26 กรกฎาคม 2555

25. มัสยิด เปเปอร์มาเช่ บาบา

     ขากลับเราแวะมัสยิดอีก 2 ที่ ที่แรกคือ “จามา มัสยิด” (Jama Masjid) ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า มีขนาดค่อนข้างใหญ่โตโอ่โถง มีประตูทางเข้า 4 ทิศ สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 
ถ้ามองจากมุมด้านบนก็จะมีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่เว้นที่ตรงกลางให้กับสวนและน้ำพุ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมด้านในได้ สถาปัตยกรรมค่อนข้างสวยงามละเอียดอ่อน 
มีเสาไม้ถึง 370 ต้นโดยรอบ และภายในปูด้วยพรมเล็กๆ ต่อกันเพื่อให้ผู้คนได้มาสวดมนต์ โดยหันหน้าไปทางทิศที่เมกกะอยู่ ในวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่ชาวมุสลิมมาสวดมนต์นั้นก็จะแน่นไปด้วยผู้คนท้องถ่ิน แต่วันที่เราไปมีเพียงไม่กี่คนที่มาทำพิธี หลังจากนั้นดีนพาเราไปเดินตลาดที่อยู่รอบๆ มัสยิด ซึ่งมีของขายมากมายและแทบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัว ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า อาหารการกิน ฯลฯ ตลาดนี้เป็นตลาดของคนท้องถิ่นเพราะฉะนั้นราคาของก็จะ
ไม่แพง และเราสามารถเดินกระทบไหล่กับชาวบ้านที่นี่ได้อย่างใกล้ชิด








     มัสยิดสีเขียว (Green Masjid หรือ Shah Hamdan) นั้นถูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลังโดยไม่ใช้ตะปูเลย สถาปัตยกรรมนั้นสวยงามมากๆ สีสันสดใส มีกระเบื้องเพ้นท์ลายดอกไม้ตกแต่งโดยรอบบริเวณ เราได้รับอนุญาตให้เดินดูแต่เพียงภายนอกเท่านั้น เพราะคนที่ไม่ใช่มุสลิมไม่มีสิทธิ์เข้าไปด้านในรวมไปถึงผู้หญิง ว่ากันว่าบริเวณเพดานและกำแพงนั้นทำจาก Papier Mache หรือกระดาษที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนแข็งและเพ้นท์ลายสวยงาม เคยเห็นรูปจากเว็บไซต์ และอยากสัมผัสความงามที่ละเอียดอ่อนแต่ไม่นึกว่าจะถูกกีดกัน ฉันรู้สึกชื่นชมในความงามบางอย่างแต่ก็ไม่ชื่นชอบการแบ่งแยกเพศของที่นี่ ระหว่างที่ยืนชื่นชมลายผนังและกำแพงนั้น
ฉันเห็นหญิงชาวมุสลิมเดินไปด้านหน้าประตูทางเข้าและลูบๆ ขอบประตูเอามาลูบหัวและกราบไหว้ ชะเง้อมองเข้าไปด้านในแต่ไม่มีโอกาสเข้าในขณะที่ผู้ชายสามารถเดินผ่านเข้าไปได้อย่างฉลุย ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงต้องแบ่งแยกขนาดนั้น ฉันเชื่อว่าผู้หญิงก็มีศรัทธาในศาสนาพอๆ กับผู้ชาย เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเพศหญิงเป็นเพศที่ต้องยอมทนกับความไม่เสมอภาคหลายๆ อย่าง ถ้าเขาไม่ทำไปด้วยความเชื่อและใจศรัทธาแล้วเขาจะทำไปเพื่ออะไร ฉันเก็บความข้องใจนั้นไว้กับตัวและกะว่าจะหาโอกาสเหมาะๆ ถามจากดีน






     จุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้คือบ้านเรือซึ่งเมื่อเรากลับเข้าไปแล้วก็แปลว่าเราจะไม่ไปไหนอีก นอกซะจากพายเรือเล่นอยู่ในทะเลสาปดาล รู้สึกเหมือนเป็นเด็กโรงเรียนประจำ
ไปไหนต้องขออนุญาตครูใหญ่ก่อน แต่เพื่อเป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่า ฉันกับนฐขอแวะร้านอินเตอร์เน็ตเหมือนเช่นเคยส่วนพี่ลีกับดีนไปเดินเล่นแถวๆ ถนนบูลเลอร์วาร์ดแก้เบื่อ โดยเรานัดแนะเวลาไปเจอกันที่เรือชิคาร่าเมื่อทุกคนเสร็จธุระของตัวเอง ดูเหมือนพี่ลีจะพูดคุยถูกคอกับดีนมากกว่าใคร คนบางคนก็สื่อถึงกันได้ง่ายกว่าคนอื่นคล้ายว่าจูนคลื่นตรงกัน ฉันว่าการจะเข้าถึงใจใครได้นั้นคงต้องลองเปิดตัวเองเปิดใจให้กว้าง รับฟังความคิดเห็นความรู้สึกของคนนั้นๆ ก่อน ถ้าเรื่องที่พูดคุยนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนคนนั้นหรือมีความคิดอ่านความชอบคล้ายๆ กันก็ทำให้ต่อกันติดได้ง่าย ไม่น่าเชื่อว่าดีนจะอายุไม่ถึง 40 ปี เพราะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกที่หนวดเคราเฟิ้มประกอบกับริ้วรอยของความตรากตรำบนใบหน้าเราจึงเผลอเรียกเขาว่าลุงตั้งแต่แรกพบ
     ระหว่างทางก่อนจะกลับไปบ้านเรือดีนถามเราว่าอยากไปดูร้าน Papier Mache รึเปล่า คงไม่กล้าผลีผลามพาเราไปโดยไม่บอกเพราะคงกลัวฤทธิ์เดชของเรา ฉันคิดว่าจะไปหาซื้อของฝากที่นั่นเพราะยังไม่มีอะไรติดมือกลับบ้านเลย ร้านนี้ตั้งอยู่อีกคุ้งน้ำนึงแต่ไม่ไกลจากคริสตัล
พาเลสนัก เป็นโชว์รูมขนาดไม่ใหญ่โต เจ้าของออกมาต้อนรับเราถึงท่าเรือด้วยตัวเองและพาขึ้นไปยังชั้นสองที่ตั้งโชว์ผลิตภัณฑ์จากกระดาษหลากหลายรูปแบบระรานตา 
     ก่อนอื่นเขาขอสาธิตวิธีการทำก่อนเพื่อสร้างความประทับใจ
     ขั้นแรกนำเศษกระดาษมาแช่น้ำและนำไปปะบนแม่พิมพ์ ซึ่งจะเป็นรูปอะไรก็แล้วแต่ เช่นกล่อง แจกัน ช้าง ที่ใส่จดหมาย ฯลฯ ทำซ้ำๆ หลายชั้นมากเพื่อให้แข็งไม่แตกหักได้ง่าย
     ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปตากแดดให้แห้งสนิทและใช้ค้อนทุบๆๆ ให้เนื้อแน่นจะได้แข็งแรงไม่บอบบาง
     แล้วก็ถึงขั้นตอนการลงสี โดยเร่ิมจากวาดลวดลายที่ต้องการโดยวิธี free hand แล้วจึงลงสี วิธีการวาดแบบนี้ทำให้ของแต่ละชิ้นมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่มีช้ินไหนเหมือนกับชิ้นไหนแม้จะเป็นลายและสีเดียวกัน
     ต่อไปก็ปิดด้วยทองคำเปลวชนิดเดียวกับที่เราใช้ปิดทองที่พระพุทธรูป
     ขั้นตอนสุดท้ายคือลงแลคเกอร์ชนิดมันเคลือบให้สีไม่ลอก
     โหกว่าจะได้แต่ละช้ินใช้เวลาประมาณ 3 วัน เห็นแบบนี้แล้วเราเลยเห็นคุณค่าของแต่ละชิ้นมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว


     ขั้นตอนเสริมสุดท้ายท้ายสุดก็คือการเดินเลือกซื้อช้ินที่ถูกใจ คุณลุงเจ้าของร้านปล่อยให้เราเลือกลงตะกร้าใครตะกร้ามัน พร้อมข้อเสนอน่าสนใจคือลด 15% ระหว่างนั้นมีคุณลุงที่เป็นพนักงานห่อของพยายามที่จะหยิบชิ้นโน้นชิ้นนี้มาให้ฉัน เห็นฉันเลือกของช้ินไหนแกก็ไปเลือกของชนิดอื่นที่เป็นลายเดียวกันมาให้ ฉันรู้สึกว่าแกน่ารักดีเหมือนอยากมีส่วนร่วม แต่ฉันก็แอบเอาของกลับไปวางไว้ที่เดิมโดยไม่ให้แกเห็นกลัวจะเสียใจ หารู้ไม่ว่าเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้วแกะของออกดูกลับมีช้างเป็นของกำนัลเพ่ิมมาอีกหนึ่งตัว สงสัยแกคงถูกชะตากับฉันล่ะมังเลยแอบให้ของขวัญ ยังนึกถึงหน้าอมยิ้มของแกได้ชัดเจนเหมือนพยายามจะบอกอะไรกับฉันแต่ก็ต้องระวังไม่ให้เจ้าของร้านเห็น
     เราได้ของกันคนละเกือบสิบชิ้นเพราะราคาไม่แพงและมีคุณภาพดีลวดลายสวยงามเหมาะกับการเป็นของฝากสร้างความประทับใจให้ผู้รับ ผลิตภัณฑ์ของที่นี่มีให้เลือกค่อนข้างจะเยอะ และมีหลายรูปแบบ หลายลาย หลายสีให้เลือกหา คงต้องมีชิ้นไหนที่ถูกใจคุณกันบ้างล่ะน่ะ



     ระหว่างทางกลับบ้านเรือมีเรือของพ่อค้ามาเทียบเรือเราแบบประชิดตัวพร้อมกับขนเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ สร้อยคือมือ จี้ แหวน อ้างว่าทำจากเงินและหินมีค่า เขาหยิบขึ้นมาแล้วก็มาพาดไว้กับตักฉันบ้าง สวมใส่ในมือฉันบ้าง
     ฉันพยายามปฏิเสธแบบสุภาพ “ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ”
     “ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ ผมมีแบบอื่นอีก นี่ไง” พูดไปก็หยิบของชิ้นใหม่ๆ ออกมาพาดขาฉันเต็มไปหมด
     “ไม่เป็นไร ฉันไม่ชอบใส่เครื่องประดับ เห็นมั้ยว่าในตัวฉันไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย ฉันเป็นคนจนไม่มีเงินซื้อของพวกนี้หรอก”
     “ผมขายให้ถูกๆ เลยนะ เส้นนี้ 10 ดอลล่าห์ อันนี้ 5 ดอลล่าห์”
     ฉันหยิบสร้อยทั้งหมดและยื่นคืนไปให้เขา
      “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
      “ไม่เป็นไรได้ไง ผมขายอะไรไม่ได้เลย” เขาเริ่มทำเสียงขุ่นเคือง ทำหน้ารันทด
      “ก็ฉันไม่ต้องการของพวกนี้นี่นา”
      “คุณอยากได้อะไรบอกมาเลยเดี๋ยวผมขายให้ถูกๆ”
      “ฉันต้องการอะไรน่ะเหรอ ฉันต้องการความสงบและสันติภาพค่ะ” ฉันตอบ หวังใจว่าเขาจะเข้าใจและยอมแพ้
      แต่ไม่ ... เขายังดึงดันต่อไป หยิบนู่่นหยิบนี่ขึ้นมาโชว์จะให้ฉันซื้อให้ได้
      ฉันเลยงัดมุกเด็ดของวันนี้ที่เพิ่งคิดได้สดๆ
      “ฉันปวดหัวมากเลยเนี่ย สงสัยว่าฉันจะต้องแวะไปหาบาบาซะแล้ว”
      เมื่อฉันเอ่ยชื่อบาบาเหมือนเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เขายอมหยุดและจากไป
      บาบาเป็นผู้ที่คนที่นั่นให้ความเคารพนับถือ ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พ่อมด ไม่ใช่หมอดู แต่เป็นผู้ซึ่งมีความสามารถพิเศษในการรักษาอาการป่วยของคนไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร ลักษณะของบาบา
ที่ทะเลสาปดาลนั้นไว้ผมสั้นเกรียนทรงสกินเฮด แต่งตัวด้วยชุดพื้นเมืองสีขาว ดูเคร่งขรึม และดูเหมือนว่าคนทั้งทะเลสาปให้ความเคารพนับถือบาบาอย่างมาก อามิน (Amin) พนักงานพายเรือชิคาร่าของบ้านเรือเล่าให้ฟังว่าบางทีมีผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคปวดท้องแต่ไม่ทราบสาเหตุ 
พอไปปรึกษาท่านบาบาท่านก็เขียนอะไรบางอย่างในกระดาษและขยำใส่ลงไปในเหยือกน้ำ 
เมื่อผู้หญิงคนนั้นดื่มเข้าไปก็หายจากอาการ เขาบอกว่าอาการจะหายหรือไม่นั้นอยู่ที่ความเชื่อของบุคคลนั้นๆ ด้วย
     เสียดายเราไม่มีเวลาไม่งั้นฉันเองก็อยากแวะไปพบบาบาเหมือนกันเพราะเขาอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรือของเราเท่าไหร่ ไม่แน่นะฉันอาจจะหายจากอาการบ้าๆ บอๆ ก็ได้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น