24 กรกฎาคม 2555

23. ล้วงลึกแคชเมียร์

     เรานั่งพักซักครู่กะว่าแดดร่มลมตกแล้วจะออกไปพายเรือเล่นกัน โดยมีมือพายชื่อ “นางสาวมาลี” หญิงไทยจากราชบุรีที่เป็นตัวแทนเข้าแข่งขันกับมือพายชาวท้องถ่ิน
     ฉันกับนฐนั่งอยู่ด้านหน้าเรือต่างคนต่างใช้สมาธิกับกิจกรรมในความสนใจของตัวเอง ซักครู่ก็มีผู้ชายหนุ่มรูปร่างท้วมคนหนึ่งเดินมาที่เรือของเรา เขาแนะนำตัวว่าชื่อ “มุสตาฟาร์” (Mustafar) เจ้าของบริษัททัวร์และบ้านเรือ เขาเริ่มพูดคุยทำความคุ้นเคยกับเรา ดูลักษณะแล้วเป็นคนมีอัธยาศัยดี มีการศึกษา รู้จากลูกน้องเขาทีหลังว่าเขามีอายุเพียงแค่ 28 ปีเท่านั้น มีพี่ชาย 2 คน และภรรยา 1 คนเป็นชาวญี่ปุ่น ตอนนี้เป็นผู้สืบทอดกิจการบ้านเรือต่อจากพ่อโดยแบ่งกันดูแลเรือทั้ง 6 ลำกับญาติๆ ในครอบครัว
     เรานั่งคุยกันพักใหญ่ในเรื่องเคร่งเครียดบ้างไม่เครียดบ้างโดยการสัมภาษณ์จากคนอยากรู้อย่างฉัน ด้วยความที่ฉันอยากจะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงสถานการณ์การเมืองของแคชเมียร์เนื่องจากมีความรู้เพียงแค่หางอึ่ง และการอ่านจากข่าวต่างๆ ที่เขียนโดยนักข่าวต่างประเทศนั้นไม่ได้แปลว่าทุกอย่างเป็นความจริง ดูได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพเมื่อตอนต้นปี แต่ละข่าวที่ออกไปในต่างประเทศนั้นดูรุนแรงและแผ่ซ่านเหมือนว่าประเทศไทยทั้งประเทศ
ตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรง แต่ในความเป็นจริงก็อย่างที่เรารู้ๆ กันว่ามันเป็นเพียงแค่บางจุดเท่านั้น การทำข่าวเป็นเพียงการรายงานสถานการณ์รายวันในแต่ละจุดที่เหตุเกิดหาใช่การวิเคราะห์อย่างรู้จริง เพราะฉะนั้นการดูหรือฟังแต่ข่าวอย่างเดียวอาจทำให้ความเข้าใจของเราคลาดเคลื่อนได้
     มุสตาฟาร์เลยเล่าประวัติแคชเมียร์ย้อนไปกว่า 20 ปีให้ฟัง รายละเอียดตรงนี้คงต้องขอเก็บเป็นความลับระหว่างฉันกับเขา จะเล่าเฉพาะเท่าที่เล่าได้เพราะถึงเขียนไปก็คงถูกเซนเซอร์อย่างแน่นอน เอาเป็นว่าฉันมีความเข้าใจในเรื่องความอ่อนไหวของส่ิงที่เกิดขึ้นที่นั่นพร้อมกับเหตุผลสนับสนุนของเหตุความรุนแรงได้ดีขึ้น จริงๆ แล้วมันก็คล้ายๆ กันทุกที่ นั่นคือ เรื่องของความคิดที่แตกต่างและความใจแคบที่ไม่ยอมจะเข้าใจและยอมรับเหตุผลของอีกฝ่ายและเลือกที่จะใช้ความรุนแรงในการปรามให้คนหยุดที่จะตีแผ่และแสดงความคิดของตัวเอง ทำให้เหตุการณ์บานปลายและลุกลามใหญ่โตมากขึ้น แต่ละคนย่อมมีมุมมองและความคิดเป็นของตัวเอง
     “แล้วจริงๆ คนแคชเมียร์อยากอยู่กับอินเดียหรือปากีสถานล่ะ”
     ฉันได้ยินได้ฟังมามากว่าแคชเมียร์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอินเดีย คนแคชเมียร์ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนอินเดีย
      “มี 3 กลุ่มครับ เลือกที่จะอยู่กับอินเดียก็มี ปากีสถานก็มี แล้วก็พวกที่อยากอยู่เป็นอิสระ
ไม่ขึ้นกับใคร”
      “แล้วคุณล่ะ”
      “สำหรับผม ตอนนี้ยังไงก็ได้แล้วครับ ผมแค่อยากทำงาน อยากให้ธุรกิจมันกลับมาเป็นปกติ 4 เดือนที่ผ่านมานี้ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเลย กิจการเราแย่ลง ชาวบ้านไม่มีข้าวกิน คนงานไม่มีงานทำ” เขาดูจริงจังและเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
      “จริงๆ ก็คล้ายๆ ที่เมืองไทยน่ะแหล่ะนะ เราก็มีเรื่องความแตกต่างและขัดแย้งเหมือนๆ กัน”
      “เราเคยขอให้รัฐบาลทำผลประชามติให้คนโหวตไปเลยว่าอยากอยู่กับใครแต่เขาก็ไม่ยอม”
      ก็ใครจะไปยอมล่ะ ผู้มีอำนาจก็ย่อมที่อยากจะรักษาอำนาจนั้นไว้ให้นานที่สุด
      “ชาวบ้านคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ยุติธรรมเพราะเมื่อประชาชนลุกขึ้นมาประท้วง ก็ต้องให้สิทธิ์เค้า ไม่งั้นจะบอกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยได้อย่างไร แต่ตำรวจกลับตอบแทนด้วยการใช้ปืนยิงคน แต่ทีกลุ่มอีกศาสนาหนึ่งพอมีการประท้วง เขาใช้น้ำฉีด เหตุการณ์ยิ่งบานปลายตอนที่เด็กวัยรุ่นหลายคนถูกยิงตายเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนหน้านี้ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมาก กว่าคนจากทางรัฐบาลเดินทางมาก็ช้ามาก พอพูดคุยก็เหมือนสถานการณ์จะดีขึ้นมาหน่อย แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข อย่างเรื่องเคอร์ฟิวนี่ก็มีผลต่อธุรกิจมาก เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเคอร์ฟิวเมื่อไหร่ ที่ไหน ทำให้บางทีไกด์ก็ไม่สามารถเดินทางมาหานักท่องเที่ยวได้”
     จริงๆ ไกด์ของเราไม่ใช่ดีน แต่ด้วยเรื่องความไม่แน่นอนนั้นทำให้ทางทัวร์เปลี่ยนแปลงเป็นดีนดูแลเราทุกอย่างทุกเรื่อง อาจเป็นเพราะเขากินนอนอยู่บนเรืออยู่แล้ว
     ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่นี่อย่างมาก ชีวิตที่อยู่ด้วยความหวาดระแวงและไม่มีอิสระ ก็เหมือนถูกขังไว้ในบ้านตัวเองโดยทำอะไรไม่ได้
     “ผมว่าผมเคยเจอคุณนะ คุณหน้าคุ้นๆ” เขาเพ่งมองมาที่ฉัน
      “เหรอ ฉันมาอินเดียหนที่แล้วประมาณ 3 ปี เกือบ 4 ปีแล้ว แต่ไปราชาสถานนะ ให้ทาง
โกลบอลฮอลิเดย์จัดเหมือนกัน มากับเพื่อนอีก 3 คน”
      “โกลบอลฮอลิเดย์เป็นบริษัทที่ดีนะครับ ผมทำงานกับบริษัททัวร์ไทยที่อื่นด้วยถ้าเทียบกัน 
ที่นี่น่าจะดีที่สุดเพราะเค้ามีความใส่ใจลูกค้า ผมได้เรียนรู้การทำงานจากเค้าเยอะเลย”
      มุสตาฟาร์ถือเป็นคนที่มีมารยาทและจรรยาบรรณในการทำงานมากแม้จะอายุไม่มาก 
นฐถามเขาเรื่องทัวร์มาเที่ยวอินเดียในทริปหน้า ส่ิงที่เขาตอบกลับมาคือ
      “คุณติดต่อจากโกลบอลฮอลิเดย์ได้เลย”
      ถ้าเป็นแขกคนอื่นเขาคงรีบคว้าลูกค้าไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเหตุการณ​​์ที่กระทบกับการท่องเที่ยวขนาดนี้
      เขาบอกว่าคุณพ่อเขาสอนมาว่าถ้าคิดจะทำธุรกิจให้ได้นานๆ ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ การโลภเพียงแค่ครั้งเดียวอาจหหมายถึงครั้งสุดท้ายของโอกาส
      ฉันรู้สึกประทับใจมุสตาฟาร์มาก ดูเขาเป็นคนตรงๆ และสปอร์ตดี หลังจากคุยกันพักใหญ่เขาเข้าไปด้านในเพื่อคุยกับดีน และกลับออกมาหาฉันพร้อมกับคำขอร้อง
       “ผมฝากแซฟฟรอนนี้กลับไปให้คุณนีรชาที่โกลบอลฮอลิเดย์ได้มั้ยครับ”
       “อ๋อได้สิ ไม่มีปัญหา ยังไงโทรบอกเค้าหน่อยแล้วกันนะว่าฝากไปกับฉัน”
       มุสตาฟาร์ยังไม่เคยไปเมืองไทยเพราะติดภารกิจมากมาย ฉันเชื่อว่าเขาน่าที่จะชอบเมืองไทยเหมือนกัน เพราะความสวยงามของประเทศเราก็ไม่ได้น้อยหน้าบ้านเขาเลย
       เมื่อแดดเร่ิมลดความแรงลง เราชักชวนกันออกไปพายเรือเล่นโดยมีสปอนเซอร์คือดีน
ให้ยืมเรือ ฝีพายมือหนึ่งของเรานั้นทำหน้าที่ได้ดีมาก มากซะจนชาวบ้านแถวนั้นพายเรือผ่านไปแล้วต้องเหลียวกลับมามองพร้อมอมยิ้มมุมปาก บ้างก็ชมว่าฝีมือฉกาจ บ้างก็ถามว่ามาจากประเทศอะไรทำไมพายเรือเก่งขนาดนี้ เราภูมิใจที่ได้ทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยถึงแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย พี่ลีพายพาเราไปทั่วคุ้งน้ำเยี่ยมชมบ้านเรือนผู้คนแถมแวะซื้อผลไม้จากร้านค้าริมน้ำ ขนาดตำรวจน้ำยังนึกว่าเธอเป็นชาวท้องถิ่น พ่นภาษาพื้นเมืองใส่จนเรางง บรรยากาศยามเย็นนี้ค่อนข้างสบายๆ ไม่มีใครตามมาประกบเรือเราเพื่อขายของ เขาอาจจะเคลิ้มนึกไปว่าเราเป็นคนท้องถิ่น อากาศเริ่มเย็นๆ และสดชื่น น้ำในทะเลสาปไม่เหม็นเหมือนที่บางคนขู่ไว้เพียงแต่ว่ามีสาหร่ายใต้น้ำเยอะมาก ทำให้เริ่มเกิดมลภาวะเป็นปัญหาหลักของทะเลสาปดาลตอนนี้ทางการต้องเร่งมือในการกำจัดสาหร่ายโดยการตักขึ้นมาและนำไปทำเป็นปุ๋ยต่อไป แหมน่าให้คนไทยมาแนะนำวิธีกำจัดผักตบชวาหรือวิธีการนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ใครจะไปรู้เราอาจจะนำเข้าสาหร่ายแคชเมียร์มาทอดกรอบใส่ถุงขายแข่งกับเจ้าตลาดก็ได้








     เรากลับไปถึงเรือกันตอน 6 โมงครึ่ง ซึ่งดีนได้เตรียมอาหารไว้ให้เราพร้อมแล้ว เราเลยสนองเขาด้วยการตั้งอกตั้งใจกินเพราะตั้งตารอเมนูใหม่ๆ จากคริสตัลพาเลสทุกวัน ด้วยว่าอาหารอร่อยมีคุณภาพเหลือเกิน น้ำหนักที่หายไปช่วงอาทิตย์ก่อนหน้านี้คงจะกลับมาทำให้เราอ้วนพีเหมือนเดิม เมนูวันนี้ได้แก่ แกงแพะ ดอกกะหล่ำต้ม ผัดมันฝรั่งกับถั่วลันเตา และมีของแถมถูกใจชาวกรุงเทพคือไข่เจียวรสเด็ด เรากินกันจนพุงแทบระเบิด
     ทานข้าวเสร็จแต่หัวค่ำเลยมีเวลาไปนั่งเอ้อระเหยด้านหน้าเรือ เขียนบันทึกไปเปิดดูรูปที่ถ่ายมาประกอบกับเสียงสวดมนต์รอบสุดท้ายของวันนี้ที่ดังสะท้อนคุ้งน้ำมาจากฝั่งตรงข้าม อากาศเย็นกำลังดี เมื่อเสียงสวดมนต์จบลงความเงียบงันก็เข้ามาแทนที่ ไม่มีแม้แต่เสียงพายเรือ
     ป่านนี้ทุกคนคงกลับบ้านไปหาคนที่รักกันแล้ว เราเองก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น
ก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว 8 วันแล้วกับการเดินทางที่มีเรื่องราวมากมายหลากหลายอารมณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น