31 กรกฎาคม 2555

28. ลาก่อน บ้านเรือ ชิคาร่า ทะเลสาป

     โทรศัพท์มือถือกรีดเสียงร้องตอนตีห้าครึ่ง จริงๆ ฉันตื่นด้วยเสียงสวดมนต์รอบเช้าตั้งแต่
ตีห้าแล้วแต่ยังอยากซุกตัวนอนใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่นต่ออีกหน่อย ฉันลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาคว้าอุปกรณ์กันหนาวเพียบเตรียมตัวออกไปขึ้นเรือตอน 6 โมงเช้า เพื่อไปดูตลาดน้ำ นฐกับพี่ลีเดินหน้าตางัวเงียสโลสเลเลยเวลานัดไปเล็กน้อย อากาศหนาวเย็นมาก หมอกลงปกคลุมคุ้งน้ำไปทั่ว ไม่มีเรือพายพลุกพล่านเหมือนเช่นเวลาอื่น เป็นภาพบรรยากาศอันเงียบสงบ ถ้าท้องใครร้องหรือเผลอเรอขึ้นมาคงจะได้ยินกันไปทั่ว
     อามินพายเรือชิคาร่ามุ่งหน้าไปยังตลาดน้ำซึ่งอยู่ตรงบริเวณเวิ้งน้ำไม่ไกลจากบ้านเรือของเรานักใช้เวลาพายประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาจอดเรือตรงรอบนอกของบริเวณค้าขายเพื่อให้เราสังเกตุการณ์ ตลาดที่นี่เริ่มตั้งแต่เวลาตีห้ากว่าๆ และวายประมาณ 7 โมงครึ่ง พ่อค้า (เน้นว่าพ่อค้าเท่านั้นไม่มีแม่ค้าให้เห็น) ภายเรือมาจากคนละที่ ต่างขนผักต่างชนิดมาขายให้กัน ส่วนใหญ่ลูกค้าก็เป็นพ่อค้าด้วยกัน มีชาวบ้านบ้างหรือไม่ก็พนักงานโรงแรมที่ซื้อไปทำอาหารให้ลูกค้า เรือลำหนึ่งแล่นเข้าไปประชิดเรืออีกลำเพื่อเลือกซื้อผักที่ต้องการ เมื่อได้ของแล้วเขาก็ 
จากไปเพื่อเลือกซื้อผักชนิดอื่นที่มีอยู่หลากหลายชนิด หัวไชเท้า หัวหอม ผักใบเขียวชนิดต่างๆ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ขายแบบขายส่ง มัดไว้กองใหญ่ ดูแล้วก็คล้ายๆ สภากาแฟตอนเช้าเพราะนอกจากเค้าจะแลกเปลี่ยนผักกับเงินแล้วเขายังแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ คุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ ใครบอกว่าผู้หญิงช่่างเม้าท์ช่างนินทาฉันว่าผู้ชายก็พอๆ กันนั่นแหล่ะ เผลอๆ อาจจะ
นำ้ลายแตกฟองกว่าด้วยซ้ำ บ้างก็ใส่อารมณ์จนนึกว่าทะเลาะกัน บ้างก็หัวเราะร่าเหมือนว่าได้ฟังเรื่องราวแสนขำ บ้างก็หน้าเคร่งเครียดคงเพราะได้รับรู้เรื่องราวแสนเศร้า
     มนุษย์ก็เป็นสัตว์สังคมนี่นะ ต้องอยู่ร่วมกัน พบปะแลกเปลี่ยนเรื่องราวอะไรต่างๆ ในชีวิตเพื่อให้มีรสชาติ แบ่งปัน ให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าจะเก็บปัญหาหนักอกเอาไว้คนเดียวคงอกแตกตาย







     เรานั่งดูกิจกรรมยามเช้าของชาวถิ่นอยู่พักหนึ่งก็กลับไปที่บ้านเรือ ที่ซึ่งมีพร้อมทุกอย่าง
ไม่ต้องหยิบจับทำอะไรมีคนคอยบริการพร้อม ไม่ต้องหุงหาอาหารเพราะได้รับการจัดเตรียม
ไว้เรียบร้อย มีมากเกินความจำเป็นซะอีก เมื่อนั่งคิดดูว่ายังมีคนอดอยากอีกมากมายก็นึกเสียดายอาหารที่กินเหลือ แต่ถ้าเราไม่มา คนขายก็ไม่มีรายได้ พ่อครัวก็ไม่มีงานทำ เกษตรกรก็ไม่รู้จะปลูกผักให้ใครกิน เป็นวงจรการใช้ชีวิตแบบพึ่งพากัน
     เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยฉันนั่งเขียนบันทึกที่หน้าบ้าน ฟังเพลงเบาๆ และสัมผัสบรรยากาศรอบข้างเพื่อจดจำภาพสุดท้ายของแคชเมียร์ไว้ อีกเพียง 24 ชั่วโมง เราก็จะกลับไปสู่ชีวิตปกติแล้ว ที่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างทันสมัย ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและเร่งรัด ทุกเรื่องถูกตกลงกันด้วยคำผูกมัดไม่ใช่คำสัญญาจากใจ ต่างคนต่างอยู่ต่างใช้ชีวิตแม้แต่เพื่อนข้างบ้าน
ยังไม่รู้จักชื่อกัน
     เมื่อเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมออกเดินทาง ฉันเรียกอามินเข้าไปที่ห้องและยื่นของให้กับเขา เป็นของใช้ส่วนตัวที่ยังไม่หมดดี คิดว่าคงช่วยเขาประหยัดได้นิดหน่อย และมีอุปกรณ์
กันหนาว หมวกไหมพรม ถุงมือ ถุงเท้า ฝากไปให้น้องสาวเขา คิดว่านานทีปีหนเฉพาะเวลาที่เดินทางไปประเทศหนาวๆ ฉันถึงจะได้ใช้ของพวกนี้ แต่มันเป็นส่ิงจำเป็นที่เขาสามารถใช้ได้
ทุกวันในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ฉันยังสามารถไปหาซื้อใหม่ได้ แต่เงินของเขาต้องเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น เผื่อไว้เวลาที่ไม่มีรายได้เข้ามา นฐยกกางเกงตัวหนึ่งให้เขา ส่วนพี่ลีก็ยกเสื้อของเธอ 3 ตัว ฝากให้น้องสาวเขาเช่นกัน ดูเขาดีใจมากและพูดว่า
     “ผมขอบคุณพระเจ้าที่ประทานสิ่งดีๆ ให้ผม”
     เขาเป็นคนค่อนข้างศรัทธาในศาสนามาก
     เราออกเดินทางจากบ้านเรือตอน 10 โมงครึ่ง และไปถึงสนามบินโดยใช้เวลาไม่นานนัก เมื่อถึงด้านหน้าทางเข้ามีรั้วปิดอย่างหนาแน่น มีทหารมากมาย ดีนต้องลงจากรถเพราะเขาอนุญาตให้เฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน เราจึงร่ำลาเขา ณ ตรงนั้น ดูเขาเศร้าๆ นิดหน่อย อาจเป็นเพราะหลายวันที่ผ่านมานั้นเขาได้พูดคุยเรื่องราวมากมายกับพี่ลี ทั้งสองดูจะถูกอัธยาศัยกันดีเลยรู้สึกสนิทสนมพอถึงเวลาจากก็ใจหายเป็นธรรมดา ขนาดฉันไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขามากมายก็ยังอดใจหายไม่ได้
     มีคนเคยบอกว่าเวลาเดินทางนั้นนักท่องเที่ยวมักมีอารมณ์อ่อนไหวและหวั่นไหวมากกว่าปกติ ฉันว่าน่าจะจริงทีเดียวเพราะทุกคน ทุกเรื่อง ทุกที่ที่ไปนั้นเป็นเรื่องใหม่ในชีวิตและถูกประดิษฐ์ประดอยมาแล้วให้สวยงามน่าค้นหาและอยากเข้าไปสัมผัส ทุกเรื่องราวจึงมักทำให้เราประทับใจเสมอคล้ายภาพในความฝัน บางทีอาจทำให้เราเผลอใจเลือกมองแต่ด้านดีๆ และคาดหวังไปเองว่าส่ิงนั้นหรือคนนั้นเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น ไม่มีเวลาที่จะมองเข้าไปลึกๆ ถึง
ฐาตุแท้หรือเผื่อใจไว้สำหรับด้านไม่ดี  แต่มันก็ไม่ได้ผิดอะไรหากเราเลือกที่จะเผลอใจไปกับภาพฝันตรงหน้านั้นเพราะช่วงเวลาแห่งความฝันมักมีจำกัด เมื่อตื่นมาชีวิตก็ต้องกลับไปสู่สภาพของความเป็นจริง ส่ิงที่สำคัญคืออย่าไปยึดติดและอยากให้ภาพนั้นกลายเป็นภาพจริง เพราะถ้ามันไม่เป็นแบบที่เราคาดหวังไว้มันก็จะกลายเป็นภาพหลอนวนเวียนอยู่ในใจเราจนถอนตัวไม่ขึ้น
     เราต้องถือคติที่ว่ามีพบก็ต้องมีจากแต่ต้องจากกันด้วยดี เพื่อที่ว่าเมื่อเวลาที่เรานึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ณ​ เวลานั้นๆ เราจะได้มีรอยยิ้มให้กับมันได้เสมอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น