หลังจากนั้นไม่นานนักจูเกชมีลูกชายคนแรก ทำให้ฉันรู้สึกเบาใจกับชีวิตแต่งงานของเขา เข้าใจเอาเองว่าเขาน่าจะมีความสุขดี
ฉันมีโอกาสได้พบเขาอีกครั้งที่กรุงเทพหลายปีถัดมา ระหว่างที่เขาเดินทางมาประชุมกับทางโรงแรมฮอลิเดย์อินน์สาขากรุงเทพ ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาแค่หนึ่งวันเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นการอัพเดทชีวิตของแต่ละคนได้อย่างคร่าวๆ
หลายปีถัดมาภราวาติกาย้ายไปอยู่ที่ดาร์จิลิ่ง (Darjeeling) ประเทศอินเดีย เพื่อทำธุรกิจการค้า ฉันออกจะเป็นห่วงเธอนิดหน่อย เพราะเธอย้ายไปอยู่ที่นั่นคนเดียวโดยปราศจากซูนิม กังวลใจไปเองว่าชีวิตครอบครัวอาจจะไม่ราบรื่น เธอพยายามชวนฉันไปเที่ยวหลายครั้งแต่ก็ไม่สบโอกาสซักที เวลาไม่ลงตัวบ้างล่ะ อากาศหนาวเกินไปบ้างล่ะ จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนซักที รู้สึกละอายใจอยู่เหมือนกัน
ระยะหลังการติดต่อระหว่างฉันกับจูเกชและราเกชค่อนข้างจะห่างออกไปบ้าง ด้วยชีวิตที่ยุ่งเหยิงของฉัน และด้วยเหตุการณ์บ้านเมืองของเนปาลที่ไม่ค่อยสงบนักทำให้ฉันไม่มีแผนในหัวเลยว่าจะเดินทางไปเนปาลอีกครั้ง ฉันเพียงแต่ได้ข่าวว่าจูเกชมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง
ฉันไม่สามารถติดต่อกับจูเกชได้อยู่พักใหญ่เพราะเขาเปลี่ยนที่ทำงานและเปลี่ยนอีเมล์ไปโดยปริยาย
“เธอเป็นยังไงมั่ง โอเครึเปล่า ผมได้ทราบข่าวว่าที่ประเทศไทยมีการทำรัฐประหาร” นี่เป็นข้อความที่ได้รับจากจูเกช
“สบายดีจ๊ะ นายทำให้ฉันแปลกใจมากเลยนะเนี่ยตอนได้ข้อความนี้ ไม่ต้องเป็นห่วงทุกอย่างเรียบร้อยดี นานแล้วสินะที่เราไม่ได้ติดต่อกัน” ฉันตอบจูเกชไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“เธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฉันค่อยสบายใจหน่อย ดูแลรักษาตัวเองให้ดีนะ”
ข้อความสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ เพื่อนแท้ต่อติดได้เสมอไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
ข้อความครั้งนั้นทำให้ฉันนึกถึงเนปาลขึ้นมาอีกครั้งและเร่ิมนับเวลาว่าผ่านไปกี่ปีแล้วที่ฉันไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น