25 กรกฎาคม 2554

9. Finale

            วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งก็เป็นวันหยุดราชการเหมือนบ้านเรา คนที่นี่มีวันหยุดค่อนข้างเยอะไหนจะวันหยุดราชการ ไหนจะวันที่ทำพิธีทางศาสนาต่างๆ แต่ถ้าบวกลบจากที่เขาต้องทำงานกันวันอาทิตย์ (52 วัน) ด้วยแล้วก็ถือว่าไม่ได้มากเกินไป
            วันนี้มีคนอารมณ์ไม่ค่อยจอยอยู่หนึ่งคนคือ อาจิ เพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่ต้องไปโรงเรียนเนื่องจากหยุดมาหลายวันแล้วในช่วงประท้วง ทางโรงเรียนเกรงว่าจะเรียนไม่ทัน
             เช้านี้ไอช่าต้องไปทำพิธีไหว้พระพิฆเนศที่วัดใกล้ๆ บ้าน ธรรมเนียมเดียวกันกับเวลาที่หญิงสาวแต่งงานวันแรก เธอเลือกที่จะแต่งตัวด้วยชุดพื้นเมืองสีแดงสด ริซ่าเตรียมเครื่องบูชาใส่ถาดให้เธออย่างเรียบร้อย ดูเหมือนเธอจะค่อนข้างคล่องมากกับการทำพิธีทางศาสนา ไปถึงก็ตรงไปที่พระพิฆเนศนำเครื่องบูชาวางด้านหน้าและแต้มผงติกก้าสีแดงสีเหลืองเจิมที่องค์พระพิฆเนศ



            หลังจากนั้นเรานั่งรถต่อไปที่วัดแห่งหนึ่งที่มีความเชื่อผสมผสานระหว่างพุทธกับฮินดู ซึ่งวัดนี้บูชาเทพเจ้า “บิเจสวอริ” (Bijeshwori) เราต้องเดินขึ้นบันไดไปเพราะวัดอยู่บนเนินเขา คุณแม่ของจูเกชออกจะเดินลำบากซักหน่อยเพราะสะโพกและขาเริ่มเสื่อมแล้ว แต่ดูเหมือนเธอไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก จิตใจมุ่งตรงไปถึงวัดด้านบนตั้งนานแล้ว
            เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด มีเจดีย์ที่มีรูปพระพุทธเจ้าเรียงรายมากมาย ส่วนด้านในตัวอาคารนั้นเป็นที่ประทับของเทพเจ้าบิเจสวอริ  ซึ่งมีกฏห้ามถ่ายรูป ไอช่าต้องนำของบูชาไปถวายแด่เทพเจ้าด้านในซึ่งจะมีพนักงานคอยรับของเหล่านั้นและทำพิธีนำไปถวายให้ จะมีของบางอย่างถูกคืนกลับมาเพื่อเป็นสิริมงคล คุณแม่ของจูเกชเป็นผู้ที่เป็นแม่งานในการทำพิธีต่างๆ ภายในวัดโดยมีริซ่าช่วยอยู่ข้างๆ เธอได้นำผงสีส้มทาที่หน้าผากของไอช่าอีกครั้งเหมือนพิธีแต่งงานเมื่อวานนี้ หลังจากนั้นจึงนำอาหารที่ได้รับการปลุกเสกแล้วมาแบ่งให้รับประทาน ซึ่งหลังจากที่ไอช่าได้ทานบางส่วน คุณแม่ก็แบ่งให้กับคนอื่นๆ ด้วย คือจูเกช ริซ่า คนขับรถ และฉัน เธอแอบถามกับริซ่าก่อนว่าฉันโอเคที่จะกินรึเปล่า ซึ่งริซ่าก็ตอบแทนฉันไปได้เลยด้วยความที่รู้จักฉันดีว่าฉันยินดีที่จะทำตามขนบประเพณีทุกอย่างด้วยความรู้สึกเคารพ เธอจึงยื่นไข่ต้มที่หยดเหล้า (คงจะมีวัตถุประสงค์เพื่อฆ่าเชื้อโรค) ให้กับฉันได้ทาน พร้อมกับกล้วยลูกเล็กๆ อีกหนึ่งลูก ริซ่ากำชับกำชากับฉันว่าควรจะทานของเหล่านั้นเพราะการทานอาหารในบริเวณวัดถือเป็นสิริมงคลกับชีวิตในวิถีฮินดู





            เมื่อจบพิธีเราเดินทางกลับบ้านโดยที่จูเกชและริซ่าพาฉันไปแวะร้าน Tara Oriental ซึ่งเป็นร้านขายผ้าแพชมีน่าตามคำขอ ส่วนไอช่ากลับบ้านไปกับคุณย่าก่อน ต้องบอกว่าร้านนี้เป็นร้านที่มีแต่ของสวยๆ มีคุณภาพทั้งนั้น เพียงแค่ปราดตามองแว่บเดียวฉันก็ตกหลุมรักทันที ผ้าแต่ละผืนนั้นล้วนแต่ทอด้วยมือจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพประกอบกับดีไซน์อันทันสมัย ทำให้ผ้าคลุมไหล่ที่นี่ไม่เหมือนที่ใดที่ฉันเคยเจอมาก่อน ส่วนใหญ่นั้นของที่นี่จะผลิตเพื่อส่งไปขายยังร้านดังๆ แบรนด์เนมทั้งหลายในยุโรป ออสเตรเลีย และสแกนดิเนเวีย ซึ่งนั่นแปลว่าราคาที่เราซื้อที่นี่อาจจะเป็นเพียง 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 10 ของราคาที่ขายตามร้านเหล่านั้นเมื่อแปะแบรนด์ดังเข้าไป ในตาฉันลุกวาว ปิ๊งผ้าหลายผืนจนเลือกไม่ถูก จากที่คิดว่าจะเลือกซื้อเพียง 1 ผืนให้กับเพื่อนที่ฝากมา กลับหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ ต้องเลือกหาอีกหนึ่งผืนสำหรับตัวเอง และแม้ว่าฉันจะมีผ้าคลุมไหล่มากกว่า 20 ผืน ประเทศไทยมีอากาศร้อนอบอ้าว โอกาสในการเดินทางไปประเทศหนาวเย็นมีเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี แต่เหตุผลเหล่านั้นมันแพ้อารมณ์และกิเลส ความอยากได้ไปหมด ในที่สุดฉันจึงเลือกผ้าคลุมไหล่แคชเมียร์ 100% ที่มีการทอด้วยมือเป็นลายกระดูกปลา และลายกราฟฟิกสีฟ้าและน้ำเงินที่ดูทันสมัยเหมาะกับเสื้อผ้ายุคใหม่ หากว่าโลกจะล่มสลายในอีกไม่กี่วันตามคำบอกเล่า ฉันก็คงต้องห่มผ้าแคชเมียร์ผืนนี้ตายไปด้วย
            หลังจากได้ซื้อผ้าผืนสวยสมใจแล้วเราก็กลับไปที่บ้าน ทานอาหารกลางวัน และนั่งพักรออาจิกลับจากโรงเรียนเพื่อไปเที่ยวดุลิเกลด้วยกัน (Dhulikel)
            ริซ่าแอบบอกกับฉันว่าไอช่าและอาจิแอบมากระซิบบอกเธอว่าอยากให้ฉันอยู่ต่ออีกหน่อย เพราะเด็กทั้งสองจะได้มีโอกาสไปนอนกับพ่อและแม่ ในตอนแรกนั้นไอช่าบอกว่าจะมานอนกับฉันเมื่อคืนนี้แต่ด้วยความที่ฉันกับริซ่าและจูเกชนั่งคุยกันจนดึกดื่นเธอจึงผลอยหลับไปก่อน เธอนำเอาของที่ได้จากการแต่งงานออกมาชื่นชมและอวดกับฉัน ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าสไตล์ร่วมสมัย และมีขนมนมเนยอีกกองใหญ่ เธอทำท่าเลือกของอยู่สองสามอย่างในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบบิสกิตห่อใหญ่และยื่นให้กับฉัน เธอบอกว่าอยากให้ฉันไว้เป็นที่ระลึก เธอช่างน่ารักน่าเอ็นดูซะจริงๆ ปกติเด็กๆ มักหวงของ แต่นี่เธอกลับมีน้ำใจกับคนแปลกหน้าอย่างฉัน เธออาจจะอยากให้เป็นค่าตอบแทนสำหรับการเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือของฉันก็เป็นได้ ซึ่งนั่นเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทำให้ฉันได้ใกล้ชิดและสนิทสนมกับไอช่า ทุกวันเมื่อเธอเจอหน้าฉันเธอจะทำหน้าทะเล้นและยื่นมือมาข้างหน้า แล้วพูดว่า “telephone” แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็รู้สึกดีใจที่ได้มาอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวจูเกช ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง การเติบโตขึ้นทั้งด้านร่างกายของเด็กๆ ความคิดของผู้ใหญ่ และความเป็นไปของโลกในมุมที่องศาต่างจากเรา
            ฉันเริ่มรู้สึกหวิวๆ นิดหน่อย เพราะวันรุ่งขึ้นก็ต้องกลับบ้านแล้ว เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกเสมอยามเมื่อเรามีความสุข 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น