15 กรกฎาคม 2555

15. พันธนาการของชีวิต

     เรานั่งรถกลับเข้าเลห์ ไปถึงโรงแรมไม่เย็นมากนัก พบกระดาษโน๊ตฝากไว้ที่เคาน์เตอร์โรงแรมความว่า
     “ผมจะไปนั่งทำงานที่เจดีย์สันติภาพ แล้วเจอกันตอนทานอาหารเย็นนะครับ”
     นฐฝากข้อความไว้เพราะคิดว่าเราคงกลับมาเย็นมากและคงไม่เจอกัน
     ฉันมองหน้ากับพี่ลี ต่างคนต่างเดาอารมณ์ของนฐกันว่าจะสงบลงรึยัง มีเวลาเหลืออีกเยอะกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น ฉันจึงชักชวนพี่ลีให้เดินไปกินขนมกันที่ร้าน “จีวัน” (Jeevan) ร้าน
เบเกอรี่ย่านจังสปาที่ไกด์บุ๊คเล่มหนึ่งแนะนำ โดยถามไถ่ทางไปจากนัมเกลเรียบร้อย
     เมื่อเก็บของที่ห้องเสร็จและกำลังจะออกเดินทางก็เจอนฐกลับมาที่โรงแรมพอดี
     “เป็นไงบ้าง” เราถามเขา
     “ก็โอเคแล้วพี่ พอทำใจได้แล้ว ผมอยู่คนเดียวมาสองวันก็เลยได้คิดอะไรเยอะแยะ ได้นั่งทำงานด้วย งานที่ตั้งใจไว้เสร็จหมดแล้ว” ท่าทางเขาไม่ค่อยหงุดหงิดเหมือนเมื่อวันก่อนแล้ว
     ทุกอย่างย่อมมีทั้งด้านแย่และด้านดีเสมอ ไม่มีอะไรดีหรือเลวไปทั้งหมดหรอกถ้าเราเลือกมองจากมุมอื่นๆ ดูบ้าง
      “แล้วทางทัวร์เค้าช่วยเหลือดีมั้ย” ฉันถามต่อ
      “โห ดีมากเลยพี่ ชาบีร์นะเอาเงินให้ผมยืมก่อนเลย เขาบอกว่าจะเอาเท่าไหร่ก็ได้เดี๋ยวกลับไปถึงกรุงเทพแล้วค่อยส่งคืนมา” 
      “โชคดีจัง เห็นมั้ยว่าในความโชคร้ายมันก็ต้องมีเรื่องโชคดีบ้างล่ะน่า”
      “ตอนแรกผมก็จะกลับแล้วล่ะ แต่พอให้เขาเช็คตั๋วเครื่องบินปรากฏว่าต้องจ่ายเงินเพ่ิมอีก 12,000 รูปี ผมเลยว่าไม่ไหว อยู่ต่อดีกว่า”
       บางทีเราก็ต้องปล่อยให้แต่ละคนเผชิญโชคชะตา เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียด้วยตัวเอง แล้วเขาจะสามารถตัดสินใจได้ว่าควรทำอะไรหรือตัดสินใจอย่างไร ควรใช้เหตุผลก่อนอารมณ์หรือไม่
       เราออกเดินเพื่อไปส่งโปสการ์ดที่ไปรษณีย์ของเลห์ซึ่งอยู่ตรงแถวๆ ตลาดในเมือง ค่าส่งโปสการ์ดนั้นราคาแผ่นละ 12 รูปี สามารถส่งได้ทั่วโลกแต่จะไปถึงเมื่อไหร่นั้นก็อีกเรื่องนึง (ขณะที่ฉันเขียนเรื่องอยู่นี้เวลาผ่านไปกว่าสองอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าโปสการ์ดจะเดินทางมาถึงเมืองไทย แต่สำหรับเพื่อนที่ฝรั่งเศสได้รับโปสการ์ดของฉันมาหลายวันแล้ว คิดว่าต้องมาเรียนเรื่องแผนที่โลกใหม่อีกที ฉันอาจเข้าใจผิดไปเองว่าเมืองไทยใกล้กับอินเดียมากกว่ายุโรป)


     หลังจากนั้นนฐขอแวะไปหาชาบีร์ที่บริษัทเขาซึ่งอยู่ตรงกลางเมือง อยากไปสะสางเรื่อง
หนี้สินก่อน เกรงว่าเขาจะคิดว่าเราเชิดเงินหนีไป เรารอเขาอยู่พักใหญ่เนื่องจากเขาไปธนาคาร
ก็เลยถือโอกาสเดินเล่นแถวๆ นั้นอีกรอบหนึ่ง ไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านชาวเมืองก่อนที่จะต้องจากลาไปในวันรุ่งขึ้น คิดๆ ไปก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็ว
     ละแวกในตรอกด้านในนั้นมีร้านรวงที่ขายของแบบชาวบ้านๆ ซื้อกัน ประเภทอาหารการกิน ขนมปัง ของใช้จำเป็น มีชาวพื้นเมืองเดินกันขวักไขว่ อีกไม่นานนักตรงนั้นก็จะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ซึ่งได้เริ่มๆ โครงสร้างไปบ้างแล้ว ไม่แน่ว่าครั้งหน้าที่กลับมาที่นี่อาจเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวชมก็เป็นได้




     “ชาบีร์ คุณให้เงินผมมา 2,000 รูปีรวมกับค่ารถอีก 3,500 รูปี ก็เป็น 5,500 รูปี เอางี้มั้ยเดี๋ยวคุณให้ผมเพิ่มให้ครบเป็น 12,600 รูปี หรือ 300 ดอลล่าห์ ผมจะได้ส่งมาคืนเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียว” นฐบอกกับชาบีร์
     “ไม่มีปัญหา” เขาเร่ิมนับเงินในมือซึ่งมีจำนวนค่อนข้างมาก เดาว่าบริษัทเขาน่าจะสร้าง
รายได้ได้ดีทีเดียว
     ฉันออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมคนที่นี่ใจดีนัก เชื่อใจคนง่ายขนาดนี้เลยเชียวเหรอ ถ้าเป็นชาวกรุงเทพอย่างเรา คงไม่ให้เงินกันง่ายๆ อาจจะต้องมีเอกสารเซ็นรับรองหรืออะไร
ซักอย่างให้มั่นใจว่าจะได้เงินคืน เราถูกปลูกฝังมาแบบนั้น แต่คนที่นี่เขาอยู่กันด้วยคำมั่นสัญญา
     เราออกเดินไปที่ร้านจีวันโดยนฐจะขอแยกตัวไปหาเพื่อนที่พบกันที่ร้านอินเตอร์เน็ตเมื่อเช้านี้ เขาอยากไปนั่งสงบๆ ที่เจดีย์สันติภาพ ส่วนฉันกับพี่ลีมุ่งหน้าเดินต่อไป ย่านจังสปาอยู่ไกลออกไปจากละแวกโรงแรมเราพอสมควร แต่จะเป็นไรไป เราควรมีเวลานั่งสบายๆ บ้าง หลายวันที่ผ่านมาเราไม่ได้อยู่กับที่นานๆ เลย ทุกเช้าต้องรีบตื่น รีบทานข้าว รีบออกเดินทาง เพราะเกรงว่าจะไปถึงจุดหมายช้าเกินไป ถ้าฉันได้กลับมาที่เลห์อีก ฉันจะมาอยู่เฉยๆ โดยไม่ไปไหนเลย อยากสัมผัสบรรยากาศการใช้ชีวิตของคนที่นี่ อยากใช้เวลาช้าๆ ในการนั่งดูคน พูดคุยกับชาวพื้นเมือง เดินเรื่อยเปื่อยไปตามตรอกซอกซอยที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว เมืองแบบนี้เสน่ห์มันอยู่ที่วิถีชีวิตแบบที่แตกต่างจากเรา แบบที่ไม่มีความทันสมัยใดๆ อยู่อย่างพึ่งพาธรรมชาติ ความรู้นั้นอยู่ในทุกที่ อยู่ที่ว่าใครจะเห็นค่าของแต่ละสิ่งและตักตวงได้มากน้อยแค่ไหน
     ละแวกจังสปาตอนนี้ช่างเงียบเหงาไร้เงาผู้คน นักท่องเที่ยวบางตา ร้านรวงต่างปิดเงียบเชียบ แต่ฉันสามารถนึกภาพได้ถึงช่วงเวลาของฤดูกาลท่องเที่ยว ถนนนี้คงเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ ร้านรวงเปิดกันคึกคักพร้อมต้อนรับแขกต่างถิ่น ต่างคนต่างก็พากันมาแลกเปลี่ยนความต้องการของตัวเอง นักท่องเที่ยวใช้เงินเพื่อมาพบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และวัฒนธรรมโบราณ ส่วนคนท้องถิ่นก็ผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ในช่วงที่เงินแพร่สะพัด
     ในที่สุดเราก็เจอร้านจีวัน ซึ่งเป็นทั้งร้านอาหารและเบเกอรี่ มีขนมเค้กหลากหลายเมนูให้เลือกทาน ขนาดของร้านไม่ใหญ่โตแต่น่านั่ง ภายในร้านด้านล่างมีมุมหนังสือให้อ่านเล่น ด้านบนเป็นดาดฟ้าให้รับลม อาบแดดและชมวิว บรรยากาศร้านนั้นเหมาะกับการนั่งสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อนเหมือนเช่นเราในวันนี้ เราสั่งขนมเค้กมาแบ่งกันนั่งกินละเลียดพร้อมเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซักพักนฐก็เดินตามมาพร้อมกับเพื่อนใหม่ชาวนิวยอร์ก เขาตัดสินใจไม่ไปที่เจดีย์สันติภาพเพราะขี้เกียจเลยมานั่งเอื่อยๆ กับเราแทน ฉันตั้งข้อสังเกตุว่านักเดินทางทุกคนนั้นมีคุณสมบัติของการออกค้นหาอะไรบางอย่าง อย่างพ่อหนุ่มคนนี้เขาเป็นดีไซน์เนอร์อยู่ที่นิวยอร์กดีๆ วันนึงก็เกิดเบื่อชีวิตจึงตัดสินใจออกเดินทางและเปลี่ยนอาชีพของตัวเอง ความเคยชินกับอะไรนานๆ มักจะก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่สามารถหาจุดมุ่่งหมายให้กับชีวิตได้อีกต่อไป



     

     

     สำหรับเราในการมาครั้งนี้ก็มีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไป
     นฐมาอินเดียครั้งแรกเพราะอยากท้าทายความคิดตัวเองที่ว่า “ผมไม่เคยคิดที่จะไปอินเดียเลย ผมไม่เคยนึกภาพตัวเองเดินทางที่อินเดียเลย”
     ส่วนพี่ลีฉกฉวยโอกาสนี้เพราะที่นี่มายากและคนที่จะมาด้วยนั้นแทบหาไม่ได้เลย
     ดูเหมือนใครๆ ก็เบือนหน้าหนีคำว่า “อินเดีย” กันหมด ทั้งๆ ที่เค้ารู้จักอินเดียกันน้อยมาก บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลาดัคห์อยู่ที่ไหนบนแผนที่โลก มันไม่ยุติธรรมเลยซักนิด มันเหมือนเวลาที่คนเราตัดสินว่าคนๆ หนึ่งนิสัยใจคอเป็นยังไงจากนามสกุลหรือจากคำบอกเล่าของคนที่ไม่ได้สนิทสนมกับคนๆ นั้นเลย แทนที่จะสัมผัสและซึบซับเขาด้วยตัวเอง
     สำหรับฉันการมาเลห์นั้นเป็นหนึ่งในส่ิงที่ต้องทำในชีวิต ถ้าฉันไม่ได้มาที่นี่ชีวิตฉันคงไม่สมบูรณ์แบบ จุดมุ่งหมายของชีวิตฉันก็คือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้ไปในที่ๆ อยากไป มีอิสระที่จะเลือกทำเลือกคิดได้อย่างที่ใจต้องการ และระหว่างการเดินทางนั้นฉันก็ได้ปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเอง เปลือยพันธนาการต่างๆ ในชีวิตที่มัดฉันไว้ … ให้ตัวตนของฉันได้เป็นอิสระอีกครั้ง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น