08 พฤษภาคม 2554

17. วัดต้นแบบเนวาร์

     รถพาเราไปยังวัดโบราณสไตล์เนวาร์แท้ๆ คือวัด “ชางกุนารายัน” (Changu Narayan Temple) ตั้งอยู่บนเนินเขาห่างจากกาฐมาณฑุเพียงแค่ 6 กิโลเมตร และภักตาปูร์ 22 กิโลเมตร วัดนี้สักการะพระวิษณุหรืออีกชื่อหนึ่งคือ “นารายัน” เป็นโบราณสถานที่สำคัญและสวยมากๆ ตัววัดมีหลังคา 2 ชั้น ชั้นบนเป็นหลังคาทำจากทองแดง ส่วนชั้นล่างทำจากอิฐ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบเนวาร์แท้ๆ ตามประวัติแล้วยังไม่สามารถสรุปได้แน่นอนว่าวัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยไหนและใครเป็นผู้สร้างแต่หลักฐานอื่นๆที่พอมีเกี่ยวกับวัดนี้ก็คือประวัติเกี่ยวกับการบูรณะในยุคสมัยต่างๆ เพราะเกิดแผ่นดินไหวและไฟไหม้หลายครั้ง ทำให้พอรู้ว่าวัดคงจะมีอายุ
มาก่อนยุคที่กล่าวถึง มีจารึกที่สำคัญสลักอยู่ที่เสาต้นหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องราวการรบและชัยชนะในแต่ละครั้งของกษัตริย์ มานา เทวะ (Mana Deva) รวมไปถึงการบริจาคเงินให้วัดแห่งนี้ ซึ่งจารึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี ค.ศ 464 เพราะงั้นก็แปลว่าวัดนี้น่าจะสร้างขึ้นก่อนหน้านั้น วัดนี้ก็เหมือนวัดฮินดูอื่นๆ ที่มีประตูทางเข้าถึง 4 ด้าน ซึ่งตอนที่เราไปนั้นปิดอยู่ (ปกติคนที่ไม่ได้นับถือฮินดูไม่สามารถเข้าไปด้านในตัววัดได้)​ ด้านหน้าพิเศษหน่อยทำด้วยทองเหลืองฉลุลวดลาย
สวยงามอลังการ ด้านอื่นๆ เป็นไม้แกะสลัก แต่ที่ต้องมีเหมือนกันก็คือสิงโตเฝ้าหน้าประตู ดูแล้วหน้าตาเหมือนสิงโตใจดี ทำจากหินแต่งองค์ทรงเครื่องเพียบพร้อมแต่มีสีสันแต่งแต้มตรงบริเวณดวงตาแถมยังอยู่ในท่ายิ้มยิงฟัน ในยุคสมัยของพระเจ้า มานะ เทวะ นั้น วัดนี้ได้รับการเคารพอย่างมากเรียกได้ว่ามีความสำคัญเทียบเท่ากับวัด ปชุปตินาถเลยทีเดียว ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือรูปปั้นครุฑเชื่อกันว่าเป็นรูปปั้นที่มีอายุอานามเก่าแก่มากๆ แถมยังเป็นต้นแบบของรูปครุฑธนบัตรเนปาลอีกด้วย (ใครมีแบ้งค์เนปาลลองพลิกดูด้านหลังจะได้เห็นภาพ) เนื่องจากวัดตั้งอยู่บนเนินเขาสูงประมาณ 1,541 เมตร ทำให้เราสามารถมองลงมาดูวิวของหุบเขากาฐมาณฑุที่สวยงามได้อย่างเพลิดเพลิน
     วัดนี้มีสีสันมากกว่าวัดอื่นๆ ที่เราไปดูมา สีโดยรวมออกส้มและแดง มีการสลักลวดลายของไม้ได้อย่างละเอียดและมีความวิจิตรบรรจงมาก ไม่ว่าจะเป็นคานค้ำหลังคา หน้าต่าง ประตู ล้วนมีสีสันลวดลายสวยงามและมีความหมายในเชิงศาสนา ออกจะถูกใจฉันอยู่มากเพราะเป็นคนชอบสีสันสดใส ด้วยประวัติอันยาวนานและคุณค่าด้านสถาปัตยกรรมรวมทั้งวัฒนธรรมทำให้วัดชางกุนารายันได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลก อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรยูเนสโกตั้งแต่ปี ค.ศ.​1979
     วัดชางกุนารายันนอกจากจะได้รับการกราบไหว้บูชาโดยชาวฮินดูแล้ว ชาวพุทธเองก็ให้ความนับถือและเชื่อว่าเป็นวัดของพระอวโลกิเตศวร เป็นการอยู่ร่วมกันของคนที่นับถือศาสนาต่างกันได้อย่างน่าเอาแบบอย่าง ความจริงวัดก็เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นตัวเแทนและเป็นที่แสดงความศรัทธาต่อพระเจ้า เทพเจ้าพระพุทธรูป แต่ความเชื่อความศรัทธานั้นจริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเรานั่นเอง



     การเดินทางของวันนี้ยังไม่จบแต่เพียงแค่นี้ นึกๆ ไปก็เหมือนซื้อตั๋ววันเข้าดิสนีย์แลนด์ ต้องเล่นเครื่องเล่น ดูการแสดงให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะหมดวัน ไม่งั้นเดี๋ยวตั๋วหมดอายุ
     เราเดินทางต่อขึ้นไปยัง “นาการ์ก็อต” หลังจากที่การเดินทางมาเนปาลในครั้งแรกฉันมีโอกาสเพียงแค่ขึ้นไปจิบชา คราวนี้ขอดูพระอาทิตย์ตกดินและนอนพักสักคืนเพื่อตื่นมาดูพระอาทติย์แย้มแสงแรกซักครั้ง คุณสุจิณได้จัดเตรียมจองโรงแรมเล็กๆไว้ให้เราชื่อว่า​ โรงแรม 
“นิวา” (Niwar) แปลว่าแสงอาทิตย์ วิวจากโรงแรมนี้ก็สวยพอใช้ได้ ถ้าเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวคงจะสวยกว่านี้มาก แต่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรเพราะฟ้าไม่เปิดเอาซะเลย เมฆเลยลอยเต็มครอบครองพื้นที่น่านฟ้าไปซะหมด นักท่องเที่ยวมีเพียงไม่มากนักแค่ครอบครัวชาวอินเดียและชาวยุโรปอีกไม่กี่คนหลังจากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นจากความเหนื่อยมาทั้งวัน อากาศเริ่มเย็นลงหน่อยแต่ไม่ถึงกับหนาว ฉันชวนพี่ตุ๊กออกไปเดินเล่นด้านล่าง เมื่อเราลงมาพี่ธันวาก็ได้เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้นก่อนแล้วจึงชักชวนกันเดินไปตามทางเพื่อหาที่นั่งเหมาะ ๆ เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินกัน




     ภาพที่เห็นไม่ได้สวยจับใจเหมือนที่ตั้งใจไว้ พระอาทิตย์ดูขมุกขมัวเหมือนคนอารมณ์ไม่ดี ก็มาผิดฤดูกาลเองนี่นาโทษใครก็ไม่ได้ แต่ก็เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี เป็นช่วงที่รู้สึกว่าเราอยู่ภายใต้บรรยากาศอันเงียบสงบมีแต่เสียงและกลิ่นของธรรมชาติ  รู้สึกว่าเป็นการหยุดใช้ชีวิตผาดโผนแล้วก็หันกลับมามองความสวยงามของธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน วนเวียนตามเวลาใกล้เคียงกัน ไม่ว่าชีวิตเราจะผันแปรไปแค่ไหน ไม่ว่าเราจะรวยขึ้นหรือจนลง ทำงานหนักหรือขี้เกียจ โกรธเกลียดหรือรักใคร โมโหหรือมีจิตใจสงบ พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นและตกทุกวันอยู่ดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครั้งที่แล้วที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากเทือกหิมาลัยฉันรู้สึกถึงพลังแห่งความย่ิงใหญ่ พลังของชีวิต  แต่วันนี้ที่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกลงด้วยแสงที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ก็สร้างความรู้สึกที่แปลกไป ชีวิตมีเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ เรื่องราวทุกเรื่องในโลกนี้มีเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีวันจบลงเช่นกัน เพราะงั้นอย่าไปยึดติดกับอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ เพราะทุกอย่างมันก็ต้องผ่านไป แล้วเราก็ยังมีพลังแห่งแสงอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้นให้รอคอย

2 ความคิดเห็น: