10 พฤษภาคม 2554

19. สักการะพระนารายณ์

     วันนี้เราตื่นแต่เช้าเช่นเคยเพื่อไปทานอาหารเช้าที่บ้านคุณสุจิณซึ่งอยู่นอกเมือง บรรยากาศค่อนข้างดีเพราะแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ ปัจจุบันคนนิยมออกไปอยู่กันชานเมืองเยอะเพราะภายในใจกลางเมืองพื้นที่จำกัดและมีราคาแพง ก็เหมือนเมืองใหญ่ทั่วๆ ไป          
        บ้านคุณสุจิณสร้างแบบค่อนไปทางสมัยใหม่ ไม่ค่อยหลงเหลือความเป็นเนปาลเท่าไหร่ แต่มีความสะดวกสบายดี สมาชิกของบ้านนี้มีกัน 4 คน คือเขา ภรรยาและลูกสองคน ชายและหญิง อยู่ในวัยกำลังน่ารัก เห็นแกบอกว่าหัดให้พูดภาษาไทยด้วย อยากจะส่งให้มาเรียนที่เมืองไทยถ้ามีโอกาส แกพาเดินดูบ้านช่องอย่างใจดี บ้านมีหลายชั้นและมีห้องเผื่อไว้สำหรับแขกมาพักด้วย ภรรยาคุณสุจิณดูคล่องแคล่วและอัธยาศัยดี จัดแจงทำอาหารเช้าให้เราอย่างตั้งใจ เลยได้ทานอาหารเช้ามื้อใหญ่แถมอร่อยด้วย มีไข่ดาวผัดถั่ว (รสชาติดีมากๆ) และขนมปัง เราเลยอ่ิมตื้อเลยทีเดียว
     หลังจากนั้นเราไปวัด พุทธานิลกันฑา (Budhanilkantha) หรือวัดนารายณ์บรรทมศิลป์ เป็นวัดที่บูชาพระนารายณ์​ (ปางหนึ่งของพระวิษณุ)
     รูปปั้นของพระนารายณ์พระองค์นี้ถูกแกะสลักจากหินเพียงหนึ่งก้อน มีความยาว 5 เมตร เชื่อว่ามีอายุกว่า 1,300 ปี ตั้งแต่ราชวงศ์ ลิคชาวิ (Licchavi) ประทับอยู่บนตัวนาคซึ่งมีถึง 
11 หัว และลอยอยู่กลางน้ำซึ่งเป็นการจำลองมหาสมุทรแห่งจักรวาล  พระเศียรนั้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าตลอดเวลาโดยที่ไม่เคยเปิดให้สาธารณะชนได้เห็น พระพักตร์นั้นสวยงาม พระจักษุ
ครึ่งหลับครึ่งตื่น พระนาสิกโด่งได้รูป พระโอษฐ์ยิ้มน้อยๆ พระกรทั้ง 4 ถือสัญลักษณ์ที่อยู่คู่ตัวของพระวิษณุ นั่นก็คือ จักรา, หอยสังข์, คฑา และดอกบัว ขานั้นไขว้กันคล้ายๆ ท่าขัดสมาธิแบบหลวมๆ ทุกๆ เช้าจะมีคนทำพิธีวาดสีที่หน้าและถวายนมโดยการเทตรงพระโอษฐ์ เมื่อทำการบวงสรวงเสร็จสิ้นก็จะเปิดให้คนได้เข้าไปสักการะ ซึ่งส่วนใหญ่จะนำดอกไม้มาถวายและกราบหรือใช้หน้าผากสัมผัสที่บริเวณเท้า เริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้าเป็นต้นไป แต่คนต่างชาติไม่สามารถเข้าไปบริเวณด้านในได้                                     
     รูปปั้นพระนารยณ์ที่ประทับในลักษณะนี้มีอีก 2 องค์ แต่องค์นี้เป็นองค์เดียวที่กษัตริย์ของเนปาลจะไม่สามารถมาสักการะได้ เพราะเชื่อว่าถ้ามองรูปปั้นเมื่อไหร่ก็จะถึงแก่ความตายทันที พระนารายณ์บรรทมศิลป์จะอยู่ในสภาวะหลับในช่วงหน้าฝนประมาณ 4 เดือน และหลังจากนั้นก็จะตื่นซึ่งเป็นช่วงที่มีการเฉลิมฉลอง
     นอกจากไฮไลต์ของวัดนี้จะเป็นพระนารายณ์บรรทมศิลป์ ซึ่งฉันคิดว่าเป็นรูปปั้นที่สวยมากๆ รอบๆ วัดก็ยังมีกิจกรรมต่างๆ สำหรับคนที่มาสักการะ เช่นการเจิมหน้าผาก การสวดมนต์
เสดาะห์เคราะห์



     เมื่อชื่นชมวัดฮินดูเสร็จแล้วคราวนี้ไปวัดพุทธกันบ้าง เรามุ่งหน้าขึ้นเนินเขาไปยัง วัดโคปัง (Kopan Monastery) ซึ่งตั้งอยู่บนเขา เห็นได้แต่ไกล วัดนี้เป็นวัดพุทธสไตล์ทิเบตก่อตั้งโดย ลามะ ทับเทน เยเช ( Lama Thubten Yeshe ) หลังจากที่ท่านเสียชีวิตเชื่อว่ากลับชาติมาเกิดเป็นเด็กชายชาวสเปน โอเซล โทเรส (Osel Torres) ซึ่งเป็นบุตรชายของสองสามีชาวสเปนที่เป็นลูกศิษย์ของท่านที่มีความศรัทธาแรงกล้า เป็นผู้ก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรม “โอเซล ลิง”  ( Osel Ling ) ที่เมือง บูบิอง ( Bubion ) อยู่ใกล้ๆ กับเมือง กรานาดา (Granada) ประเทศสเปน ตั้งชื่อโดยท่านทะไลลามะ แปลว่า ที่ๆ มีแสงอันบริสุทธิ์ ( place of clear light ) เรื่องราวนี้เองเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังเรื่อง “พระพุทธเจ้าน้อย” (The Little Buddha) ตอนที่เราไปนั้น ลามะ โอเซล รินโปเช (หรือหนูน้อยโอเซล) ไม่ได้ประทับอยู่ที่วัดแล้ว
     ภายในบริเวณวัดมีขนาดกว้างขวางมาก ร่มรื่น เย็นสบาย และเงียบสงบ เหมาะกับการนั่งสมาธิสวดมนต์ มีพระที่มาบวชเรียนตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 7 ขวบ จนถึงพระอาวุโสหลายร้อยรูป ส่วนใหญ่เป็นชาวทิเบตและเนปาล มีเด็กที่ถูกส่งมาบวชเรียนจากต่างประเทศด้วยเช่น อินเดีย สิกขิม ภูฏาน บางส่วนก็บวชต่อไปจนตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับปรัชญาของศาสนาพุทธสายเกลุกปะ รวมถึงศาสนพิธี การอ่านคัมภีร์ การสวดมนต์ การทำ มันดารา (Mandara) จากทราย มีไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยที่อินเดียบ้าง รับใช้วัดในกิจกรรมต่างๆ แต่บางส่วนก็กลับไปเป็นฆราวาสเหมือนเดิม  
     ที่นี่มีคอร์สสำหรับผู้ที่อยากมาปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิด้วย สามารถมากินอยู่ที่วัดได้เลย มีคอร์สตั้งแต่ 7 วันจนเป็นเดือน ๆ ราคารวมค่าที่อยู่นั้นย่อมเยามาก ใครสนใจลองเช็คเข้าไปดูได้ที่ http://www.kopan-monastery.com มีแค่กฏการอยู่ที่ง่ายๆ ซึ่งชาวพุทธอย่างเราคงคุ้นเคยดีอยู่แล้วคือ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามโขมย ห้ามโกหก ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ห้ามใช้เครื่องช่วย
กระตุ้นทางอารมณ์ เช่น แอลกอล์ฮอล ยาเสพติด บุหรี่ การจะไปอยู่นั้นก็ต้องทำตัวง่ายๆ สบายๆ เขาเตรียมห้องไว้แบบห้องรวมก็มี หรือห้องเดี่ยวก็มี มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำให้พร้อมและไม่มีเตียงให้ ต้องเตรียมถุงนอนและผ้าห่มมาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาวเพราะอากาศที่นี่ค่อนข้างหนาวมาก ถ้ามากับคู่รักต้องแยกห้องกันนอน อาหารมีเตรียมให้ครบ 3 มื้อ แต่เป็นอาหารง่ายๆ และเป็นมังสวิรัติ



     เราเดินดูรอบๆ บริเวณ รู้สึกได้ถึงความสงบในจิตใจ ด้านหลังวัดนั้นมีเจดีย์ที่สวยมาก อยู่ภายในบริเวณที่เป็นสนามที่ได้รับการดูแลอย่างดี ด้านหลังเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ เป็นวิวที่เหมาะกับการทำจิตใจให้สงบนิ่งมองภูเขาแล้วมองตัวเอง จะได้รู้ว่าเราต่ำต้อยและตัวเล็กน้อยแค่ไหน
     ก่อนกลับเราแวะสนับสนุนกิจการของทางวัดกันที่ร้านขายของที่ระลึก ฉันได้หนังสือและซีดีเพลงมาสองสามแผ่น ส่วนพี่ตุ๊กก็ได้ซีดีและเสื้อยืดหลายตัว พี่ธันวาซื้อของฝากเพื่อนๆที่ทำงานได้ที่นี่ เป็นกระเป๋าใบเล็กสไตล์ทิเบต พระที่ดูแลวัดออกจะดีใจที่เราสนับสนุนของภายในร้านไปหลายอย่าง เงินเพียงเล็กน้อยนี้ก็คงช่วยเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่ทางวัดต้องจ่ายไปในแต่ละเดือนได้บ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น