27 กรกฎาคม 2555

26. นักท่องเที่ยว = ความเป็นอยู่ที่ดี

     ในที่สุดเวลาที่เรารอคอยก็มาถึงคือการพายเรือในทะเลสาป แม้ว่าจะค่อนข้างเย็นมากแล้วแต่เราอยากจะไปฉลองวันสุดท้ายของการอยู่ที่แคชเมียร์ในบรรยากาศสบายๆ รอบๆ คุ้งน้ำ
อันน่ารักนี้ ผู้คนที่พายเรือผ่านไปมาและไม่ได้เจอเราเมื่อวานต่างก็ออกอาการตื่นเต้นเหมือนเช่นเคยกับฝีมือการพายเรืออันเหนือชั้นของพี่ลี
      หนุ่มคนหนึ่งพายเรือขนานคู่ไปกับเราและชวนคุย
      “คุณมาจากไหนกันเนี่ย พายเรือเก่งจริง”
      “เมืองไทยน่ะ”
      “อยากได้งานพายเรือที่นี่มั้ยล่ะ”
      “แล้วคุณจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ล่ะ” พี่ลีชักสนใจอาชีพใหม่
      “เดือนละ 50 ดอลล่าห์” เขาบอก
      พวกเราต่างพากันหัวเราะชอบใจ
      “ค่าจ้างน้อยจัง” ฉันแกล้งต่อรองเขา
      “ถ้างั้นให้ที่พักด้วยพร้อมอาหาร” เขาเพ่ิมข้อเสนอ
      “ห้องนอนแยกเดี่ยวใช่มั้ย คงไม่ต้องนอนห้องเดียวกับคุณนะ” ฉันแกล้งล้อเขาเล่น
      เขาหัวเราะยกใหญ่
      เราเพลิดเพลินกับการใช้เวลาในทะเลสาปจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้วจึงกลับไปยัง
บ้านเรือ สังเกตว่าเมื่อเราไม่ได้นั่งเรือชิคาร่าแต่พายเรือเล็กเล่นกันไม่มีใครสนใจที่จะขายของให้กับเรา ทำให้เรารู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง ไม่ต้องพูดคุยต่อรองหรือหามุกเด็ดๆ ใหม่ๆ มาคอยไล่พวกชอบตื้อ นั่นแปลว่า
      ชิคาร่า = นักท่องเที่ยว = การขายของได้ = รายได้
      และ
      เรือพาย  = ชาวบ้าน = ไม่มีตังค์ซื้อของ = เสียเวลา เปลืองนำ้ลายตื้อ
      สถานภาพของเราเปลี่ยนกันได้ด้วยพาหนะนี่เอง





      เมื่อพายเรือใกล้ถึงบ้าน มีหนุ่ม 2 คนยืนอยู่บนชานหน้าบ้านบอกให้เราพายเรือไปให้เขา เราตอบพร้อมกันว่า
      “ไม่”
      เขาเป็นใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ จะมาขอเรือจากเรา เรือของเราก็ไม่ใช่ จะทำยังไงดี ปฏิเสธไว้ก่อนดีกว่า แบบนี้ไม่น่าไว้ใจ คนกรุงเทพอย่างเราถูกสอนมาว่าไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้า เรามักจะปฏิเสธไว้ก่อนโดยไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ถ้าไม่รู้จัก
      “พายมาเถอะครับผมต้องเอาของไปที่ฝั่ง นี่ดูสิของกล่องใหญ่มากเลย”
      “ไม่ได้หรอกคุณเป็นใครก็ไม่รู้ แล้วนั่นกล่องอะไรน่ะระเบิดรึเปล่า” จินตนาการโลดแล่นในหัวฉัน
      เขาเดินตามเรือเรามาจนถึงทางขึ้นบ้านเพื่อจะเอาเรือไปขนของ
      “แล้วคุณรู้จักดีนเจ้าของเรือรึเปล่า ขออนุญาตเขารึยัง”
      “ผมเป็นเพื่อนเขาน่ะ จะยืมเรือไปส่งของหน่อย”
      เขาคงไม่โกหกหรอกน่า แล้วคนแถวนี้คงรู้จักกันหมดไม่น่าจะเป็นอะไร แต่เราก็เล่าให้ดีนฟังซึ่งทำให้เขาขำกับการทำตัวเป็นพวกขี้ระแวงของเรา
     อาหารมื้อค่ำวันนี้เป็นมื้อสุดท้ายที่จะได้กินของอร่อยและอ่ิมแบบสุดๆ ซึ่งไม่ผิดหวังเลย รสชาติฝีมือพ่อครัว “ไฟยาซ” (Fiyaz) นั้นไม่ทำให้เราผิดหวังแม้แต่มื้อเดียว มื้อส่งท้ายนี้มีเมนูเด็ดคือ แกงไก่ ผัดมันฝรั่งแครอทกับถั่วลันเตา และผักขมผัด ซึ่งเป็นผักขมที่สดและใบใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นผักขมมา แบบนี้ป้อปอายต้องชอบแน่ๆ เรากินกันเพลินชนิดลืมอ้วนกันเลย
ทีเดียว ไม่ได้การต้องออกไปเดินหน้าบ้านเพื่อออกกำลังซะนิด ไม่งั้นคืนนี้คงนอนหลับแบบจุกๆ


     ขณะเดินกลับไปกลับมาบนชานบ้าน ฉันเจออามินยืนชมดาวอยู่เลยแวะคุยสัพเพเหระกับเขาครู่หนึ่ง
     “คุณทำงานที่นี่มานานรึยัง”
     “ทำมา 4 ปีแล้วครับ”
     “แล้วชอบมั้ย”
     “ชอบครับ ผมค่อนข้างมีความสุขดี คุณมุสตาฟาดีกับเรามาก เขาจะไม่มาคอยจ้ำจี้จ้ำไชจับผิดเรา ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีปัญหา ลูกค้าไม่มีการร้องเรียนเรื่องอะไรเขาก็ปล่อยให้เราจัดการบริหารกันเอง”
     “แล้วคุณมาจากไหนล่ะ”
     “ผมมาจากหมู่บ้านแถวๆ หุบเขาทางไปกุลมาร์คน่ะครับ”
     “คุณอายุเท่าไหร่แล้ว”
     ตัวเลขที่เขาตอบมานั้นทำเอาฉันอึ้งไปเพราะหน้าเขายังไม่น่าจะถึงวัยนั้น
     “36 ปี จริงๆ เหรอ”
     “จริงสิครับ”
     “แล้วมีพี่น้องมั้ย”
     “มีครับ มีน้องสาว 2 คน ยังเรียนอยู่”
     “คนไทยมาเที่ยวที่นี่เยอะมั้ย”
     “เยอะครับ น่าแปลกนะครับส่วนใหญ่คนไทยชอบมากันตอนหน้าหนาว”
     “แล้วมันหนาวมากมั้ยล่ะ”
     “ก็หนาวครับ หิมะตก น้ำในทะเลสาปเป็นน้ำแข็งเลยครับแต่ยังพายเรือได้ ผมว่าช่วง
หน้าหนาวที่นี่สวยที่สุดในความคิดของผม”
     “แล้วรถสามารถวิ่งบนถนนได้เหรอ หิมะน่าจะปกคลุมจนขาวโพลนไปหมด”
     “ได้สิครับ เพราะเขาจะกวาดหิมะออกจากทางทุกวันแต่บนภูเขาจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสวยมาก”
     “คุณว่าคนไทยเป็นไง ใจดีมั้ย”
     “ใจดีมากครับ บางทีเขาก็ช่วยเหลือผมเหมือนกัน เขาให้ของที่เขาไม่เอากลับบ้านกับผม 
ผมขอบคุณพระเจ้าที่ให้พร ช่วง 4 เดือนที่ผ่านมานั้นเราอยู่กันอย่างยากลำบากมากครับ 
บางคนไม่มีข้าวทานเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวมาก็ไม่มีเงินไหลเวียน”
      ฉันรู้สึกเร่ิมสงสารเขามาก เห็นใจที่ชีวิตไม่สามารถลิขิตได้ด้วยตัวเอง ต้องพึ่งพาธุรกิจ
ท่องเทีี่ยวซึ่งก็มักมีผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เลยคิดว่าคืนนี้จะเลือกของบางอย่างที่ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตฉันมากนักแต่อาจมีประโยชน์ต่อคนอื่นอีกมาก เผื่อว่าน้องสาวเขาจะได้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างอุปกรณ์กันหนาว หมวก ถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ ถ้าอยู่กรุงเทพก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ จะได้ใช้ก็ตอนไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วปีนึงเราจะไปที่หนาวๆ กันซักกี่หน พอใช้ไปไม่นานก็เบื่อเพราะมันไม่ทันสมัยไปหาซื้อของใหม่ ของเก่าก็เก็บเข้าตู้ไป แต่คน
ที่นี่เลือกไม่ได้มีอะไรก็ต้องนำมาใช้ทำความอบอุ่นให้ร่างกายในทุกๆ วันเป็นเวลาหลายเดือน คำณวนดูแล้วยกให้เขาจะมีคุณค่ามากกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น