07 กรกฎาคม 2555

7. อยู่เพื่อที่จะรัก

เรานั่งรถต่อไปถึง Hemis Monastery วัดเฮมิสเป็นวัดของนิกายกายุดปะ (Kargyudpa) หรือหมวกแดง เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดและร่ำรวยที่สุดในลาดัคห์ ภาพประทับใจ
ภาพแรกคือตัวหนังสือที่เขียนว่า “Live to love Ladakh” เป็นการรณรงค์ให้คนรักษาความสะอาดและรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นที่แรกที่ฉันเห็นถังขยะตั้งอยู่มากมายในทุกๆ จุดที่คนเดินผ่าน ทำให้วัดนี้ค่อนข้างสะอาดและมีระเบียบ ฉันชอบการจัดวางตัวตึกของวัดนี้เพราะอยู่อย่างกลมกลืนลงตัวกับธรรมชาติ เดินไปไหนก็มีต้นไม้ให้ความรู้สึกสบายตาและสบายใจ




เราคงต้องรู้จักที่จะอยู่เพื่อที่จะรัก (live to love) ก่อนที่จะรักการมีชีวิตอยู่ (love to live) เพราะถ้าเราอยู่โดยไม่มีความรักให้กับใครหรือกับสิ่งใดเลยเราจะอยู่อย่างมีความสุข
ไปได้อย่างไร การอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว รักแต่ตัวเอง ไม่ใช่ก่อให้เกิดผลกระทบกับคน
รอบข้างอย่างเดียวแต่ในที่สุดผลนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเราในที่สุด เราต้องรู้จักมีความเมตตาต่อคนและสิ่งรอบข้างเพราะเราไม่สามารถที่จะอยู่คนเดียวบนโลกนี้ได้ เพียงแค่ผีเสื้อขยับปีกโลกก็สะเทือนแล้ว เห็นได้ชัดอย่างเรื่องภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เป็นเพราะมนุษย์เราเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ทำทุกสิ่งโดยไม่นึกถึงผลกระทบที่จะตามมา และเมื่อรู้ตัวมันก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว โลกจะไม่เป็นอย่างเดิมอีกต่อไป
ที่นี่มีห้องที่เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าศรีศากยมุนีและอีกห้องของพระปัทมะสัมภาวะองค์ใหญ่ นฐนำเอาธงมนต์ที่ซื้อจากตลาดเมื่อวานนี้มาให้พระทำพิธีสวดให้ก่อนที่จะนำไปผูกเพื่อเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ยังมีตึกด้านนอกอีกตึกนึงที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีรูปปั้น ผ้าปัก อุปกรณ์ในการสวดมนต์ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ แต่มีของที่ระลึกขายหลายอย่าง เช่นหนังสือ ดีวีดีสารคดีเกี่ยวกับวัด เสื้อยืด โปสการ์ด





ในทุกปีจะมีงานเทศกาลที่จัดค่อนข้างใหญ่โตดึงดูดความสนใจมากคือการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของพระปัทมะสัมภาวะ และในทุกๆ 12 ปีจะมีการนำผ้าพระบฏออกมาให้ประชาชนได้ชื่นชมเป็นบุญตา นอกจากนี้ยังมีพิธีการเต้นรำหน้ากากที่เป็นเรื่องราวการปราบมาร ประมาณว่าสอดแทรกคำสั่งสอนที่ว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม ฉันยังไม่เคยได้เข้าร่วมพิธี
สักที แต่คิดว่าเมื่อกลับมาครั้งหน้าคงต้องหาโอกาสดูซักครั้งให้เป็นบุญตา ไม่งั้นก็เหมือนไปไม่ถึงที่ซะที





เราพักทานอาหารมื้อกลางวันที่ร้านข้างๆ วัด ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ เรามีอาหารกล่องซึ่งนำมาจากโรงแรมคือแซนวิชชีส ไข่ต้ม กล้วย น้ำผลไม้ ช้อคโกแล๊ตช้ินเล็กๆ ดูแล้วชืดๆ จืดๆ แห้งๆ ไม่ค่อยจะน่ากินนัก เมื่อนฐเหลือบไปเห็นชาวบ้านแถวนั้นทานบะหมี่ดูน่ากิน เราจึงสั่งมาบ้างเพื่อเพ่ิมสีสันให้มื้อกลางวัน สนนราคา 60 รูปี หลังจากนั้นเป็นเวลาพิสูจน์ความอดทน อดกลั้น คือการลองเข้าห้องน้ำแบบลาดัคห์ที่ร้านอาหารนั่นเอง ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ เรียงกันอยู่ 
3-4 ห้อง ไม่แยกเพศ โชคดีมีประตูปิดมิดชิด ที่สำหรับทำธุระนั้นเป็นการเจาะช่องให้มีรูโหว่ เพื่ออะไรๆ จะได้ไหลได้หล่นไปได้สะดวกๆ นั่นแปลว่าเราจะเห็นส่ิงที่อยู่ด้านล่างทั้งหมดว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มาทั้งรูปทั้งกลิ่นพร้อมกันเลยทีเดียว ฉันตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวหมากฝรั่งหงุบหงับเพื่อจะได้ไม่ต้องทนกับกลิ่นมาก หลังจากประสบการณ์อันโหดร้ายนี้เราตัดสินใจเรียกห้องน้ำแบบลาดัคห์ว่า
“ห้อง Don’t look down, Don’t breath” 
ฉันเร่ิมเครียดนิดหน่อยเพราะเรื่องห้องน้ำเป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับฉัน สำคัญกว่าที่นอนซะอีก นอนไหนยังพอนอนได้แต่การเข้าห้องน้ำนี่สิ ถ้าไม่สะอาดล่ะก็ขออั้นไว้ไม่เข้าเลย
ดีกว่า แล้วถ้าการเดินทางครั้งนี้จะต้องเจออะไรที่มันเปิดเผยขนาดนี้ตลอดล่ะก็ ฉันคงต้องแย่แน่ๆ อาการอกสั่นขวัญแขวนได้เร่ิมเข้าครอบงำฉันแล้ว ย่ิงกว่าดูหนังผีสยดสยองซะอีกนะนี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น