17 กรกฎาคม 2554

1. ความบังเอิญหรือโชคชะตา


หมู่นี้ฉันนึกถึงประเทศเนปาลบ่อยๆ ทั้งๆ ที่ครั้งล่าสุดการเดินทางเกิดขึ้นเมื่อเพียง 3 ปีที่แล้ว อาจเป็นเพราะนึกถึงความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้นที่นั่น คิดถึงเพื่อนที่แสนมีน้ำใจ รวมทั้งบรรยากาศอันเข้มข้นไปด้วยวัฒนธรรมโบราณ หรือแม้แต่กลิ่นเครื่องเทศและควันธูปแบบพื้นเมืองที่กรุ่นเข้าจมูกทันทีที่ความคิดถึงเกิดขึ้่น
            ช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปีนี้ฉันไม่ได้มีแผนการไปเที่ยวไหน จึงพักผ่อนอยู่บ้าน
ดับร้อน ใช้เวลาในการเขียนต้นฉบับเรื่องล่าสุดและเกิดเรื่องไม่คาดหมาย “ราเกช” น้องชายของ “จูเกช” เพื่อนเนปาลของฉันเดินทางมาเที่ยวฮันนีมูนกับภรรยาสาว หลังจากที่แต่งงานไปไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ฉันจึงนัดแนะไปพบเจอ พาไปกินข้าว และพาไปซื้อของตามที่ที่
นักท่องเที่ยวน่าจะชอบ เหมือนครั้งที่เขาเคยพาฉันไปไหนต่อไหนที่กาฏมาณฑุ และถือโอกาสฝากของกลับไปให้เพื่อนเล็กน้อย
            เมื่อราเกชกลับบ้านไป ฉันได้รับข้อความขอบคุณจากจูเกชในเฟสบุ๊ค เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ดีอย่างนี้นี่เอง ถ้าเลือกใช้ให้ถูกวิธี
            “เมื่อไหร่นายจะมาเที่ยวที่เมืองไทยล่ะ เลื่อนมานานแล้วนะ” ฉันถามเขากลับไปเพราะอยากเจอเพื่อน ครั้งที่แล้วที่เจอกันเมื่อสามปีก่อนเขามีแผนว่าจะพาครอบครัวมาเที่ยวเมืองไทย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มาซักที
            “ยังไปไม่ได้หรอก ผมงานยุ่งมากเลย คงอีกนานกว่าจะได้ไป แล้วทำไมเธอไม่มาเที่ยวที่นี่ล่ะ เดี๋ยวจะมีพิธีทางศาสนาของลูกสาวผมวันที่ 15-16 พฤษภาคมนี้” เขาตอบกลับมารวดเร็วพร้อมคำเชิญ
            “คงไปไม่ได้หรอก ว่าจะไปเที่ยวทิเบตเดือนมิถุนายนน่ะ อาจจะแวะไปได้ตอนช่วงนั้น” ฉันตอบกลับไป อดเสียดายนิดๆ ไม่ได้
            ผ่านไปสองสามวัน เพื่อนสาวคนสนิทที่จะไปร่วมผจญภัยด้วยกันที่ทิเบตบอกข่าวร้าย
            “สงสัยช่วงต้นมิถุนาไปไม่ทันล่ะ มันกระชั้นไป แล้วเดือนกรกฏาก็ไปไม่ได้ ทางการจีนไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าลาซาในช่วงนั้น คงต้องเลื่อนไปเดือนสิงหาเลย”
            ฉันเริ่มนึกถึงคำเชื้อเชิญของเพื่อนชาวเนปาลขึ้นมา หมกมุ่นอยู่ในหัวตลอดเวลา อยากจะไปพบเพื่อน อยากจะไปดูพิธีทางศาสนา อยากจะลองตัดสินใจทำอะไรแบบที่ไม่ต้องวางแผนนานๆ บ้าง ทำตามใจตัวเอง อยากไปก็ไปเลย
            ฉันลองเช็คเล่นๆ ว่าช่วงที่จะไปนั้นมีตั๋วเครื่องบินว่างรึเปล่า เหมือนฟ้าเป็นใจ ตั๋วว่างมากทั้งๆ ที่อีกเพียงสองอาทิตย์ก็จะถึงวันเดินทาง แถมยังได้ที่นั่งติดหน้าต่างด้านขวาของเครื่องบิน (ที่จะเห็นเทือกเอเวอเรสขณะเครื่องบินลงจอด) ฉันลองเช็คดูความเป็นไปได้ในการแลกตั๋วฟรีโดยใช้ไมล์สะสมซึ่งเกิดจากการใช้เงินกระหน่ำผ่านบัตรเครดิต สรุปว่าฉันต้องจ่ายค่าตั๋วเดินทางไปเนปาลเป็นค่าน้ำมันและภาษีสนามบินเพียง 5,250 บาทเท่านั้น จากราคาเต็มคือ 20,250 บาท ถูกกว่าเดินทางภายในประเทศเสียอีก
            ว่าแล้วก็ ​…
            “ตกลงฉันจะเดินทางไปร่วมพิธีของ Aayesha นะ ไปถึงวันที่ 13 และกลับวันที่ 18 พฤษภาคม รบกวนจองโรงแรมแถวๆ บ้านให้ด้วย” ฉันรีบส่งข้อความไปหาจูเกช
            “ไม่ต้องไปอยู่โรงแรมหรอก มาอยู่บ้านผมด้วยกัน เดี๋ยวจัดให้อยู่ห้องของเด็กๆ” เขาตอบมาสั้นๆ
            “เอ่อ … เกรงใจน่ะ เด็กๆ เลยต้องพลอยลำบาก”
            “ไม่ต้องเกรงใจ เธอก็เป็นคนหนึ่งในครอบครัวเรา แล้วอีกอย่างพวกเด็กๆ จะดีใจซะอีก นานๆ ทีจะได้นอนกับพ่อแม่หรืออาๆ”

            ฉันเฝ้ารอวันเดินทางด้วยใจจดจ่อ ตื่นเต้นที่จะได้ไปร่วมพิธีแบบพื้นเมืองอีกหน รวมทั้งตื่นเต้นที่ต้องเดินทางในวันศุกร์ที่ 13 ด้วย ได้แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น
            “ไปอีกแล้วเหรอ” … เออ … ไปอีกแล้ว
            “ชอบอะไรนักหนานะประเทศนี้” … ก็คนมันชอบนี่
            “ไปเยี่ยมญาติเหรอ” … ประมาณนั้น
            “ฝากซื้อของหน่อย” … ก็ได้…บอกมาแล้วกัน
            “แอบไปมีแฟนอยู่ที่นั่นรึเปล่า” … แหม … ไม่ได้บ้าผู้ชายนะ
            เหล่านั้นล้วนเป็นคำโต้ตอบของฉันกับคนรอบตัวเมื่อรู้ว่าฉันจะเดินทางไปประเทศอันแสนผูกพันเป็นครั้งที่สี่ คงไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมฉันถึงไปที่นั่นได้บ่อยนัก ก็ถ้าเขาเหล่านั้นไม่เคยได้รับความรู้สึกดีๆ มิตรภาพ และการต้อนรับอย่างอบอุ่นประหนึ่งว่าเป็นคนในครอบครัว เขาก็จะไม่มีวันรู้สึกได้ถึงสายใยที่ผูกฉันไว้กับคนที่นั่น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น