30 เมษายน 2554

9. เหาะไปไหว้พระ

     วันนี้เราตื่นเช้าอีกเช่นเคยเพื่อที่จะเดินทางไปยังวัด “มานากามานะ” (Manakamana) 
ซึ่งอยู่ระหว่างถนนเส้นที่เดินทางไปโพครา เป็นวัดฮินดูที่บูชาเทพเจ้ามานากามานะ เราออกจากบ้านประมาณตีห้าและใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ตอนที่เราไปถึงนั้นเคเบิ้ลยังไม่เปิดให้บริการเราจึงต้องไปนั่งทานอาหารเช้ารอตรงร้านข้างๆ ทาง วัดตั้งอยู่บนภูเขาสูงถึง 1,302 เมตร ซึ่งในปัจจุบันมีรถเคเบิ้ลขึ้นไปถึงใช้เวลาไม่ถึง 10  นาที แต่ในสมัยก่อนนั้นคนที่อยากมาสักการะเทพเจ้าต้องเดินด้วยเท้าใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะขึ้นไปถึงยอดเขา บางคนใช้เวลาเป็นวันๆ ในการเดินทางเพราะเดินจากบ้าน
     รถเคเบิ้ลเปิดทำการประมาณเกือบเก้าโมงเช้า ซึ่งโชคดีที่คุณสุจิณได้จัดเตรียมตั๋วไว้ให้เรียบร้อย ไม่ต้องไปต่อแถวซื้อ เพียงแต่ต่อแถวเพื่อรอขึ้นเคเบิ้ลซึ่งมีจำนวนถึง 31 คัน และจุคนได้ถึง 6 คนต่อคัน จึงทะยอยขึ้นไปส่งคนได้เรื่อยๆ ไม่มีหยุด รถกระเช้าเคเบิ้ลนี้สร้างโดยบริษัทในประเทศออสเตรีย เชื่อถือได้ในเทคโนโลยีและความปลอดภัย ราคาต่อคนนั้นคือ 278 รูปี (ประมาณ 130 บาท ไปและกลับ) สำหรับคนท้องถิ่น แต่สำหรับคนต่างชาตินั้นเสียแพงกว่าคือ 10 ดอลล่าห์​ (ประมาณ 330 บาท ) เราออกจะตื่นเต้้นเพราะไม่เคยขึ้นรถเคเบิ้ลแบบนี้  ระหว่างที่รอก็สังเกตดูผู้คนที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถ่ินมีชาวต่างชาติบ้างแต่ไม่มากนัก อาจเป็นเพราะไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว วัดนี้ผู้คนนิยมมาทำพิธีบูชายัญจึงมีคนจูงแพะ อุ้มไก่ ขึ้นรถไปด้วย พวกสัตว์พวกนี้ก็ต้องเสียตังค์ค่าขึ้นรถเหมือนกัน ส่วนข้าวของที่นำขึ้นไปด้วยคิดเป็นกิโล
     เมื่อถึงคิวเราก็ก้าวขึ้นรถเคเบิ้ลไปกับคนท้องถิ่นอีก 3 คน รถเคเบิ้ลนี้ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนและมีความเร็วพอสมควรแต่นั่งแล้วสบายไม่กระตุก วิวรอบๆ ตัวก็สวย แถมด้านล่างยังเป็นแม่น้ำอีกด้วย  ถ้าใครกลัวความสูงอาจจะเกิดอาการเสียวนิดหน่อย


     ไม่นานนักเราก็ขึ้นไปถึงด้านบน ตรงบริเวณที่สถานีตั้งอยู่นั้นยังต้องเดินไปอีกหน่อยถึงจะไปถึงวัดมานากามานะ ระหว่างทางจะมีดอกไม้และสัตว์ขายให้แก่คนที่เดินทางมาสักการะเทพเจ้า รวมทั้งหมอดูที่มานั่งรอลูกค้า ฉันเองก็นึกในใจว่าอยากจะทดลองความแม่นเหมือนกัน แต่เดาว่าคงจะเข้าใจกันยากทีเดียวก็เลยตัดใจ คนนิยมเดินทางมาขอพรกันมากเพราะเชื่อกันว่าเทพเจ้าจะอวยพรให้คำขอเกิดขึ้นจริงโดยเฉพาะการมาขอให้ได้ลูกชาย ในช่วงหน้าหนาวนั้นวิวจะสวยมากเพราะด้วยความที่วัดอยู่ค่อนข้างสูง ช่วงเช้าๆ จะเห็นเหมือนวัดลอยอยู่บนหมู่เมฆ ตอนแรกฉันก็ตั้งใจว่าจะซื้อดอกไม้ไปถวายเทพเจ้าเหมือนกันเพราะไหนๆ ก็อุตส่าห์มาแล้ว แต่เมื่อเห็นคิวของคนที่ต่อแถวเพื่อเข้าไปถวายของในวัดแล้วก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะแถวยาวจนเลื้อยขึ้นไปยังบริเวณเนินเขาที่ต่อไปยังหมู่บ้านเล็กๆ คงเป็นเพราะเราไปในวันอังคารพอดี ซึ่งเป็นวันที่คนมักจะมาทำพิธีบูชายัญกันนอกเหนือไปจากวันเสาร์
     ตัววัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบโบราณเหมือนที่เราเห็นกันในหุบเขากาฐมาณฑุแต่เนื้อไม้นั้นเป็นสีดำ บริเวณใกล้ๆ มีที่สำหรับเชือดสัตว์เพื่อบูชายัญมีพนักงานประจำรับเชือดสัตว์เพื่อนำเลือดไปถวายให้แก่เทพเจ้า หลังจากนั้นเขาก็จะชำแหละและนำไปทานอาหารทำกันในครอบครัวต่อไป นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมรถเคเบิ้ลถึงมีบริการรับส่งของด้วย ถือเป็นโอกาสปิคนิคกันในครอบครัว แพะตัวหนึ่งก็ไม่ใช่ถูกๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะทำการเชือดเพื่อทำพิธีบูชายัญนั้นต้องถือเป็นเรื่องพิเศษ และจะเป็นช่วงที่ครอบครัวชาวเนปาลจะทานเนื้อสัตว์กันเป็นเรื่องเป็นราว


     เมื่อเดินสำรวจโดยรอบบริเวณวัดแล้วเราก็เดินต่อขึ้นไปสำรวจหมู่บ้านที่อยู่ด้านบน ซึ่งก็ได้พบเจอบ้านแบบโบราณทำด้วยดิน มีฝักข้าวโพดตากแห้งอยู่หน้าบ้าน เราพบคุณลุงคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบ้านให้การต้อนรับเราอย่างดี คงเป็นเพราะมีพี่ธันวาซึ่งเป็นคนเนปาลมาด้วยเลยได้พูดคุยกันรู้เรื่อง แกอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ กลางวันก็ออกไปทำไร่ไถนากันในบริเวณเชิงเขาที่อยู่ใกล้ๆ ฉันได้อาศัยบ้านแกเป็นที่เปลี่ยนเสื้ออันเนื่องมาจากอากาศร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เสื้อกล้ามที่ใส่ไว้ด้านในจึงหมดความจำเป็น ฉันรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับอากาศร้อนของเนปาลเท่าไหร่ เพราะสองครั้งแรกที่มาต้องพึ่งพาเสื้อหนาวเป็นเพื่อนคู่ตัว ชาวบ้านเแถวๆ นี้อัธยาศัยดีและค่อนข้างคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว ในสมัยก่อนกิจการโรงแรมและร้านอาหารคึกคักทำรายได้ดีกว่านี้มาก เพราะเมื่อครั้งยังไม่มีรถเคเบ้ิลนั้นคนต้องเดินเท้าขึ้นมา กว่าจะมาถึงก็ครึ่งค่อนวันเมื่อไหว้พระแล้วก็แล้วต้องพักแรมก่อนที่จะเดินกลับในวันรุ่งขึ้น พอมีรถเคเบ้ิลอำนวยความสะดวกให้กับคนท้องถิ่นมากขึ้น  ทำให้สามารถมาเวลาไหนหรือกลับเวลาไหนก็ได้เพราะรถเคเบิ้ลวิ่งตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น คราวนี้ความเดือดร้อนก็ตกอยู่กับคนท้องถิ่นที่เคยได้รายได้ค่าอาหารและค่าที่พักจากนักท่องเที่ยว ตอนนี้กิจการต่างๆ ก็ซบเซาลง ไม่รู้ว่ามีรถเคเบิ้ลแล้วดีกว่าหรือแย่ลงกันแน่  แต่ที่แน่ๆ คงจะดีสำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องมาขอพรจากเทพเจ้ามานากามานะ เพราะช่วยย่นย่อเวลาเดินทางลงไป 30 เท่าเชียว พี่ธันวาเองยังเคยเดินมาเที่ยวกับเพื่อนๆ เลยเมื่อตอนแกยังเป็นเด็ก แต่ถ้าให้ฉันเดินท่ามกลางอากาศร้อนขนาดนี้เป็นเวลาห้าชั่วโมงล่ะก็ ฉันคงแย่แน่ๆ อาจถึงขั้นเป็นลมกลางทาง
     เราเดินเล่นเรื่อยเปื่อยดูร้านรวงต่างๆ ตามข้างทาง ดูแล้วก็เป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีกิจกรรมคึกคักดีในช่วงกลางวัน แต่เดาว่าช่วงกลางคืนคงสงบและบรรยากาศคงจะดีทีเดียว 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น