09 กรกฎาคม 2555

9. ความรักมีจริงรึเปล่า ?

ฉันยังไม่เคยไปปิคนิคที่ทะเลสาปที่ไหนมาก่อนเลย การจะได้ไปทะเลสาปพันกอง (Pangong) ก็เลยเป็นเรื่องตื่นเต้น
วันนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่เพราะทะเลสาปพันกองอยู่ห่างจากเลห์โดยนั่งรถไปประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง                 
“สวัสดีนัมเกล” ฉันทักทายเขา 
นัมเกลมายืนรอเราที่รถตรงเวลาเหมือนเช่นเคย เขาตอบรับฉันแต่ทำหน้าตาดูกังวลยังไงพิลึก
“สวัสดีครับ เอ่อ คุณมีเสื้อแจ็คเก๊ตที่หนากว่านี้มั้ย ผมว่าติดไปหน่อยดีกว่า”
            เขาคงเห็นว่าฉันใส่แค่เสื้อแขนยาวและมีเสื้อด้านนอกอีกตัวที่ไม่มีแขน แต่จริงๆ ฉันใส่เสื้อกล้ามไว้ด้านในอีกตัว นอกจากนี้ยังมีผ้าคลุมไหล่อีกหนึ่งผืน แต่ขนาดชาวพื้นเมืองทักขนาดนี้ ฉันว่ามันคงต้องหนาวมากแน่ๆ เลยกลับไปเอาเสื้อหนาวอีกตัวมาเผื่อไว้
           “ที่ทะเลสาปพันกองสูงกว่าหรือต่ำกว่าเลห์นะ” ฉันถามเขาต่อ
           “ต่ำกว่าครับ แต่ระหว่างทางไปเราต้องผ่านที่สูงมาก”
           นัมเกลยังคงสวมเสื้อยืดคอกลมและเส้ือเชิ๊ตทับอีกตัว ความหนาของเสื้อทั้งสองนั้นบางกว่าเสื้อฉันมาก
           “คุณไม่รู้สึกหนาวเลยเหรอ”
           “เฉยๆ ครับ”
           “แล้วหน้าหนาวแต่งตัวยังไง”
           “ก็มีเสื้อหนาวเพิ่มอีกตัวนึงก็พอแล้วครับ ผมชินแล้ว”
           ถ้าฉันอยู่ที่นี่ตอนหน้าหนาวคงกลายเป็นสโนว์เกิร์ลแหงๆ                    
           เมื่อรถออกเดินทางไปได้ซักพัก นฐหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเพื่อถ่ายวิวข้างทางแต่ใช้การไม่ได้เพราะเขาลืมแบตเตอรี่ไว้ที่โรงแรม เราต้องขับรถย้อนกลับไปใหม่ มันเหมือนเป็นลางไม่ดีอะไรซักอย่าง เมื่อไปถึงโรงแรมฉันถือโอกาสลงไปเข้าห้องน้ำด้วยเลยเหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์เขาตกอยู่บนพื้น เชื่อว่าเขายังพอมีโชคอยู่บ้าง
            เราออกเดินทางครั้งใหม่ด้วยใจจดจ่อ เมื่อผ่านมาได้ซักพักการเดินทางก็ต้องสะดุดหยุดลง ไม่ใช่มีใครลืมอุปกรณ์ใดๆ แต่หากเป็นเพราะว่ามีรถขนรถแทรกเตอร์มาจอดขวางถนนไว้ทั้งสาย เราจึงต้องหยุดรอครู่ใหญ่ ฉันเริ่มคิดว่าวันนี้คงเป็น “วันสะดุดแห่งชาติ” แน่ๆ บางทีก็คิดไปเองว่าอะไรที่มาหยุดเราไว้จากการเดินทางนั้นเป็นเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต คิดไปเองว่าถ้ารถไม่หยุด แต่เดินทางต่อไปเราอาจจะเจอรถพุ่งชนตรงด้านหน้าหรือเกิดเหตุไม่ดีอะไรซักอย่างหนึ่ง ทุกย่างก้าวของชีวิตนั้นก็เหมือนเป็นการเลือกเส้นทาง เลือกเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาสิ่งที่พบเจอย่อมแตกต่างแม้จะมีจุดหมายเดียวกัน
วันนี้เราจะเดินทางผ่าน Changla Pass ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของถนนสายที่จะพาเราไปทะเลสาปพันกอง สูงถึง 5,360 เมตร โห…คงตื่นเต้นน่าดู ใช่ ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนหลับทั้งสามคน ไม่รู้เพราะตื่นเช้าไปหรือเพราะอากาศที่มีออกซิเจนน้อย แรกๆ ก็ตื่นตากับวิวข้างทางที่มีเพียงภูเขาสูงใหญ่ตระหง่านจรดฟ้าใสเป็นฉาก ตื่นตัวกับความทรหดของรถที่ค่อยๆ ไต่เขาขึ้นไปทีละนิด ทีละนิดบนถนนที่มีเพียงแค่เลนเดียวถูกตัดไปบนภูเขาลูกแล้วลูกเล่าทำให้รถสวนกันยาก คันนึงต้องหลบเพื่อให้อีกคันสวนมาได้ รถช้าต้องจอดให้รถเร็วไปก่อน เสียงแตรบีบทุกๆ สองนาทีเพื่อเตือนให้รถที่สวนมาอีกด้านของโค้งเขาได้รู้ว่ามีรถอีกคันกำลังจะสวนไป ตลอดทางจะมีคำคมเขียนบนหินข้างทางเพื่อเตือนสติคนขับรถ เช่น “Alert today, Alive tomorrow”,  “Be gentle on my curves” ฯลฯ บางอันก็เป็นแง่เตือนสติบางอันก็ออกแนวตลก โลตัสขับรถด้วยความเชี่ยวชาญ ชำนาญมาก ความเร็วที่เขาขับนั้นไม่ใช่น้อยเลยแต่เขาคงรู้จักโค้งทุกโค้งของเขาทุกลูกที่เราผ่านไป คนขับรถบนถนนเส้นนี้น่าจะขับรถได้ทุกที่ในโลก (ยกเว้นถ้าไม่มีแตรให้บีบอาจหงุดหงิดทำอะไรไม่ถูก) แรกๆ ฉันก็แอบกลัวพยายามดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดแต่ไม่สามารถใช้การได้ ฉันเหลือบไปดูด้านข้างของถนนที่ไม่มีไหล่ทาง มองเลยลงไปด้านล่าง เขาเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในใจฉันคิด
“คาดไปก็คงไม่มีประโยชน์ สูงขนาดนี้ ถ้ารถตกไปยังไงก็ตาย สวดมนต์น่าจะดีกว่า”
            ว่าแล้วก็หลับตาสวดมนต์ไปพลาง



            เราต้องผ่านจุดตรวจนักท่องเที่ยวประมาณ 3 ด่าน บางด่านเราต้องลงไปเซ็นชื่อด้วยตัวเอง แต่บางด่านไกด์และคนขับรถสามารถไปทำเรื่องให้ได้ และไม่ใช่ว่าใครๆ จะผ่านไปเที่ยวเล่นที่ไหนๆ กันได้หรอกนะ ต้องมีการทำเรื่องขออนุญาตก่อน ถ้าไม่มีใบผ่านก็ไม่สามารถเดินทางไปได้ อันนี้ทางทัวร์จะบริการจัดให้นักท่องเที่ยว อ้อ…เวลาเดินทางไปนอกเมืองควรติดพาสปอร์ตไปด้วยเพราะเขาต้องใช้ในการตรวจตรา 


             ผ่านไป 3 ชั่วโมงบนภูเขาที่ไม่สามารถนับได้ว่ากี่ลูก เราก็เดินทางไปถึง Changla Pass จากเขาที่แห้งแล้งไปด้วยดินและหิน ตรงจุดนี้หิมะปกคลุมเต็มไปหมด แม้จะยังไม่เข้าฤดูหนาวก็ตามอากาศหนาวเย็นมาก มือฉันเย็นเฉียบไปหมด เราลงไปทำธุระส่วนตัวกัน เหมือนเข้าไปในห้องแช่แข็งไอ้ส่วนที่อยู่นอกกางเกงนั้นถูกลมพัดเย็นหวิวไปหมด และแล้วฉันก็ได้ประทับตราในที่ที่สูงสุดที่สุดแล้ว ตรงบริเวณนี้มีทหารดูแลอยู่ค่อนข้างเยอะ มีเต้นท์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาลคนป่วยเผื่อว่านักท่องเที่ยวเกิดมีอาการแพ้ความสูงก็จะได้ช่วยปฐมพยาบาลได้ทันท่วงที สำหรับเราไม่ได้รู้สึกไม่สบายอะไร รู้สึกปลอดโปร่งด้วยซ้ำคงเพราะได้ยาดี


ห้องน้ำที่สูงเฉียด 5,000 กว่าเมตร
             เมื่อออกเดินทางต่อรถเริ่มลดระดับลงไปอยู่ท่ามกลางหุบเขา ตรงบริเวณนี้มีต้นไม้และหญ้าพอให้มีสีเขียวเติมความชุ่มชื่นบ้าง โลตัสชี้ให้เราดูตัวอะไรบางอย่างที่ว่ิงอยู่ตรงข้างทาง ดูตัวอ้วนกลมมีขนปกคลุมสีน้ำตาลเหลืองดูน่ารัก เขาจอดรถให้เราลงไปดู โชคดีที่นฐซื้อขนมมาเราจึงมีของฝากให้ตัวมามอท (Marmot) (กระรอกภูเขา)​ มันเชื่องมาก น่ารัก อัธยาศัยดี รับแขกแทนมนุษย์ได้สบาย มามอทอาศัยอยู่บริเวณแถบภูเขาและขุดรูอยู่ มีฟันหน้าคล้ายกระต่าย เรานั่งเล่นแบ่งขนมให้กินอยู่ซักครู่จึงออกเดินทางต่อ ฉันอดที่จะคิดไม่ได้ว่าตัว 
“มามอท” จะปวดท้องรึเปล่าที่กินขนมของมนุษย์ สัตว์ก็ควรกินอาหารสัตว์ ต้นไม้ใบหญ้าไม่ใช่เหรอ อืมม์ … หรือว่าขนมเหล่านั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มันอ้วนเสียหุ่นไปก็ได้นะ


             หลังจากนั้นอีกประมาณชั่วโมงนิดๆ เราก็ไปถึงทะเลสาปพันกองซึ่งดึงดูดสายตาเราไว้ที่เดียวตั้งแต่แรกเห็น  ด้วยความที่สวยงามและกว้างใหญ่ไพศาลมาก อาณาเขตส่วนหนึ่งอยู่ในอินเดียอีกส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน มีความกว้างเพียงแค่ประมาณ​  5 กิโลเมตร แต่ยาวถึงกว่า 130 กิโลเมตร เป็นทะเลสาปน้ำเค็มที่อยู่สูงถึง 4,350 เมตร แต่จริงๆ แล้วก็ไม่เค็มมากนะฉันลองชิมมาแล้ว ทะเลสาปมีสีฟ้าเข้มสด น้ำใสและเย็น ใต้น้ำมีหินรูปทรงต่างๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างประกอบกันเป็นพื้น มีคลื่นซัดเข้าฝั่งเอื่อยๆ ตามกระแสลม เราไปเดินชื่นชมบรรยากาศอยู่ตรงริมฝั่ง  อยากให้เวลาหยุดไว้ตรงนั้นเพราะมันเป็นช่วงของความสงบ เรามองดูทะเลสาปด้านหน้าเหมือนโอเอซิส ผ่านเขาที่แห้งแล้งมามากมายแล้วก็มาเจอแหล่งน้ำที่ชุ่มชื่น ธรรมชาติก็สร้างความสมดุลให้กับตัวเองเช่นนี้ เราเองก็ควรจะสร้างความสมดุลให้กับจิตใจเราเช่นกัน
ไม่ให้แห้งผากจนนานเกินไป มีความเกลียดก็ต้องรู้จักการให้อภัย เมื่อมีความอิจฉาก็ต้องหัดเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่



ในช่วงฤดูหนาวนั้น ทะเลสาปจะกลายเป็นน้ำแข็ง ช่วงนั้นทุกอย่างคงหยุดน่ิง สงบ 
ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ เวลานั้นคงไม่มีใครอยากจะมาเยี่ยมเยียนทะเลสาปพันกอง แต่เมื่อหน้าร้อนมาเยือนทุกอย่างก็จะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม เป็นวงจรชีวิตที่หมุนไปไม่หยุดนิ่ง
            “เรามาฉลองการมาทะเลสาปพันกองครั้งที่ 100 ของคุณกันดีกว่า” ฉันแกล้งล้อนัมเกล
            “ฮ่าๆๆๆ ผมมาที่นี่บ่อยกว่านั้นอีก” เขาตอบ
            จริงสินะ เขาบอกว่ามาที่นี่ประมาณอาทิตย์ละหน เดือนนึงก็ 4 หน ปีนึงก็ 24 หน (ถ้าคิดว่ามาได้แค่ปีละ 6 เดือน) อืมม์ … เขาเป็นไกด์มา 8 ปี รวมแล้วก็ …192 หน … โห …
            ฉันนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะเบื่อบ้างมั้ยนะ ที่มาที่เดิมๆ พูดแบบเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่บางทีเค้าอาจจะมีความสุขก็ได้ อยู่ในที่ที่เขารัก แวดล้อมไปด้วยคนที่รักเขา ฉันเคยถามว่าเขาอยากย้ายไปอยู่ที่อื่นบ้างมั้ยเขาบอกว่าไม่เคยเลย เขาชอบที่จะอยู่ที่เลห์ เขามีความสุขดี ฉันรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ทำให้คำพูดบางคำสะท้อนในหัว “ปลุกสำนึกรักบ้านเกิด”
ทุกวันนี้เลห์ประกอบไปด้วยคนหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา ไหนจะคนที่ย้ายมาทำธุรกิจขายของในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว มาตักตวงผลกำไรจากแหล่งทำมาหากิน แต่เมื่อถึงช่วงหน้าหนาวคนเหล่านี้ก็จะหายไป เขาเหล่านั้นไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับที่นี่ เขาหวังจะได้ผลประโยชน์ไม่ได้ตั้งใจมาสร้างประโยชน์ เช่นนี้แล้วมันจะส่งผลดีต่อบ้านเมืองได้อย่างไร ย่ิงนักท่องเที่ยวมามาก สิ่งแปลกปลอมก็ยิ่งเข้ามามากขึ้น คนพื้นเมืองเองคงต้องสร้้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองเพื่อที่จะไม่โดนอิทธิพลของประเทศตะวันตกกลืนวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมจนกระทั่งสูญหายไป
             เมื่อเราเต็มอิ่มกับการสัมผัสทะเลสาปก็ได้เวลาหาของเติมเต็มให้กับท้อง นัมเกลนำเราไปที่เต้นท์ๆ หนึ่งตรงใกล้ๆ ซึ่งเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวมาพักทานอาหารกัน เวลานั้นมีคนค่อนข้างมากเราจึงต้องรอครู่หนึ่งกว่าจะได้โต๊ะนั่งด้านในเต้นท์ เราหยิบกล่องอาหารกลางวันที่ทางโรงแรมเตรียมมาให้และเปิดออกดู เขาปรับเปลี่ยนอาหารให้เราแบบตามมีตามเกิด เมื่อเราเร่ิมบ่นว่าเบื่อที่อาหารซ้ำกันทุกวัน คือจากแซนวิชชีสกลายเป็นแซนวิสชีสป้ิงและมีผักทอดมาให้ 3 ชิ้น (Vegetable cutlet) ที่ฉันต้องซับน้ำมันออกอยู่หลายตลบ นอกนั้นเหมือนเดิม เดาว่าคน
ที่นี่คงขาดความคิดสร้างสรรค์ด้านการประดิษฐ์อาหาร เราจึงสั่งบะหมี่ผัดมาแบ่งกันกิน หลังจากนั้นก็ได้เวลาชมวิวที่ห้อง “don’t look down, don’t breath” กันต่อ ฉันรู้สึกเหมือนจะไปออกรบ เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมอุปกรณ์พร้อมปะทะอย่างพร้อมเพรียง



เมื่อเสร็จธุระทุกอย่างนฐตัดสินใจว่าจะเอาธงมนต์ไปผูกตรงบริเวณใกล้ๆ ทะเลสาป เพราะบริเวณที่เราผ่านมาตรงแถวๆ Changla Pass มีคนผูกเยอะแล้วแต่ตรงนี้ไม่ค่อยมี ธงจะได้โบกสะบัดนำเอาคำสวดมนต์และพรดีๆ ปลิวไปให้ผู้คนที่อยู่แถวนั้น หรือแม้แต่นก ปลา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในน้ำ ตามขุนเขาได้สัมผัสธรรมะหรืออาจจะทำให้ดินแดนที่อยู่ใกล้ชายแดนนี้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
             “คุณต้องตะโกนดังๆ ว่า “ki ki soso Lhargyalo” 3 ครั้ง หรือแปลว่า “ขอให้ชัยชนะจงเป็นของพระพุทธเจ้า” นัมเกลบอกกับเราพร้อมตะโกนนำ



เราอิ่มใจกับการช่วยกันผูกธงมนต์ ทุกคนได้สร้างบุญร่วมกัน ลมโบกสะบัดพัดธงปลิวไปมา เรายิ้มหน้าตาชื่นบานพร้อมบอกลาทะเลสาปพันกองเตรียมตัวนั่งบนรถเพื่อกลับเลห์อีก 
4 ชั่วโมงกว่าๆ ถ้าใครไม่อยากนั่งรถมาเช้าเย็นกลับก็สามารถพักแรมแถวๆ ทะเลสาปได้ เพราะเลยไปอีกหน่อยก็จะมีหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งฉันตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสได้มาอีกครั้งคงต้องพักค้างคืนซักคืนหนึ่ง อยากเห็นทะเลสาปพันกองตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นและตก น่าจะเป็นภาพประทับใจและโรแมนติกอย่างมาก
             “ผมขอพรให้ได้กลับมาที่นี่อีก” นฐยิ้มแย้มท่าทางสบายอกสบายใจ
             “อยากมาที่นี่อีกจริงๆ เหรอ” ฉันถามเพราะยังไม่แน่ใจนักว่าเขาจะมีใจโอนเอียงชอบอินเดียขึ้นมาบ้างรึยัง
             “ก็อยากนะ ถ้าได้มากับคนที่รักคงจะรู้สึกมีความสุข”
             นฐอยากมีความรักครั้งใหม่แต่ก็ไม่เชื่อว่าความรักมีอยู่จริง สำหรับฉันเชื่อว่าความรักมีอยู่จริงแต่จะเกิดขึ้นกับเรารึเปล่านั้นตอบไม่ได้ และถ้าเกิดก็ไม่ได้แปลว่าความรักนั้นจะอยู่ตลอดไปกับคนๆ เดิม รูปแบบเดิมๆ ความรักสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลาและส่ิงรอบๆ ตัวที่เข้ามาในชีวิต เช่นเดียวกับทุกสิ่งบนโลกนี้ที่ไม่มีวันที่จะคงรูปแบบเดิมและคงอยู่ตลอดไป
              ...  แล้วคุณล่ะ เชื่อว่าความรักมีอยู่จริงมั้ย ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น