01 สิงหาคม 2555

29. ตรวจ ตำรวจ

     เราผ่านเข้าไปด้านในรั้วซึ่งดูแล้วเหมือนค่ายทหารมากกว่าสนามบิน รถถูกหยุดเพื่อตรวจ
ใต้ท้องอย่างละเอียด ระหว่างนั้นเราต้องลงจากรถเอากระเป๋าผ่านเข้าเครื่องเอ๊กสเรย์รอบแรกและนำกระเป๋าขึ้นรถอีกทีเพื่อเข้าไปยังประตูทางเข้า สนามบิน แต่ก่อนจะผ่านเข้าไปได้ต้องผ่านเครื่องเอ๊กสเรย์อีกรอบ ระหว่างทางที่จะเดินไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินเราถูกเรียกให้กรอก
รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทางยาวเหยียดพร้อมกับตรวจพาสปอร์ต นฐเหลือบไปเห็นตรงบอร์ดว่าเที่ยวบินของเราจะออกในเวลา 11:50 น. ทั้งๆ ที่เวลาจริงคือ 14:40 น. และขณะนั้นเวลา 11:30 น.แล้ว เรางงๆ คิดว่าดูผิดไฟล์ทแต่ก็รีบเดินไปเพื่อเช็คอิน พอไปถึงเคาน์เตอร์เท่านั้นแหล่ะ ทุกคนมะรุมมะตุ้มเราเร่งให้เช็คอินเพราะเราเป็นผู้โดยสาร 3 คนสุดท้ายของเครื่อง หลังจากนั้นเราต้องผ่านด่านอีกหลายด่านมาก ผ่านเอ็กสเรย์ ติดป้ายบนกระเป๋าทุกใบ เซ็นรับรองโดยเจ้าหน้าที่แต่ละด่าน ผ่านการตรวจกระเป๋าสะพายหลายครั้ง จนขั้นตอนสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องของทุกอย่างที่อยู่ในกระเป๋าสะพายถูกเทของออกมากองหมดและตรวจอย่างละเอียด เรามีลิปสติกกี่แท่งยี่ห้ออะไรสีเข้ากับบรัชออนมั้ยพนักงานรู้หมด แม้แต่อาหารกลางวันที่ดินเตรียมมาก็ถูกรื้อค้นทุกกล่อง
     พนักงานหญิงนางหนึ่งหยิบไข่ต้มขึ้นมาจากกล่องอาหารกลางวันแล้วบอกฉันว่า
     “ไข่ต้มนำขึ้นเครื่องไม่ได้”
     “โอเค ไม่เป็นไร” ไข่ต้มใบเดียวท้ิงได้ขอให้ผ่านด่านไปก่อนเถอะ เอ …​ ว่าแต่ว่าไข่ต้มถือเป็นอาวุธชนิดหนึ่งหรือนี่
     “คุณต้องกินให้หมดตรงนี้เพราะเอาไปไม่ได้” เขาย้ำ คงเสียดายไข่ต้มของเรา
     “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่กิน แล้วก็ไม่เอาไปด้วย”
     จะบ้าเหรอ จะให้มายืนกินไข่ต้มต่อหน้าเจ้าหน้าที่สุดโหด คงจะกินลงหรอกนะแล้วอีกอย่างแม่แอร์โฮสเตสสาวที่ตามจี้เราทีละคนให้ขึ้นเครื่องคงได้กินหัวฉันก่อนแน่
      เมื่อผ่านด่านตรวจค้นกระเป๋าแล้วยังต้องวิ่งออกไปด้านนอกสนามบินเพื่อชี้แสดงความเป็นเจ้าของกระเป๋าเดินทางของเรา ก่อนที่จะวิ่งกันตับแทบแลบเพื่อไปให้ทันเวลาเครื่องออก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนเรางงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น สนามบินที่นี่ถือว่าเป็นที่ที่เคร่งครัดที่สุดแล้วตั้งแต่ฉันเคยเดินทางไปที่ไหนๆ มา 
      เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเครื่องถึงบินออกเร็วกว่ากำหนดเกือบ 3 ชั่วโมง ผู้โดยสารคนอื่นรู้ได้ยังไง แล้วถ้าเรามาไม่ทัน และตกเครื่อง เราจะทำยังไง จากความวุ่นวายทั้งหมด ก็ต้องถือว่าเราโชคดีที่เราจะไปถึงเดลลีก่อนเวลาแปลว่าเราจะมีเวลาช้อปป้ิงนานหลายชั่วโมง ฮ่าๆๆ วิญญาณนักช้อปเร่ิมเข้าสิงเมื่อจังหวะการเต้นของหัวใจเร่ิมเป็นปกติ
      ใช้เวลาบินไม่นานเพียงชั่วโมงเศษเราก็ไปถึงเดลลี ฉันเดินออกไปดูด้านหน้าว่าจิมมี่ได้มารอเรารึยัง แต่ไม่มีวี่แวว ฉันเลยโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของเขา ซึ่งเขาเองก็งงว่าทำไมเรามาถึงเร็วนัก แต่เรารอไม่นานเพียงแค่ 40 นาทีเขาก็บึ่งมาถึง
      “พวกคุณอยากไปไหนกัน” เขาถาม
      “Greater Klailash” ฉันตอบสวนไปในทันที ทำหน้าตาเหมือนรู้จักเดลลีในฐานะเพื่อนสนิทแต่จริงๆ แล้วเพราะได้รับคำแนะนำมาจากครูสอนโยคะที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับอินเดียมากว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งใหม่ มีความทันสมัยไม่เหมือนกับร้านแถวๆ ถนนจันปาท (Janpath) ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งเดิมๆ ที่ทัวร์ชอบพาไป
       เขาหันไปบอกคนขับรถแล้วคุยอะไรกันไม่รู้นานสองนาน
       “วันนี้ที่นั่นน่าจะปิดนะครับ” เขาหันมาบอก
       “อ้าวเหรอ ร้านค้ามีปิดด้วยเหรอ แล้วเราจะไปซื้อของที่ไหนล่ะ ฉันอยากไป Fab India กับ Anoukhi”
       ฉันทำหน้าไม่เชื่อคิดว่าเขาหลอกเพราะไม่คุ้นกับการที่ห้างร้านจะปิดวันอังคาร
       “งั้นผมพาคุณไปดูด้วยตาเองแล้วกัน” เขาประชดประชัน
       รถพาเราไปตรง Greater Klailash ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่ปิดจริงๆ เราเลยเซ็งๆ ก็เลยตัดสินใจไปที่ถนนจันปาทเผื่อมีอะไรน่าสนใจ แล้วอีกอย่างฉันอยากแวะไปร้านหนังสือร้านเดิมที่ครั้งที่แล้วเคยไป
       ระหว่างทางที่ขับรถไปนั้น รถค่อนข้างเยอะ คนขับเลยแล่นเลนขวาสุดซึ่งไม่มีรถว่ิงเลย เขาเหยียบเต็มๆ เท้าเพื่อพาเราไปช้อปปิ้ง
       จิมมี่หันมาพูดกับเรา “ดูสิ เขาขับเข้าไปในเลนต้องห้าม”
       ยังไม่ทันที่เราจะพูดอะไร รถถูกหยุดด้วยตำรวจตรงด้านหน้า

      (ข้อความต่อไปนี้ฉันเดาจากภาษามือและภาษากายเพราะยังไม่มีความรู้ภาษาฮินดี)
      “ลดกระจกลง” ตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
      “เอาใบขับขี่และใบอนุญาตมา” เขาพูดต่อ
      “โห จะมาจับอะไรคุณตำรวจ ผมไม่รู้ ไม่ได้ตั้งใจ” คนขับเถียง
      “บอกให้เอาใบอนุญาตมา ดับเครื่องด้วย” ตำรวจคำรามใส่
      “ก็ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้พกมา” เขาเถียงต่อ
      “ถ้าไม่มีล่ะก็โดนโทษหนักแน่ หยิบมาเดี๋ยวนี้เลย” ตำรวจขู่ต่อ
      “#$*&###@@@XXX”
      “***%^$#@#$$%^&**”
      เขาทะเลาะกันเสียงดังอีกหลายประโยค
      ตำรวจทำหน้าโกรธสุดขีดตาโตถมึงทึงเหมือนจะหลุดออกมานอกเบ้า
      เราเริ่มหน้าเสีย ทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่จิมมี่นั่งเงียบ
      ตำรวจยื่นมือเข้ามาที่กุญแจรถ ดับเครื่องยนต์ ไม่ได้สนใจว่ามีนักท่องเที่ยวหน้าขาวนั่งอยู่ด้านหลัง
      ในที่สุดคนขับรถต้องยอมทำตามแต่โดยดีไม่งั้นคงโดนโทษหนักกว่าเดิม เขาหยิบใบทะเบียน ใบอนุญาตต่างๆ จากเก๊ะหน้ารถให้ตำรวจแล้วเดินตามไปที่ป้อมอีกฝั่งหนึ่งของถนน จิมมี่มาทำหน้าที่คนขับแทนโดยพารถไปจอดตรงข้างทางและเดินตามไปสังเกตุการณ์
      ระหว่างนั้นเราก็คุยกันให้เป็นเรื่องขำๆ ไปว่า ประสบการณ์ในอินเดียนั้นมีทุกรูปแบบจริงๆ ได้แต่หวังว่าเราคงไม่ต้องขับรถไปเที่ยวเอง ส่วนเรื่องที่คนขับรถทำผิดนั้นก็เพราะเขาไม่ยอมทำตามกฏเพราะขณะนั้นกำลังมีการแข่งขันคอมมอนเว้ลท์เกมส์ (Commonwealth Game 2010) เขาจึงเว้นช่องทางหนึ่งบนถนนไว้ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเฉพาะได้ใช้เดินทางได้สะดวก เพราะที่เดลลีก็รถติดไม่น้อยหน้ากรุงเทพเหมือนกัน
      หลังทั้งสองกลับมาขึ้นรถพร้อมใบสั่ง ฉันถามจิมมี่ว่าต้องเสียค่าปรับเท่าไหร่ เขาบอกว่า 2,000 รูปี และต้องขึ้นศาลด้วย นับว่าเป็นการโชว์เพา (power) ของตำรวจอินเดียให้เราเห็นเป็นครั้งแรก ดุดัน เด็ดขาด ไม่มีข้อต่อรอง มันต้องยังงี้สิ คนจะได้ไม่กล้าทำผิดแล้วใช้วิธีติดสินบนเพื่อพ้นผิดแบบบางที่ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น