดงจนขาเริ่มล้า พี่ตุ๊กเริ่มบ่นเสียงออดแอดว่าพามาดูอะไร ฉันจึงต้องลัดเลาะเส้นทางเปลี่ยนไปเดินตามทางสีน้ำเงินเพราะฟ้าเร่ิมมืดแล้ว ซึ่งก็เป็นเส้นทางแคบๆ ที่นำเราไปสู่ศาลเจ้า อุจิกามิ จินจา (Ujigami Jinja Shrine) ซึ่งเชื่อว่าเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นเมื่อดูจากลักษณะสถาปัตยกรรม คาดว่าสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 วันนี้ดูเหงาๆ ไร้เงาผู้คน เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเจอศาลเจ้าอุจิ (Uji Shrine) ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำ สามารถเข้าได้จากทางบนเนินหรือจากด้านล่าง ด้านหน้าวัดมีอนุสาวรีย์รูปปั้นที่เป็นตัวละครสำคัญในบทหนึ่งของ The Tale of Genji เป็นบทที่มีเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับเมืองอุจิ ที่ชายหนุ่มหญิงสาวกำลังล่องเรือในแม่น้ำอุจิ ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของเมืองทีเดียว และเป็นจุดชมวิวแม่น้ำที่มีสะพานสีส้มสดอาซาจิริ (Asagiri) ทอดผ่าน
เราเดินข้ามสะพานสีส้มกลับไปอีกฝั่งเพื่อที่จะหาซื้อชาเขียวและของที่ระลึกก่อนกลับ ร้านรวงบริเวณใกล้ๆ แม่น้ำนั้นมีของพื้นเมืองที่น่าสนใจหลายอย่าง พวกกระเป๋าผ้า หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผ้าพิมพ์ลายญี่ปุ่นมีให้เลือกซื้อหามากมาย ร้านชาเรียงรายจนเลือกไม่ถูก มีทั้งแบบใบชาเขียวมาเดี่ยวๆ หรือผสมกับข้าวคั่วที่จะเพ่ิมกลิ่นให้หอมละมุน ฉันเลือกซื้อกลับบ้านอย่างละห่อ และยังได้กระเป๋าตังค์และกระเป๋าใส่นามบัตรทำจากผ้าพิมพ์ลายญี่ปุ่นดูดีมีสไตล์ ราคาก็ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงจนเกินปัญญาและความอยากได้
เราหมายมั่นว่าจะแวะนั่งกินขนมที่ทำจากชาเขียวตรงร้านใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ เล็งเมนูไว้ตั้งแต่มาถึงเมืองนี้ เพราะเห็นว่าร้านดูตกแต่งแบบดั้งเดิมเดาว่าขนมน่าจะอร่อยแถมยังบรรยากาศดีแต่ต้องผิดหวังอย่างแรงเพราะเขาปิดร้านแต่หัววัน พนักงานใจดีอุตส่าห์ขาย
ไอสกรีมชาเขียวแบบถ้วยให้เรากลับไปกินที่บ้าน เราจึงมีของอร่อยรองท้องระหว่างนั่งรถไฟเข้าเกียวโต
วันนี้ยังมีเวลาเหลืออีกที่ไม่ควรปล่อยให้ไร้ค่าควรหากิจกรรมบันเทิงเริงใจทำ ถ้าใครรู้จักกันจริงคงรู้ว่าฉันจะเลือกทำอะไร แน่นอนว่าช้อปปิ้งเป็นของคู่กับผู้หญิง การได้เดินเล่นเลือกดูของ (ถึงแม้ว่าจะไม่ซื้อ) ก็เหมือนการเปิดหูเปิดตาเห็นอะไรสวยๆ งามๆ ทำให้เกิดเป็นความสุขได้ ฉันเลือกไปเดินแถวๆ ย่านในเมือง เฉพาะเจาะจงไปที่ถนน Kawaramachi (คาราวามาชิ) ที่เป็นถนนเส้นช้อปปิ้งที่มีห้างสรรพสินค้าหลายห้าง แต่เลือกไปเดินในซอย Shin-Kyogoku
(ชินเคียวโกกุ) ที่รวมร้านค้าขายของประเภทวัยรุ่น เพราะกะว่าค่อยไปเดินห้างในโตเกียวน่าจะดีกว่า เสียดายว่าเราไปค่ำไปหน่อยร้านเลยเปิดบ้างปิดบ้างประปราย
(ชินเคียวโกกุ) ที่รวมร้านค้าขายของประเภทวัยรุ่น เพราะกะว่าค่อยไปเดินห้างในโตเกียวน่าจะดีกว่า เสียดายว่าเราไปค่ำไปหน่อยร้านเลยเปิดบ้างปิดบ้างประปราย
มาญี่ปุ่นคราวนี้ดวงเรื่องการกินไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เวลาหิวโหยทีไรมักหาร้านอาหารถูกใจไม่เจอ มื้อนี้เราเลยต้องจำใจกิน Mos Burger (มอส เบอร์เกอร์) ความจริงเป็นฉันคนเดียวมากกว่าที่ต้องฝืนใจเพราะเป็นคนไม่ชอบกินอาหารประเภทขยะ (Junk food) แม้ว่าเขาจะพยายามบอกก็ตามว่าเป็นเบอร์เกอร์สุขภาพเพราะมีอาหารครบหมู่ ประกอบด้วยเนื้อสัตว์ชั้นดี ผักสดและทำใหม่สดเสมอ แต่ยังไงก็รู้สึกว่ามีไขมันและน้ำมันเยอะอยู่ดี ด้วยเพราะเป็นเวลาเริ่มดึกแล้วรถเมล์เริ่มแล่นถี่น้อยลง เราต้องยืนขาแข็งและมือแข็งฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บรอรถเบอร์ห้าอยู่นานพอควร กว่าจะกลับถึงโรงแรมก็เล่นเอาหมดแรงเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น