11 พฤษภาคม 2554

20. รำลึกความหลัง

     หลังจากออกจากวัดโคปังแล้ว เราก็นั่งรถกลับเข้าเมือง พี่ธันวาแยกตัวไปพบกุมารีก็เลยลงระหว่างทางเพื่อนั่งแท้กซี่ต่อและให้รถไปส่งเราที่บ้านโดยที่จูเกชจะมารับเพื่อไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน ระหว่างทางนั้นรถติดมากแทบจะจอดสนิทเพราะมีขบวนประท้วงบนถนน คนขับรถสมองไวเลี้ยวลัดเข้าซอยทางลัด แต่ก็ไปติดอีกทาง ค่อยๆ กระดืบไปเรื่อยๆ กว่าจะไปถึงบ้านก็เลยเวลานัดไปมาก​ ฉันส่งแมสเซจไปบอกให้จูเกชมารับในเวลาบ่ายโมงเกรงใจเพื่อนที่ทำให้เสียเวลา
     จูเกชขับรถมารับเรากลับไปยังบ้านของเขาเพื่อที่จะพบกับสมาชิกครอบครัว ฉันรู้สึกตื่นเต้นถามไถ่เขาเป็นการใหญ่ว่าจะมีใครอยู่ที่บ้านบ้าง (วันนั้นเป็นวันเสาร์) เขาบอกว่าอยู่ครบทุกคนเพราะเขาบอกว่าฉันจะมาที่บ้าน ทุกคนก็เลยอยู่รอพบ เว้นแต่ กีรัน (Kiran) ซึ่งเป็นพี่เขยของเขาซึ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ฉันยังจำเขาได้ดีเพราะเขาเป็นคนพาฉันไปเที่ยวดูวัดต่างๆ ตั้งหลายวัด สงสารก็แต่ลูกๆ กีรีต (Kireet) อายุยังน้อยมากเมื่อตอนที่พ่อจากไป ทำให้เขาเติบโตมาด้วยความเศร้าสร้อย ส่วน เชราชา (Sherasha) พี่สาวอยู่ในวัยที่เริ่มโตพอดีก็เลยทำใจได้มากกว่า ฉันรู้สึกเศร้ามากขึ้นไปอีกเมื่อจูเกชเล่าต่อว่า ตอนที่เขาบอกว่าฉันจะมาที่บ้าน กีรีตทำหน้าคิดคำนึงและดูเศร้าลง อาจเป็นเพราะว่ามันทำให้เขาระลึกถึงความหลัง
ครั้งเก่าที่พ่อของเขาพาฉันไปเที่ยว และเขาเองก็ไปด้วย ทำให้มีความทรงจำดีๆ กับการเดินทางครั้งนั้น แม้ว่ากีรีตอายุไม่ถึง 10 ขวบในตอนนั้นแต่เขาก็ยังจำฉันได้ดีรวมทั้งทุกๆ คนในครอบครัวของจูเกชด้วย
     ไม่นานนักเขาก็ขับรถไปจอดแถวๆ ปากทางเข้าตลาด ปกติบ้านคนเนปาลที่อยู่ในเมืองนั้นอยู่ติดๆ กันถนนก็แคบ ไม่มีที่ให้จอดรถ ก็เลยต้องจอดในที่สาธารณะเสียเงินค่าฝากจอด เขาเดินนำเข้าไปยังตลาดเมื่อใกล้ถึงบ้านเขาก็หยุด
     “เริ่มคุ้นเคยรึยัง” เขาถาม
     “ก็คุ้นๆ นะ แต่ไม่ใน่ใจว่าไปทางไหน รู้แต่ว่าบ้านคุณอยู่ละแวกนี้แหล่ะ” ฉันตอบ
     เขาพาเดินต่อไป เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังตรอกเล็กๆ ที่มีเจดีย์เล็กๆ อยู่ตรงทางเข้า ฉันเริ่มคลับคล้ายคลับคลาและตื่นเต้นมากขึ้น และแล้วก็ไปถึงบ้านเขาจนได้
     จูเกชพาเราเดินผ่านทางเข้าที่ค่อนข้างมืด มีมอเตร์ไซค์จอดอยู่สองคัน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นของน้องชายเขา มอเตอร์ไซค์ดูทันสมัยขึ้นไม่เหมือนคันเก่าเมื่อครั้งที่ฉันนั่งซ้อนท้ายฝ่าความหนาวเหน็บกลับโรงแรมเมื่อหลายปีก่อน เราเดินขึ้นไปยังชั้นสองและเข้าไปในห้องที่เตรียมไว้ต้อนรับเรา เป็นห้องนอนของบาซุหรือที่เรียกกันคุ้นปากว่า คิง (Bazu หรือ King) คนที่นี่เขาไม่ได้รู้สึกว่าห้องนอนเป็นห้องส่วนตัวเหมือนเรา ก็เลยใช้รับแขกได้
     ราเกช ( Rakesh ) เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ตัวใหญ่ขึ้นและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะ เขาทำงานธนาคารส่วนคิงเองก็ท้วมขึ้นตามวัย ทำงานในบริษัทโฆษณา หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาทักทายฉัน พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของจูเกช ซาฟาร่า (Safara) ดูผอมลงและตัดผมตามสมัยนิยมทำให้ดูกระฉับกระเฉงมากขึ้นจากเมื่อครั้งที่ฉันเจอครั้งที่แล้ว เธอไม่ดูว่ามีร่องรอยของความเศร้าหลงเหลืออยู่จากการเสียสามี อาจเป็นเพราะเธอต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะเป็นผู้นำครอบครัว ความจริงเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านนี้แต่ก็มักไปมาหาสู่กันเสมอๆ อย่างเช่นวันนี้ก็ถือว่าเป็นวันพิเศษ นีจารา (Nirjala) น้องสาวคนเล็กของจูเกชไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ ส่วน นูนู่หรือซาราล่า ( Sarala ) ที่แต่งงานพร้อมกับจูเกชนั้นตอนนี้มีลูก 2 คนแล้ว เธอเข้ามาทักทายแล้วก็ขอตัวไปช่วย ริซ่า ทำอาหารต่อ คราวนี้มาถึงคนสำคัญ กีรีตเดินเข้ามาพร้อมกับบางอย่างในมือ เขาตัวสูงขึ้นมากและกลายเป็นหนุ่มน้อยไปเสียแล้ว ฉันยิ้มทักทายเขา แล้วเขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับยื่นของในมือให้ฉันดู ตอนนั้นฉันรู้สึกตื้นตันใจมาก เพราะส่ิงที่ฉันเห็นก็คือรูปถ่ายของฉันกับเขาบริเวณดูบาร์สแควร์ ตอนนั้นเขายังตัวเล็กมากสูงแค่หน้าอกฉันเท่านั้น เขายืนด้านหน้าโดยที่ฉันวางมือไว้ที่่ไหล่ของเขา หลายๆ ครั้งที่ฉันมองภาพนั้น ก็ยังนึกถึงเด็กตัวเล็กหน้าตาน่ารักคนนั้นเสมอๆ วันนี้ที่ฉันกลับมาเจอเขา เด็กน้อยคนนั้นได้เติบโตขึ้นมาก แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกเศร้าในใจก็คือ เมื่อมองผ่านไปยังดวงตาของเขานั้น มันเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง มีแววเศร้าสร้อย ทำให้ฉันเริ่มกังวลหน่อยๆ กลัวว่าเขาจะโตขึ้นมาด้วยปมในใจ เพราะช่วงเวลาของการเป็นวัยรุ่นนั้น ไม่ว่าจะชาติไหนก็คงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเหมือนกัน แล้วถ้าไม่มีพ่อที่คอยดูแลใกล้ชิดเขาอาจจะไม่รู้จะไปปรึกษาปัญหาต่างๆ กับใคร สำหรับซาฟาร่าเองก็ทำงานหนักและต้องเดินทางไปต่างจังหวัดค่อนข้างบ่อย เพราะเธอเป็นครูและต้องเดินทางไปฝึกสอนให้กับครูในชนบทอยู่บ่อยครั้ง




     ฉันนั่งทบทวนความหลังและถามไถ่ความเป็นไปของแต่ละคนให้สมกับความคิดถึง ทุกคนให้การต้อนรับฉันอย่างดีมากเหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบแปดปีแต่ความใจดีและมีน้ำใจของครอบครัวนี้ไม่มีจืดจาง ซักครู่คุณพ่อและคุณแม่ของจูเกชก็เดินเข้ามาทักทายฉัน ฉันไหว้แสดงความเคารพแบบไทยๆ พร้อมกล่าวทักทาย “นมัสเต” พ่อและแม่ยิ้มดีใจเหมือนเจอลูกหลาน แม้ว่าท่านจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ก็พยายามพูดกับฉัน แถมยังบอกอีกด้วยว่าให้กลับมาอีก อย่าหายไปนานๆ ถ้ามาไม่ได้ก็ให้โทรมาก็ยังดี
     ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ประหนึ่งว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวยังไงยังงั้น รู้สึกเสียใจและโกรธตัวเองที่ไม่ได้ซื้อของมาฝากให้ครบทุกคน เราได้รับการต้อนรับด้วยของขบเคี้ยวทานเล่นเป็นมันฝรั่งทอดและแบบแผ่นยี่ห้อคุ้นเคย และผักสด อาจิต (Ajit) และ ไอช่า (Isha) ลูกชายและลูกสาวของจูเกชซึ่งอยู่ในวัยกำลังซนและน่ารักเพราะหน้าคมเข้มตาโตสนุกกับการแกะของขวัญที่ฉันนำมาฝาก



     เราพักครึ่งด้วยการออกไปช้อปปิ้งโดยมีตัวช่วยหลายอย่าง
     อย่างแรกราเกชออกไปแลกเงินเรทพิเศษสุดๆ มาให้เราถลุง
     อย่างที่สองมีผู้ช่วยพาไปช้อปปิ้ง นีจาราและซาฟาร่า พาเราไปเดินซื้อของตรงตลาดใกล้ๆ บ้าน ฉันมีของที่อยากซื้ออีกไม่กี่อย่าง อย่างแรกย่อมต้องเป็นส่าหรีมาทั้งทีไม่ซื้อกลับบ้านเสียดายแย่ เราไปนั่งเลือกผ้าอยู่ในร้านขายส่าหรีอยู่พักใหญ่ รสนิยมของฉันกับคนที่นั่นไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ เขานิยมใส่ผ้าลายดอกเยอะๆ กัน ส่วนฉันชอบแบบเรียบๆ และมีความมันนิดนึงคล้ายๆ เนื้อไหม มีลายนิดหน่อยตรงปลายๆ พอสวยงาม เพราะงั้นไม่ว่าคนขายหยิบผ้าช้ินไหนที่เขาว่าสวยจับใจขึ้นมาอวดก็ไม่ผ่านความเห็นชอบของฉันซักผืน 
     นีจาราความจำดีมากเพราะเธอเอ่ยขึ้นมาว่า
     “ฉันจำได้ว่าครั้งที่แล้วเธอก็ซื้อคล้ายๆ แบบนี้แหล่ะ”
     “ใช่แล้ว เธอนี่ความจำดีจริงๆ เลย ฉันชอบแบบเรียบๆ น่ะ”
     ครั้งที่แล้วเธอก็เป็นคนพาฉันไปซื้อผ้าส่าหรีและกำไล
     สองสาวเมื่อเห็นผ้าก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เพราะผ้าร้านนี้ก็สวยๆ เยอะ เหมาะกับคนที่นั่นมาก บางผืนนั้นมีลายทองสวยงามมาก ในที่สุดฉันตกลงใจซื้อผ้า 3 ชิ้น 2 ชิ้นให้ตัวเองและอีกหนึ่งผืนเป็นของฝากแม่



     เราเดินต่อไปเพื่อซื้อเหยือกใส่น้ำ หลายวันที่อยู่ที่เนปาลเวลาไปตามบ้าน เห็นเขาดื่มน้ำกันจากเหยือกทองเหลืองก็เลยอยากมีไว้เป็นเจ้าของบ้าง สองสาวพาซอกแซกไปร้านประจำเพราะคุณภาพดีกว่าร้านตามข้างทาง ที่นี่เขาขายโดยการชั่งน้ำหนัก หนักมากก็แพงมาก นีจาราช่วยฉันเลือกเหยือกที่เนื้อดูดีไม่มีรอย เมื่อชั่งแล้วราคาประมาณ 650 รูปี ก็ประมาณ 300 กว่าบาท เลยตกลงปลงใจซื้อ เรายังซื้อถาดที่ใส่ธูปไว้จุดบูชาเทพเจ้ามาอีก เพื่อเป็นของฝาก หลังจากนั้นก็เก็บตกเครื่องประดับตามทางเพราะยังมีเงินเหลือ ได้กำไลและต้มหูแบบที่แปลกตาอีกหลายคู่
     เมื่อกลับถึงบ้านฉันแกล้งราเกชด้วยการบอกเขาว่า
     “แย่แล้วล่ะ…นายคงต้องแลกเงินให้เราเพิ่มเพราะเราใช้หมดแล้ว”
     เขาพลันลุกขึ้นอย่างฉับไว เตรียมออกไปจริงๆ เกือบยั้งตัวไว้ไม่ทัน ตามประสาคนมีน้ำใจ มาเที่ยวเนปาลนี่ ซื้อของได้สะใจดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น