The Marriage
บางคนอาจจะสงสัยว่าความสัมพันธ์ดีๆ ที่เกิดขึ้นที่ประเทศเนปาลนั้นฉันจัดการกับมันอย่างไร
จูเกช กลายเป็นเพื่อนของฉันนับแต่วันที่เราได้รู้จักกัน วันที่ฉันจะกลับบ้านฉันได้ให้ของที่ระลึกจากเมืองไทยกับเขารวมทั้งการ์ดขอบคุณอีกหนึ่งใบ และหลังจากนั้นก็ได้ส่งโปสการ์ดจากเมืองไทยไปหาเขาเรื่อยๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เราเร่ิมติดต่อกันในฐานะเพื่อนจนกระทั่ง
จดหมายอีเลคโทรนิคเร่ิมที่จะแพร่หลายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารยุคใหม่ ทำให้เราสื่อถึงกันได้รวดเร็วทันใจ
จดหมายอีเลคโทรนิคเร่ิมที่จะแพร่หลายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารยุคใหม่ ทำให้เราสื่อถึงกันได้รวดเร็วทันใจ
ส่วนนายกฤษณานั้น ฉันเคยส่งโปสการ์ดไปให้เขาที่โรงแรมแต่ไม่ได้รับตอบจากเขา เดาว่าเขาคงไม่ได้รับ ที่เนปาลระบบไปรษณีย์ยังไม่ก้าวหน้านัก การจัดระเบียบเมืองก็ยังไม่ดีพอทำให้บ้านแต่ละหลังไม่มีเลขที่ การจะส่งจดหมายหรือพัสดุไปที่เนปาลต้องส่งไปยังตู้ไปรษณีย์ที่เจ้าของต้องเช่าอีกทีหนึ่ง
จูเกชยังคงทำงานอยู่ที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ ส่วนฉันก็ยังทำงานที่บริษัทเดิม เราส่งข่าวคราวหากันเป็นระยะๆ ถี่บ้างห่างบ้างแล้วแต่ความวุ่นวายในชีวิตแต่ละคน
สามปีผ่านไปไว (ไม่ได้โกหก) จนมาถึงปี ค.ศ 2000 เราก็ยังคงติดต่อกันอยู่เสมอๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ฉันตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง เปลี่ยนไปหาสิ่งใหม่ๆ จากที่ทำงานที่บริษัทเดิมมาเป็นเวลากว่า 7 ปี เปลี่ยนเพื่อจะได้เจอผู้คนและอะไรใหม่ๆ ในชีวิตบ้าง เพื่อที่จะลืมและตัดใจจากอะไรบางอย่างให้ได้
ฉันคิดว่าการเปลี่ยนงานและการเดินทางจะเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างดี เพราะจะได้พักจากงานที่เหนื่อยล้า เหตุจากการที่ไม่ได้พักร้อนมาเป็นเวลาเกือบปี จะได้ไปใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรให้แตกฉาน
คิดแล้วคิดอีกว่าจะไปไหนดีที่ไปคนเดียวได้ไม่อันตราย ค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก มีเพื่อนที่จะพาเที่ยวได้ว่าแล้วก็ …
“จูเกช ฉันกำลังจะเปลี่ยนงาน เลยจะไปพักร้อนที่เนปาลซักสองอาทิตย์ จะรบกวนนายช่วยจองโรงแรมให้หน่อยได้มั้ย ไม่เอาฮอลิเดย์อินน์นะ เพราะมันแพงเกินงบ เอาแบบถูกหน่อย อยู่สะดวกและสะอาด” ฉันส่งอีเมล์ไปหาจูเกช
“เธอมาได้จังหวะพอดีเลย ผมกำลังจะแต่งงาน อยากให้มาร่วมงานแต่งงานของผม” จูเกชตอบกลับมาพร้อมกับบอกช่วงเวลาที่เหมาะกับการเดินทางเพื่อให้ฉันจองตั๋ว ส่วนเรื่องโรงแรมไม่มีปัญหาจัดให้ได้สบายมาก
ฉันตื่นเต้นที่จะได้กลับไปยังดินแดนแสนรักอีกครั้ง เริ่มเตรียมตัวลาออกจากงาน พร้อมจองตั๋วเครื่องบิน แถมยังไปอวดเพื่อนๆ อีกว่าจะได้ไปงานแต่งงานเพื่อนชาวเนปาล
“เธอจะบ้าเหรอ ไปคนเดียวเนี่ยนะ เพื่อนชาวเนปาลก็เจอกันแป้บเดียว ไม่ได้สนิทสนม แล้วนั่นมันก็นานสามปีมาแล้ว ถ้าเค้าหลอกเธอไปทำมิดีมิร้ายล่ะ จะแต่งงานจริงรึเปล่าก็ไม่รู้” เพื่อนสาวคนสนิทกล่าวตักเตือนด้วยความเป็นห่วงในพฤติกรรมคิดน้อยของฉัน
“อ้าว แล้วถ้างั้นเธอจะไปเป็นเพื่อนฉันมั้ยล่ะ” ฉันย้อน
เธอพยายามหาข้อทักท้วงต่อไปเพราะยังไงก็ไม่สามารถไปกับฉันได้
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ฉันตัดสินใจไปมันห่ามเกินไปรึเปล่า แต่ลึกๆ โดยไม่มีเหตุผลอะไรมาสนับสนุนใช้ความรู้สึกล้วนๆ ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นทริปที่ดี ฉันคงจะสามารถลืมอะไรบางอย่าง คนบางคนออกไปจากใจได้ อย่างน้อยก็ช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น แล้วอีกอย่างจะมีใครซักกี่คนได้ไปงานแต่งงานชาวเนปาล ?
แต่เพื่อความสบายใจของเพื่อน ฉันได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ที่โรงแรมไว้เผื่อว่าฉันเกิดหายสาปสูญไปอย่างน้อยก็ยังพอมีข้อมูลทิ้งไว้ให้ตามหาได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น