ช่วงบ่ายกฤษณาพาฉันไปเที่ยวอีกสองสามแห่งคือ “วัดปชุปตินาถ” (Pashupatinath) และ “วัดโบถนาถ” (Bodhnath) แต่ฉันจะขอละไว้ก่อนแล้วค่อยเล่าถึงวัดที่สำคัญทั้งสองในภาคต่อไป
ตกเย็นฉันอยากไปเดินเล่นซื้อของที่ทาเมลอีก จึงให้กฤษณาไปส่ง เดินเตร็ดเตร่เกร่ดูร้านนู้นร้านนี้ ซื้อของใช้ส่วนตัว ของฝากได้หลายอย่าง ใจก็มีดำริว่าอยากได้ส่าหรีมาห่มแปลงตัวเป็นสาวแขกบางเวลา ก็เลยแวะเข้าร้านขายเสื้อผ้า
“สวัสดีครับมาดาม” หนุ่มหนวดเฟิ้มเจ้าของร้านส่งเสียงและสายตาหวานทักทาย พร้อมด้วยลูกสมุนเป็นชายล้วนๆ (ทำมั้ย ทำไม ร้านขายของสวยงามของผู้หญิงถึงให้ผู้ชายวัยฉกรรจ์มาขายกันนะ)
ที่นี่ใครๆ ก็เรียกนักท่องเที่ยวหญิงอย่างให้เกียรติว่า “มาดาม” จะสาว จะแก่ จะแต่งงาน หรือเป็นโสด ก็ใช้สรรพนามเดียวกันหมด
ฉันยิ้มตอบ พลางเดินดูของภายในร้าน
“ไม่ทราบมาดามต้องการหาอะไรเป็นพิเศษเหรอครับ” น้ำเสียงให้การต้อนรับอย่างดี
“อืมม์ ฉันอยากซื้อส่าหรีไปใส่น่ะสิ คุณมีมั้ย” ฉันบอกความต้องการ
“อ๋อ มีสิครับ เชิญมาเลือกตรงนี้ได้เลย” เขาเชิญชวนให้ฉันเดินเข้าไปส่วนในของร้าน พร้อมกับดึงผ้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากตู้กระจก ผ้าพริ้วบางผืนยาวสีแดงบาดใจ
“เอ …ไม่มีแบบสำเร็จรูปหรอกเหรอ” ฉันถามพลางสงสัย เห็นที่เค้าใส่กันตามท้องถนนนั้น นึกว่าเป็นเสื้อและกระโปรง
“โอย ไม่มีหรอกครับ ใครๆ เค้าก็ใส่กันแบบนี้ทั้งนั้น ผ้ายาว 5 ½ เมตร เอามาพันกันเป็นส่าหรี” เขาอธิบาย คงนึกขันในความเซ่อของสาวไทย
“ว้า ... ถ้างั้นฉันคงไม่ซื้อหรอก ใส่ไม่เป็น” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงผิดหวังเสียใจ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมสอนให้ใส่เอง ง่ายนิดเดียว มาครับคุณมายืนตรงนี้”
“โอย ไม่เป็นไรหรอก ลำบากเปล่าๆ” ฉันตอบด้วยความเกรงใจ ไม่ซื้อก็ได้ ไม่นึกว่ามันจะลำบากขนาดนี้
“ไม่ลำบากหรอกครับ ใส่ง่าย ผมสอนแป้บเดียวเอง เดี๋ยวคุณก็ใส่เองได้” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความเอื้ออารีย์มีน้ำใจ
เอาก็เอา ไหนๆ ก็มาแล้ว อย่างน้อยจะได้รู้วิธีใส่ส่าหรีกับเค้าก็คราวนี้แหล่ะ ฉันเลยไปยืนเป็นนางแบบจำเป็นให้เขาจับแต่งตัว
เขาเร่ิมพันผ้าที่ละน้อย หยิบจับผ้าให้เป็นจีบพาดเอว พาดไหล่ ล้อมรอบตัวฉัน แต่เอ๊ะ ทำไมมันต้องโอบตัวฉันแน่นขนาดนี้เนี่ย ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัด เหงื่อตก (ทั้งๆ ที่อากาศเย็น) และรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงคะยั้นคะยอให้ฉันลองใส่ส่าหรีมากขนาดนั้น
“อี่นี่ ฉานจะแต๊ะอั๋งเธอน่ะสิจ๊ะเธอจ๋า” นี่คงเป็นส่ิงที่เจ้าของร้านลามกคนนั้นคิดในใจ
ไม่น่าเลยเรา ทำไมมาเสียรู้แขกได้ง่ายๆ นะเนี่ย
“เอ่อ พอแล้วล่ะคุณ ฉันว่ามันใส่ยากไปน่ะ ฉันไม่มีปัญญาจะใส่ได้หรอก ไม่เอาดีกว่า ช่วยเอาออกหน่อยนะ” ฉันรีบพูดรวบรัดตัดความ เร่ิมเครียดกังวล สอดส่ายสายตาหาประตูทางออก
“ไม่ยากหรอกครับ นี่ไงเดี๋ยวผมค่อยๆ สอนให้ใหม่” น้ำเสียงตอนหลังเร่ิมส่อเจตนา
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่เอาแล้ว ขอบคุณมาก ไปล่ะ”
ยังไม่ทันได้ยินคำตอบคำอ้อนวอนอะไรอีก ฉันรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากร้านไปอย่างด่วน ใครจะไปคิดว่าจะมาถูกลวนลามที่เนปาล
ฉันรีบเดินออกไปจากละแวกร้านนั้นอย่างเร็วที่สุด โดยไม่เดินย้อนกลับหรือหันหลังไปมองอีกเลย นึกภาพแล้วยังสยองอยู่เลยจนถึงทุกวันนี้
ไม่นึกเลยว่าการอยากได้ส่าหรีกับเค้าซักผืนเนี่ยทำให้ฉันต้องผ่านวิบากกรรมขนาดนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น