16 กรกฎาคม 2555

16. เวลาแห่งการจากลา

     วันนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้าเช่นเคย นัมเกลและโลตัสมารับเราตรงเวลาเป๊ะตอน 7 โมงครึ่ง รถที่ใช้ในการเดินทางไกลวันนี้เปลี่ยนเป็นรถโตโยต้า Inova ซึ่งนั่งได้ 6 คนสบาย ๆ เพราะเราจะมีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยอีกคือชาบีร์ เขาจะเดินทางไปที่ศรีนาการ์กับเราด้วย
เพื่อไปทำธุระที่นั่น ส่วนนัมเกลจะไปส่งเราเพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น
     เมื่อรถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากเลห์ฉันก็เริ่มรู้สึกใจหายเพราะยังไม่รู้สึกเต็มอ่ิมกับเลห์เท่าไหร่ก็ต้องจากไปซะแล้ว คงเหมือนเวลาที่เจอคนถูกใจซักคน ได้เร่ิมรู้จักเขา แต่ไม่ทันไรก็ต้องจากกันไปไกล ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับมาเจอกันอีก
     เราเดินทางโดยใช้เส้นทางเลห์-ศรีนาการ์ ซึ่งเป็นทางที่ตัดลัดเลาะตามเขาลูกแล้วลูกเล่าเหมือนเช่นเคย เหมือนหนังฉายซำ้ๆ มา 3 วันติดกันและจะฉายต่ออีก 2 วันเต็มๆ แต่ข้างทางนั้นวิวทิวทัศน์เปลี่ยนไป มีต้นไม้ที่มีความเขียวชะอุ่มมากขึ้น เส้นทางนี้เป็นเส้นทางบุกเบิกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเรา เพราะขนาดพนักงานบริษัททัวร์ที่จองทริปนี้ให้ฉันยังไม่เคยได้สัมผัสถนนเส้นนี้เลย แต่จากคำบอกเล่าว่าสองข้างทางนั้นวิวสวยนักหนา เราจึงตั้งอกตั้งใจสัมผัสอย่างเต็มที่ รถมาหยุดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเวลา 10 โมงครึ่ง ให้ชาวพื้นเมืองทั้งสามได้ทานข้าวเช้า สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราจัดการตัวเองจากที่โรงแรมมาเรียบร้อย ท้องจึงไม่ได้ร้องโวยวายแต่อย่างใด แต่มีเรื่องน่าหนักใจเรื่องอื่นเข้ามาแทนที่ คุณๆ คงเดาได้ไม่ยากว่า
เมื่อเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง เราจะเกิดอาการอะไรได้บ้าง เวลาแห่งความสยดสยองครั้งแรก
ของวันก็มาถึง เราทั้งสามปวดฉี่แบบที่ไม่ขอทนต่อเพราะเล็งจากถนนหนทางแล้วเราคงต้องไปอีกนานกว่าจะเจอที่หยุดพักด้านหน้า นัมเกลชี้ทางสวรรค์เบื้องบนให้เรา ขึ้นบันไดไปด้านข้างร้านขายของชำที่เขานั่งกินข้าวกันอยู่จะเจอห้องน้ำที่ประตูปิดไว้อย่างมิดชิด ฉันทำใจอยู่
พักหนึ่งจึงผลักประตูเข้าไป ภายในมืดมิดมองไม่เห็นรายละเอียดมากนักหากแต่กลิ่นเหม็นรุนแรงนั้นได้ถีบฉันกลับออกมาทันทีทันใด ฉันเริ่มใจเสียว่าคงจะไม่ได้เข้าห้องน้ำแน่ๆ แล้ววันนี้ ยืนชั่งใจอยู่นานความรู้สึกเหมือนว่าถูกทำโทษเพราะทำผิดร้ายแรงอะไรซักอย่าง จะเลี่ยงก็
ไม่ได้ ทางออกอื่นก็ยังหาไม่เจอ ในที่สุดเราก็ได้ผู้กล้า พี่ลียอมเสี่ยงที่จะเข้าไปกรุยทางให้ก่อน
     “เป็นไงพี่” ดูหน้าตาพี่ลีไม่สู้ดีนักคล้ายจะเป็นลมเมื่อกลับออกมา
     “สุดยอดแล้วห้องน้ำนี้ มาทุกรูปแบบ ทั้งกลิ่น ทั้งภาพด้านล่าง” พี่ลีทำหน้าเหยเก
     ฉันคิดไม่ตกว่าจะจัดการตัวเองยังไงดี แต่ในที่สุดก็คิดว่าต้องฝ่าฟันด่านนี้ไปให้ได้ ว่าแล้วก็โยนลูกอมรสมิ้นต์เข้าปากสองเม็ด ปลดเข็มขัดกางเกง อยู่ในท่าเตรียมพร้อม สูดหายใจเต็มปอด เดินหน้าลุยเข้าไป …​ ต้องยอมรับว่าห้องน้ำนี้เป็นห้องน้ำปราบเซียนมากๆ ถ้าถ่ายรูปภาพด้านล่างมารับรองว่าไม่ผ่านเซ็นเซอร์อย่างแน่นอน เพราะประกอบไปด้วยส่ิงหวาดเสียวโหดร้ายมาก ทั้งสิ่งที่ควรอยู่ในห้องน้ำและสิ่งที่ไม่ควรอยู่ ยากแก่การบรรยายมาก เพราะมันช่างสยดสยองซะเหลือเกิน ห้องน้ำนี้สมควรได้ชื่อว่า “กรุณาอย่าเข้า ถ้ายังกลั้นไหวอยู่” “Don’t go in if you can hold !”
     “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงพี่ลีเคาะประตู “โอเครึเปล่า เป็นลมไปรึยัง”
     “ยังไหวอยู่พี่ ใกล้เสร็จแล้ว” ฉันพูดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า
     ฉันออกมาพร้อมกับอาการเหมือนคนใกล้จะหมดลม นฐถึงกับไม่อยากจะเข้าไปต่อ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจฝ่าด่านนี้เข้าไป โดยการป้ายจมูกด้วยยาดม
    เมื่อเสร็จภาระกิจแล้วเราลงมาเดินสูดอากาศด้านล่างระหว่างรอสามหนุ่มทานข้าว ไม่มีใครอยากพูดถึงภาพและเหตุการณ์ที่เพ่ิงผ่านไปหมาดๆ อีกเลย ต่างคนต่างพยายามหาของสวยงามดูให้ลืมภาพบาดตาและกลิ่นบาดจมูก
    เรานั่งรถกันไปอีกนานมากๆ ผ่านเขาไปอีกกี่ลูกไม่มีใครนับไหว ใครที่พูดโอดโอยเรื่องการเดินทางไปปายว่าหลายโค้งหลายเลี้ยวมากนั้น ต้องเรียกว่าชั้นอนุบาลทีเดียวถ้าเทียบกับที่นี่ อย่างที่บอกว่าเรานั่งรถไต่ขึ้นไต่ลงเขาเป็นว่าเล่นบางช่วงนั้นมีโค้งเยอะมาก เยอะซะจนเขาเรียกกันว่า “Jalebi road” หรือขนมเจเลบียอดฮิตของอินเดีย เพราะขนมนี้มีหน้าตาเหมือนเกลียวโค้งมาพันกันหลายๆ ทบ เวลาทำเขาจะเทแป้งลงใปในกระทะแล้วก็วนวนวนให้เป็น
เกลียวซ้อนๆ กัน หลังจากนั้นนำไปชุบกับไซรัปให้หวานเจี๊ยบสไตล์อินเดีย หลังจากจบทริปนี้
ฉันเชื่อว่าเราทั้งสามคงสามารถเดินทางไปไหนๆ ได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความลำบาก ห้องน้ำที่ไม่สะอาด ถนนที่ขรุขระ หรือแม้แต่โค้งหักศอกบนภูเขา


     ตรงจุดที่แม่น้ำสินธุตัดกับแม่น้ำซันสการ์ (Zanskar) นับเป็นความสวยงามตามธรรมชาติที่น่าหลงใหล เป็นอีกหนึ่งจุดที่เรียกว่าสวยสุดๆ วิวทิวทัศน์และลักษณะของภูเขาตรงช่วงนี้เริ่มเปลี่ยนไป จากภูเขาหินแข็งๆ ก็เปลี่ยนเป็นภูเขาสีเข้มและเรียบ ดูไปดูมามีลักษณะคล้ายๆ หนังช้าง (ตอนยังไม่เหี่ยว)​


     เมื่อใกล้ถึงวัดลามะยูรุ (Lamayuru Monastery) ซึ่งจะเป็นที่สุดท้ายที่นัมเกลจะทำหน้าที่เป็นไกด์ให้เรา ตรงบริเวณภูเขาด้านข้างก็เปลี่ยนทัศนียภาพไป ขรุขระเหมือนผิวของพระจันทร์และมีสีซีดอ่อนกว่าบริเวณช่วงอื่นๆ เชื่อกันว่าในสมัยโบราณในยุคที่พระพุทธเจ้าศากยะมุนียังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น บริเวณตรงนี้เคยเป็นทะเลสาป และได้มีผู้ทำนายว่าในวันหนึ่งทะเลสาปจะหายไปและกลายเป็นสถานที่ที่เป็นตำแหน่งในการสร้างวัดพุทธ และเมื่อผ่านมาถึงศตวรรษที่ 11 ท่าน “นาโรปะ” (Mahasiddhacharya Naropa) ผู้ก่อตั้งวัดลามะยูรุ เป็นผู้ซึ่งศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้งได้นั่งสมาธิอยู่ในถ้ำซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของวัดจนทำให้หินบริเวณภูเขาโดยรอบแตกเป็นรอยร้าว น้ำในทะเลสาปจึงไหลออกไปหมด


     วัดลามะยูรุนั้นถูกสร้างไว้บนเนินเขา เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในลาดัคห์ซึ่งมีพระนิกายหมวกแดงอาศัยอยู่ที่นี่ ตอนที่เราไปถึงไม่มีพระซักรูปที่อยู่ภายในวัด เราจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปยังอารามกราบไหว้พระพุทธรูป ซักพักได้ยินเสียงสวดมนต์ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องด้านหลัง เราจึงเดินตามเสียงสวดเข้าไปด้านใน พบพระ 2 รูปกำลังตั้งสมาธิสวดมนต์อยู่ ฉันนั่งฟังด้วยใจสงบตั้งสมาธิสวดมนต์ขอพรให้เราเดินทางต่อไปอย่างปลอดภัยจนถึงจุดหมายปลายทาง
ในวันนี้ที่ดูท่าว่าจะยังอีกยาวไกลนัก





     เรากลับออกมาเพื่อที่จะออกเดินทางต่อไป แต่เกิดเหตุที่ทำให้ต้องหยุดพักซักครู่ ยางด้านหลังซ้ายของรถนั้นเกิดรั่วซึม ตอนแรกชาบีร์จะให้เรานั่งไปก่อนแล้วไปหาที่เปลี่ยนข้างหน้า
กลัวจะเสียเวลาแต่เราไม่ยอมเพราะกลัวอันตราย ถนนก็ใช่ว่าจะดีเดี๋ยวเกิดยางระเบิดรถเสียหลักขึ้นมา ตกเขาไปจะว่าไง ฉันไม่ยอมเป็นผีอยู่ที่ใต้หุบเขาอย่างแน่นอน อากาศย่ิงหนาวๆ 
อยู่ด้วย สามหนุ่มจึงต้องออกแรงช่วยกันเปลี่ยนยางโดยมีเราให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด เผลอแป้บเดียวยางอะไหล่ก็ไปอยู่ในล้อแล้ว เราจึงออกเดินทางกันต่อ


     รถแล่นลงมาจากวัดลามะยูรุนิดเดียวก็จอด
     “เอาล่ะ ถึงเวลาที่นัมเกลต้องจากไปแล้ว” ชาบีร์กล่าว
     เรางงๆ นิดหน่อย เพราะตลอดทางที่มาเราเฝ้าเพียรถามว่านัมเกลจะกลับไปเลห์ยังไงเพราะหนทางที่เรามานั้นมันแสนไกลเหลือเกิน ขับมาก็ครึ่งค่อนวันแล้ว ในใจก็ได้แต่คิดว่าเขาไม่ต้องเหนื่อยมาก็ได้เพราะเขาแค่ทำหน้าที่พาเราเข้าไปวัดเพียงวัดเดียวเอง แต่เมื่อรู้ว่าชาบีร์นับถือศาสนาอิสลามจึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องมีไกด์มาพาเราเข้าไป ชาบีร์ได้แต่บอกว่าเดี๋ยวจะมีรถของเขาผ่านมาจากทางศรีนาการ์ซึ่งจะแวะรับนัมเกลกลับไปเลห์ ซึ่งก็ทำให้เราสบายใจแค่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะนี่มันกลางเขาแท้ๆ เขาจะยืนรออยู่คนเดียวได้ยังไง (คิดตามประสาคนกรุงเทพรักสบายอย่างเรา)          

        
     เราลงจากรถมาร่ำลานัมเกล เขาขออีเมล์ของเราทั้งสามไว้เผื่อว่าจะมีโอกาสติดต่อในอนาคต ฉันยื่นซองเงินทิปให้เขาซึ่งรวบรวมจากเราสามคน ตอนแรกเขาทำท่าจะไม่ยอมรับ
     “รับไว้เถอะนะ เป็นการ์ดปีใหม่น่ะ” ฉันบอกเขา
     เขายิ้มแล้วรับไว้
     มีรถบรรทุกผ่านมาคันหนึ่ง ชาบีร์กับโลตัสพูดอะไรกับคนขับไม่รู้ เขาหยุดรถและรับนัมเกลขึ้นไปด้วย
     “อ้าว ตกลงว่าเขาไปกับรถบรรทุกเหรอ แล้วรถของคุณล่ะ”
     “เขาจะไปลงตรงหมู่บ้านที่เราแวะเมื่อเช้านี้ครับ เดี๋ยวรถผมไปแวะรับเขาที่นั่น” ชาบีร์ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติสามัญธรรมด๊าธรรมดา พวกชาวกรุงเทพนี่ตื่นเต้นอะไรกันนักหนา
      เรารู้สึกเป็นห่วงเขานิดหน่อยไม่รู้ว่าจะกลับไปถึงบ้านที่เลห์ตอนกี่โมงกัน รู้สึกว่าชีวิตรันทดแต่เขาคงมองว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เขาทำเป็นกิจวัตรไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร เหมือนเราขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถแท้กซี่ล่ะมัง ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้เราจะมีโอกาสเจอเขาอีกรึเปล่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อมีการพบก็ต้องมีการจากกัน ส่วนคนที่ยังวนเวียนอยู่ในชีวิตเราก็คงเป็นเพราะมีอะไรที่ผูกพันกันไว้ ถ้าเราอยากเก็บความรู้สึกและเรื่องราวดีๆ ต่อกันไว้ ก็คงต้องทำดีต่อกันไว้ให้มากๆ  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น