11 กรกฎาคม 2555

11. เหรียญแห่งโชคชะตา

     ฉันตื่นลงไปทานอาหารเช้ากับพี่ลีและถามถึงนฐว่าได้ตื่นขึ้นมาตามเวลาที่ตั้งใจไว้รึเปล่า 
พี่ลีบอกว่าเขาออกเดินทางไปตั้งแต่ตี 4 แล้ว และดูท่าว่าจะกังวลใจจนแทบไม่ได้นอน เรานั่งนึกเป็นห่วงเขาว่าจะเดินทางโดยปลอดภัยรึเปล่า นึกถึงการนั่งรถกว่า 8 ชั่วโมงเมื่อวานนี้แล้วยังอดเหนื่อยแทนไม่ได้ แต่เราเองก็ต้องออกเดินหน้าไปอีก 4 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน
     “พี่ว่านฐจะยอมตามเราไปที่นูบราวัลเล่ย์ มั้ย” ฉันหยั่งเสียงถาม
     “อันนี้ต้องแล้วแต่ว่าเขาจะหากระเป๋าเจอรึเปล่า ถ้าเจอก็ไม่แน่ เขาอาจจะอยากตามเราไปเที่ยวก็ได้” พี่ลีแสดงความคิดเห็นในฐานะคนคุ้นเคย
     ฉันไม่อยากให้นฐต้องอยู่คนเดียวนานๆ กลัวว่าเขาจะคิดมากและหมกมุ่นกับเรื่องกระเป๋าตังค์หายและอารมณ์ขุ่นเคืองจึงบอกเขาให้ลองคิดทบทวนดูเรื่องที่จะตามเราไปเพราะคิดเอาเองว่าน่าจะเดินทางไปต่อจากทางด้านนั้นได้
     เมื่อถึงเวลานัด 8 โมงครึ่ง นัมเกลก็มารออยู่ที่รถแล้วพร้อมคนขับรถคนใหม่ ตัวเล็ก ๆ แต่ชอบยิ้มแย้มแจ่มใสจนตาหยี มีนามว่า “เซตัง” (Tsetang)
     “สวัสดีนัมเกล”
     “สวัสดีครับ”
     “วันนี้เหลือแค่เรา 2 คน”
     เขายิ้มแห้งๆ “คุณนฐโชคร้ายมากเลย”
     “ใช่ … เออ ​… เดี๋ยวคุณช่วยโทรถามโลตัสให้หน่อยนะว่าเค้าไปถึงไหนกันแล้ว หากระเป๋าตังค์เจอรึเปล่า” ฉันไหว้วานเขา
     “ได้ครับ” เขาตอบ
     “แล้วถ้าเกิดว่าเขาอยากไปนูบราวัลเล่ย์ต่อเนี่ย ไปจากทางนั้นเลยได้มั้ย” ฉันถามด้วยความหวัง
     “อ๋อ ไม่ได้หรอกครับ ต้องกลับมาที่นี่ก่อน” เขาบอก
     “อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะ” ฉันสงสัยเพราะเมื่อวานยังเห็นชี้ทางให้ดูอยู่เลยว่ามีทางแยกไปอีกทางหนึ่งได้หรือฉันละเมอไปเอง
     “ทางนั้น เขาไม่มีใบอนุญาตผ่านน่ะครับ ต้องกลับมาที่เลย์ก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไป”
     นั่นแปลว่าไป-กลับ เลห์-พันกอง ใช้เวลา 8-9 ชั่วโมง ขับไปนูบราวัลเล่ย์ อีก 4 ชั่วโมง รวมเป็น 12-13 ชั่วโมง จบข่าว มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหล่ะที่จะทำ ฉันเริ่มทำใจว่าเราจะไปเที่ยวกันแค่ 2 คน
      ฉันรู้สึกแปลกๆ ในตอนแรกเพราะยังไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับพี่ลีดีนัก แต่คนเราก็ต้องปรับตัวให้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงให้ได้จะได้เที่ยวอย่างมีความสุข ก็เราเหลือกันอยู่แค่ 2 คนนี่นะ
      “ถ้านฐจะกลับกรุงเทพฯ จริงๆ พี่ลีจะกลับด้วยมั้ยหรือจะอยู่ต่อ”
      “ไม่กลับหรอก อุตส่าห์ดั้นด้นมาแล้ว ไม่ใช่มากันได้ง่ายๆ นี่”
     ตลอดทางที่ไปนูบราวัลเลย์ฉันชวนพี่ลีคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้เพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น 
ส่วนนัมเกลวันนี้ได้นั่งสบายตรงเบาะด้านหน้าข้างคนขับรถไม่ต้องนั่งหลังงออยู่ด้านหลัง
     มันอาจจะเป็นโชคชะตาของเราทั้งสองคนที่ชักพามาให้เจอกันก็ได้ เพราะไม่น่าเชื่อว่าเวลาที่ไปเที่ยวเพียงไม่กี่วันทำให้ฉันกับพี่ลีสนิทสนมจนพูดคุยเรื่องส่วนตัวของกันได้อย่างสบายใจ และนี่คงเป็นอีกส่ิงหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการเดินทางในครั้งนี้ เรียนรู้ที่จะเปิดโอกาสทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ
     นัมเกลไม่ลืมสัญญาเขาพาเราไปแวะที่ Namgyal Tsemo Gompa อีกครั้ง คราวนี้เราได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในทุกห้องที่เขาอนุญาต ในห้องที่ธรรมปาลาประทับอยู่นั้นมีลามะรูปหนึ่งนั่งพันเชือกสำหรับใช้กับตะเกียงน้ำมันเนย ท่านดูรู้จักชอบพอกันดีกับนัมเกล เขาคุยอะไรบางอย่างกับท่านซักพักท่านก็เร่ิมสวดมนต์ ตีฉาบและกลองไปพร้อมๆ กัน เสียงสวดฟังดูไพเราะและสงบ เรายืนฟังอยู่ซักพักก็ลากลับออกมา
     “บทสวดมนต์นี้เป็นบทสวดทั่วๆไปเหรอนัมเกล…เพราะจังนะ” ฉันถาม
     “อ๋อ เป็นบทสวดมนต์พิเศษน่ะครับ ผมขอให้ท่านสวดให้คุณนฐหากระเป๋าตังค์เจอ” เขาตอบ                 
     พันตรีประจักษ์นี่ก็ช่างเป็นคนที่นึกถึงคนอื่นเหมือนกันนะเนี่ย
     “วัดนี้ส่วนใหญ่คนที่มาไหว้พระมักจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง ก็จะขอให้ลามะสวดมนต์ให้พรด้วยน่ะครับ”


     “วัดนี้ไงครับที่ท่านลามะที่เคยเป็นประมุขของที่นี่ตั้งชื่อให้ผมแต่ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว” เขาชี้รูปท่านลามะให้ดู
     “ตอนนี้รูปที่มาแทนอายุเพียงแค่ 5 ชันษาเองครับเชื่อกันว่าเป็นท่านกลับชาติมาเกิด”
     เรื่องของการกลับชาติมาเกิดของลามะนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อๆ กันมา เมื่อรูปไหนมรณะลงก็จะทิ้งร่องรอยไว้ว่าท่านจะไปเกิดใหม่ที่ไหนเป็นใคร และเมื่อตามไปพบแล้วก็ต้องมีการทดสอบกันว่าใช่ตัวจริงรึเปล่า เช่นการให้เลือกของใช้ส่วนตัวของลามะรูปนั้นๆ ซึ่งความเชื่อและการปฏิบัติแบบนี้ก็เพื่อให้คำสอนต่างๆ ที่ท่านเหล่านั้นเคยได้ร่ำเรียนมาไม่สลายหายไป


    ฉันสังเกตว่าชื่อของนัมเกลนั้นเหมือนกับชื่อราชวงศ์ เขาบอกว่าท่านลามะที่ตั้งชื่อให้เขานั้นตั้งชื่อให้พี่น้องเขาเป็นชื่อเดียวกันหมดเลย สงสัยจะชอบชื่อนี้เป็นพิเศษแต่ก็ถือว่าเป็นชื่อที่มีความหมายดีเพราะหมายถึง “ชัยชนะ”
    “อ้าว ยังงี้เวลาแม่เรียกก็งงสิว่านัมเกลไหน”
    เขาหัวเราะขำ
    “หรือว่าคุณมีชื่ออื่นอีกด้วย”
    “ก็มีครับถ้าเรียกนัมเกลเฉยๆ คนก็อาจจะไม่รู้ว่านัมเกลไหน แต่ถ้าเรียกชื่อท้ายก็จะรู้ทันทีครับ”
     สรุปว่าเขามี 2 ชื่อและ 1 นามสกุล
     เราเดินออกมาด้านนอก นัมเกลหยุดตรงประตูและควักเหรียญออกมาจากกระเป๋ากางเกง 
3 เหรียญ ยื่นให้เรา ฉันทำหน้างงๆ เขาก็บอกให้หยิบไปแปะไว้กับประตูแล้วจะโชคดี


     ตรงบริเวณประตูนั้นเต็มไปด้วยเหรียญเล็กใหญ่แปะอยู่ ฉันพยายามแปะอยู่หลายหนก็ไม่สำเร็จ (สงสัยไม่มีพลังเหมือนที่พระที่วัด Thiksey บอกจริงๆ ด้วย) หนสุดท้ายหล่นลงพื้น 
นัมเกลเลยช่วยหยิบมาติดให้ เฮ้อ…ฉันคงเป็นคนไม่มีโชคล่ะมัง ต้องอาศัยคนอื่นคอยช่วย
อุปถัมป์  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น