18 กรกฎาคม 2555

18. ยิ่งสูงยิ่งดำ ... ยิ่งหนาวยิ่งเตี้ย

     ตีห้าตรงตัวฉันกระเด้งขึ้นมาจากเตียงด้วยการปลุกจากเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ รีบตรงเข้าไปในห้องน้ำ เปิดก๊อก น้ำร้อนไหลออกมาอย่างแรงโดยไม่ต้องรอให้น้ำเย็นเฉียบกลายเป็นน้ำอุ่นเหมือนโรงแรมที่ผ่านๆ มา เขาทำตามที่สัญญาจริงๆ ฉันจึงอาบน้ำอีกรอบให้สบายตัว ด้วยรู้ว่าการนั่งรถในวันนี้ยังอีกยาวไกล เพราะเราผ่านมาเพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้น
     ตีห้าครึ่งเราพร้อมทานอาหารเช้า พ่อหนุ่มพนักงานต้อนรับหน้ามลคนเดิมเดินสะลึมสะลือขึ้นมาจากด้านล่าง มาในรูปแบบเดิมไม่ได้ลอกคราบ เจอเมื่อคืนอย่างไรเช้านี้ก็อยู่ในสภาพนั้นเพิ่มแค่ผมที่ยุ่งมากขึ้นอีกนิดหน่อย เป็นสไตล์ Bed Head (ผมทรงกระเซิงอย่างเป็นธรรมชาติหลังตื่นนอน) วันนี้เขารับหน้าที่เป็นพ่อครัวอีกหนึ่งตำแหน่ง  เมนูของเช้าวันนี้คือไข่ดาวเสริฟพร้อมขนมปังและชากาแฟ รีบทานเพื่อจะได้รีบไป เราเตรียมตัวเสร็จพร้อมออกเดินทางเวลา 6 โมงเช้าเป๊ะ ตามที่ชาบีร์สั่งไว้เพราะถ้าไปสายเราอาจจะไม่สามารถผ่านไปยังแคชเมียร์ได้เพราะด่านจะปิดในเวลาสายๆ เนื่องจากเป็นดินแดนที่อ่อนไหวมากๆ เพราะมีชายแดนติดกับปากีสถานและจีนแถมบางส่วนของแคชเมียร์นั้นยังอยู่ในประเทศทั้งสองอีกด้วย
     รถเคลื่อนตัวออกจากโรงแรม เราโบกมือบ้ายบาย คากิลทั้งๆ พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดี เพื่อมุ่งหน้าเดินทางต่อเพื่อไปยังศรีนาการ์ จุดหมายสุดท้ายของการเดินทางในวันนี้
     หนทางยังคงความทรหดเหมือนเดิม นึกถึงสุภาษิตที่ว่า “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” แต่อีนี่ฉานไม่ใช่ม้าน่ะจ๊ะ ก้นอ่อนหัดของพวกฉานจะรับมือกับถนนที่หาความเรียบไม่เจอได้ขนาดไหนกัน รับรองคนเป็นริดสีดวงต้องร้องจ๊าก หากแต่ว่าทิวทัศน์ข้างทางนั้นมีความ
ชุ่มชื่นมากขึ้น ต้นไม้น้อยใหญ่ผลัดสีเขียวเหลืองสลับกันไป มีแม่น้ำลำธารให้เห็นบ้าง ทำให้รู้สึกสบายตาและผ่อนคลาย ลืมเรื่องกระแทกกระทั้นก้นไปได้บ้าง แต่แดดที่นี่ไม่เคยปรานีใครยังแรงและเผาหน้าเราเหมือนเช่นทุกวัน ครีมกันแดดที่เพียรโปะลงบนหน้าทุกเช้านั้นอาจจะมีตัวเลข SPF ที่น้อยเกินไปเมื่อเจอพลังของแสงที่นี่เพราะไม่เพียงแค่ยิ่งสูงยิ่งหนาวแต่ยิ่งสูงก็ยิ่งดำอีกด้วย
     เราแวะหยุดพักยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำ ดื่มชาร้อนๆ กันคนละแก้วที่เมือง​ “ดราส” (Drass) เมื่อเวลา 9 โมงเช้า ที่นี่เป็นเมืองที่หนาวที่สุดเป็นอันดับสองของโลกแพ้แค่ไซบีเรีย 
ว่ากันว่าเมื่อฤดูหนาวมาเยือนอุณหภูมิจะลดต่ำลงไปถึง - 45 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ร้านที่เราแวะพักนั้นตกแต่งด้วยสีสันอย่างกับหนังของหว่องกาไวก็ไม่ปาน ได้บรรยากาศย้อนยุค 
อีกทั้งชามะนาวร้อนรสชาติจัดจ้านถูกปากก็ลูบท้องเราให้หายหนาวได้ แถมห้องน้ำก็ยังปรานีเรามากเพราะเป็นส้วนซึมมีน้ำราดทำความสะอาดเป็นกิจลักษณะ เรียกได้ว่าเป็นห้องน้ำชั้นเลิศที่สุดตั้งแต่แวะข้างทางตลอดหลายวัน  ฉันสังเกตุดูว่าผู้คนแถวนี้ตัวไม่ค่อยสูงนักขนาดผู้ชายยังมีส่วนสูงน้อยกว่าฉันเลย ไม่รู้ว่าเรื่องอากาศที่หนาวเย็นนั้นมีผลกับความสูงของคนรึเปล่า เอ๊ะ …​หรือว่ายิ่งหนาวจะทำให้คนมีรูปร่างเตี้ย





     ตอนแรกฉันนึกว่าเส้นทางขาไปแคชเมียร์น่าจะราบเรียบกว่าช่วงจากเลห์มาคากิลแต่นั่นเป็นเพียงแค่สมมติฐาน ยังไงซะการเดินทางในละแวกนี้เราก็ยังต้องไต่เขาขึ้นและลงไปตามทางที่ขรุขระ ถนนมีแย่บ้างสลับกับแย่มาก มีถนนเรียบๆ ให้เราเคลิ้มเพียงชั่วครู่แล้วก็จากหายไปโดยไม่ทันตั้งตัว มาพีคสุดๆ ก็ตอนที่เลี้ยวโค้งมาเจอรถติดบนภูเขานี่แหล่ะที่ทำให้เราอึ้งไป 
เดากันไปต่างๆ นาๆ ว่าเขาคงจอดรอให้รถใหญ่สวนมา แต่รอซักพักก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ โลตัสบิดกุญแจเพื่อดับเครื่อง รถต่างจอดเรียงกันเหมือนเข้าแถวซื้อตั๋วคอนเสิร์ตบอยแบนด์เกาหลี ผู้คนที่ติดอยู่บนเขาเร่ิมลงจากรถและออกมานั่งด้านนอก พูดคุยเดากันไปเรื่อย บางคนเร่ิมโยนหินเล่นลงไปในหุบเขา บางคนเดินไปด้านหน้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันกับนฐก็ทำตัวประหนึ่งชนพื้นเมืองอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ก็มันอยู่นิ่งๆ ไม่ได้นานนี่นา ว่าแล้วก็เดินล่ิวเพื่อไปมุงกับแขก ผ่านรถยนต์ รถบรรทุก รถทหารไปหลายสิบคันก็ยังไม่เจอจุดเกิดเหตุ คิดว่ารถคงเสียหรือชนกัน เราหยุดพักตรงกลางทางมองไปยังด้านหน้าที่มีรถจอดยาวเป็นกิโล เห็นแล้วท้อใจ ได้ความจากคนที่เดินกลับมาว่า เกิดหินถล่มด้านหน้าทำให้รถไม่สามารถสัญจรต่อไปได้ ต้องรอให้รถทหารมาช่วยกันขนหินออกไปก่อนการจราจรจึงจะกลับมาใช้การได้เหมือนเดิม ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกซักพักใหญ่ หันไปด้านหลังก็แถวรถ หันไปด้านหน้าก็แถวรถ เราไม่มีทางไปไหนเลย เดินลงเขาก็ไม่ได้ ถอยหลังกลับก็ไม่ได้ ได้แต่รอเหมือนคนจนมุม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราถึงจะได้ออกเดินทางต่อ ท้องเริ่มร้องครวญคราง เสบียงขนมในรถได้ถูกจัดการไปหมดแล้ว ส่วนอาหารกล่องของวันนี้ไม่ได้ถูกเตรียมไว้ให้เพราะจุดหมายแรกของเราคือ โซนามาร์ค ที่ซึ่งเราจะไปหยุดพักทานอาหารกลางวันกัน



     เรารอด้วยความหวังริบหรี่ นั่งๆ ยืนๆ มองๆ หรือถูกมองด้วยสายตาของชาวท้องถิ่นรอบข้าง นฐเริ่มเปิดเพลงผ่านไอแพด (ipad) เพื่อขับกล่อมให้อารมณ์สบายขึ้น ผู้คนต่างมารุมดูภาพจากจอเทคโนโลยีล้ำสมัย พากันทำหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นสาวๆฝรั่งเต้นกันสุดใจเหมือนร่างกายไม่มีกระดูกแถมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายมีเพียงน้อยนิด เวลาผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง เราเร่ิมได้ยินรถด้านหน้าสตาร์ทเครื่องยนต์ ดีใจเหมือนจะได้ออกจากค่ายกักกัน ในที่สุดเราก็ได้ออกเดินทางต่อ ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ เราก็เดินทางมาถึง “โซนามาร์ค” (Sonamarg) เพื่อหยุดพักทานอาหารกลางกันตอนบ่ายเศษๆ 


     โซนามาร์คเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของแคชเมียร์ ห่างจากศรีนาการ์ประมาณ​ 87 กิโลเมตร มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม หญ้าเขียวปกคลุมภูเขา มองไปมองมานึกว่าอยู่ยุโรปซะอีก ภูมิประเทศนั้นมีลักษณะเป็นหุบเขาที่ถูกโอบกอดด้วยภูเขาเขียวขจี สามารถมาพักผ่อนปิคนิคได้ หรือจะเช่าม้าเพื่อขี่ขึ้นเขาไปชมวิวทิวทัศน์ก็ได้ บางคนก็ใช้ที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นในการไต่เขา
     เราใช้เวลาไม่นานนักในการทานอาหารกลางวันเพราะเสียเวลากับเรื่องเดินทางมากแล้ว คนจูงม้าที่มายืนกันเรียงรายด้านหน้าร้านอาหารเพื่อรอให้เราเช่าขี่ขึ้นไปชมวิวบนเขาทำตัวเป็นวนิดาหรือปริศนานั้นต้องคอยเก้อ ไม่ได้แอ้มเงินเราสักรูปีเดียว 

1 ความคิดเห็น: