ฉันออกจะประหลาดใจนิดหน่อย แล้วก็อึ้งๆ ไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธดี เพราะใจนึงก็ยังกลัวๆ ไม่ไว้ใจเขานัก แล้วอีกอย่างยังไม่เคยรับปากไปกินข้าวบ้านคนขับแท็กซี่ซักครั้งในชีวิต
“เอ แล้วคุณอยู่กับใครล่ะที่บ้าน” ฉันลองถามอ้อมๆ เพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะไม่ไปอยู่ในบ้านกับเขาสองต่อสอง
“อ๋อกับภรรยาและลูกสองคนน่ะครับ” กฤษณาตอบด้วยรอยยิ้มตาหยี ดูแววตามีความสุข
“เอ แล้วยังงี้ใครจะเป็นคนทำอาหารให้ทานล่ะ” ฉันสอบสวนต่อ เริ่มคิดภาพตัวเองโดนวางยาในอาหาร
“ภรรยาผมครับ เธอจะเป็นคนทำอาหาร” เขาอธิบาย
ฉันเริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังไม่ได้เลิกกังวลซะทีเดียว อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากทำให้เขาเสียใจเดี๋ยวจะนึกว่ารังเกียจ
“ได้สิฉันไปจะ” ฉันตอบรับออกไป คิดว่ามันเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง
“ถ้างั้นเดี๋ยวตอนค่ำผมมารับประมาณหนึ่งทุ่มนะครับ” กฤษณานัดแนะ
ฉันลงรถกลับเข้าไปในโรงแรม พนักงานคนหนึ่งเดินเอาถั่วพิซทาชิโอ (Pistachio) มาให้หนึ่งถุงใหญ่
คนที่นี่ใจดีมีน้ำใจ เพียงแค่ฉันสอบถามจูเกชว่าฉันจะไปซื้อถั่วได้จากตลาดที่ไหน เขาก็สั่งให้พนักงานไปซื้อมาให้เพียงเพราะกลัวว่าฉันจะไปหาไม่พบและไม่ได้ถั่วคุณภาพเกรดเอ
เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ มักจะเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกประทับใจได้เสมอ
เส้นทางไปยังบ้านของกฤษณานั้นซับซ้อน ซอกแซก และค่อนข้างมืด ไม่ว่าฉันจะพยายามจำทางเท่าไหร่นับเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายตามที่รถเลี้ยวไป ฉันก็ไม่อาจจำได้เพราะบ้านของเขาอยู่ออกนอกเมืองไป ไกลพอสมควร ตาก็กวาดมองไปรอบๆ เห็นเทพเจ้าที่ไหนก็สวดมนต์ขอพรให้ปลอดภัย
เมื่อมาถึงและจอดรถกฤษณาเดินนำฉันเข้าไปยังตึกไม่สูงนัก คล้ายๆ แฟลตบ้านเรา เดินขึ้นบันไดไป 3 ชั้น เขาก็เปิดห้องออกมา ด้านในนั้นเป็นห้องนอนที่มีเตียงของเขาและลูก 2 คน ชุดรับแขกเล็กๆ และครัวภายในบริเวณประมาณ 4x5 เมตรได้ เป็นห้องที่ค่อนข้างเล็กมากๆ สำหรับจำนวนคนที่อยู่และการใช้ประโยชน์
ฉันรู้สึกอึ้งและซึ้งในเวลาเดียวกัน อึ้งกับสภาพความเป็นอยู่ของเขา และซึ้งกับน้ำใจที่ใหญ่ไม่รู้กี่ร้อยเท่าของขนาดห้องนั้น
เขาให้ฉันนั่งตรงเก้าอี้รับแขก ในขณะที่ลูกๆทั้งสองที่นั่งบนพื้นใกล้ๆ ต่างมองจ้องหน้าฉันด้วยแววตาประหลาดใจ ภรรยากำลังทำอาหารอยู่บนเตาที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก เครื่องดื่มน้ำอัดลมสีดำถูกนำมาเสริฟให้แขกแปลกหน้า ซักครู่ญาติชายที่เจอกันเมื่อตอนกลางวันตามมาสมทบและร่วมพูดคุย
แกงแพะถูกนำมาเสริฟในจานเหล็กใบเล็ก ฉันออกจะเขินๆ นิดหน่อย ไม่กล้าทาน ในใจก็ยังกังวลอยู่นิดหน่อย จนกระทั่งถูกคะยั้นคะยอจึงต้องจิ้มขึ้นมาทานพอเป็นพิธี
“เอ แล้วพวกคุณไม่ทานกันเหรอ” ฉันถามเพราะไม่เห็นใครทานอาหาร
“คุณทานก่อนเถอะครับ เป็นธรรมเนียมของทางเราที่ต้องให้แขกทานก่อน” กฤษณาบอก
ฉันคิดว่ามื้อนั้นเขาคงทำอาหารขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับแขก เพราะปกติชาวเนปาลมักทานผักและข้าวเป็นหลัก จะทานเนื้อสัตว์กันซักทีต้องมีงานพิเศษ ทำให้ฉันซาบซึ้งใจมากขึ้นไปอีก
ฉันนั่งคุยอีกซักพักก็ขอตัวกลับโดยมีนายกฤษณาขับรถมาส่งที่โรงแรม
ก่อนจะลงฉันยื่นเงินจำนวนเล็กน้อยให้กับกฤษณา
“ผมไม่รับหรอกครับวันนี้” เขาตอบ ไม่ยอมรับเงินที่ฉันยื่นให้
“ไม่ได้หรอก ก็เธอมาส่งฉันถึงที่นี่ เสียค่าน้ำมัน” ฉันยืนยันที่จะให้
“วันนี้คุณเป็นแขกของผม ผมไม่ได้มาทำงานให้คุณ เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องจ่ายเงินผม ผมรับไม่ได้จริงๆ”
น้ำใจของคนนั้นวัดกันไม่ได้ด้วยฐานะจริงๆ คนที่จนแสนจนแต่กลับมีน้ำใจเหลือหลาย
“รับไว้เถอะนะ ถ้าเธอไม่เอาไว้เอง ก็ถือว่าเอาไว้เป็นค่าขนมลูกก็แล้วกัน” ฉันพยาพยามหว่านล้อมให้เขารับเงินจำนวนนั้นไว้
“ก็ได้ครับ ขอบคุณนะครับมาดาม คุณใจดีจริงๆ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มประทับใจ
ฉันเดินลงจากรถตัวปลิว รู้สึกว่าการมาเที่ยวเนปาลในครั้งนี้สิ่งที่สร้างความประทับใจมากที่สุดไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว กลับเป็นความมีน้ำใจของมนุษย์คนหนึ่งที่ได้ผ่านมาเจอกันเพียงชั่ว 3 วัน
คืนนั้นฉันนอนหลับสนิทอย่างประหลาด
กฤษณาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ความใจดีมีน้ำใจของประเทศเนปาลที่ฉันประทับใจไม่เคยลืม ทำให้ฉันมีเรื่องเล่าและภาพความทรงจำดีๆ ที่อาจแตกต่างออกไปจากคนอื่นอยู่บ้าง
ความประทับใจในครั้งนั้นติดตรึงอยู่ในใจฉันตลอดเวลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเหตุผลที่ฉันกลับไปเที่ยวที่เนปาลอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งต่างมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น ต่างกาล ต่างวาระ
ติดตามกันต่อไปในภาค 2 นะคะ ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฉันบ้าง
เหมือนเรื่องที่เคยฟังมาแล้วเลย พอมาอ่านแบบเชิงนวนิยายก็ถ่ายทอดออกมาได้ไม่ผิดเพี้ยนเลยจ้ะ
ตอบลบเรื่องมันฝังใจน่ะ : )
ตอบลบ