เส้นทางจากเลย์ไปนูบราวัลเล่ย์นั้นต้องตัดผ่านไปบนภูเขาเช่นเดียวกัน
เมื่อรถเริ่มไต่ขึ้นไปบนเขาทางก็เริ่มขรุขระขึ้นเรื่อยๆ รถเลี้ยวซ้ายขวาตามทางที่อ้อมเขาลูกแล้วลูกเล่า วกไปเวียนมาไม่แพ้ทางเมื่อวานนี้เลย
สภาพถนนค่อนข้างจะแย่กว่าด้านที่ไปทะเลสาปพันกองเสียอีก เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีทางเรียบให้สบายก้นเอาเสียเลย
แต่เซตังขับรถค่อนข้างช้าและระวังกว่าโลตัสมากเราเลยไม่ค่อยรู้สึกหวาดเสียวเท่าไหร่ เพื่อนร่วมทางของเรานั้นมีทั้งรถยนต์ส่วนตัว
รถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ รวมไปถึงรถมอเตอร์ไซต์ที่ขี่โดยคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยว
แต่ละคนก็มีจุดมุ่งหมายในการเดินทางด้วยกันทั้งนั้น สำหรับคนที่ไม่ลุยมากฉันแนะนำว่านั่งรถจี๊ปไปดูจะปลอยภัย สบายและสะดวกรวดเร็วที่สุด
ฉันไม่ได้แอบงีบระหว่างทางอาจเป็นเพราะเริ่มชินกับอากาศแล้วเลยพูดเจื้อยแจ้วเรื่องนู้นเรื่องนี้กับพี่ลีไปตลอดทาง
เราผ่านความทุลักทุเล ผ่านด่านตรวจ 3 ด่าน เช่นเคยกับดินแดนที่มีความอ่อนไหวแถบนี้
และแล้วเราก็เดินทางไปถึงจุดสูงสุดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว Khardung La ที่ความสูง 5,514 เมตร เรียกได้ว่าเราได้ผ่านการเดินทางโดยรถยนต์บนถนนที่สูงที่สุดในโลกกันแล้ว
ตามธรรมเนียมต้องแวะลงไปฝากรอยประทับไว้เช่นเคยในห้องน้ำที่สูงที่สุดในโลก
“นัมเกล
คุณคงรู้จักก้อนหินแถวนี้ดีทุกก้อนสินะ”
เขาหันมาย้ิมให้เป็นคำตอบ
วันนี้ดูเขาจะช่างพูดกว่าทุกวัน ตั้งแต่ออกเดินทางมานั้นน้ำลายแตกฟองพูดกับเซตังไม่หยุด
ภาษาพื้นเมืองของที่นี่มีสำเนียงที่น่ารักดีเหมือนกัน ไม่กระโชกโฮกฮากหรือออกเสียงยากมากเกินไป
“คุณรู้จักกับเซตังมาก่อนหน้านี้แล้วเหรอ”
“ใช่ครับ”
วันก่อนๆ
เขาไม่ค่อยจะพูดคุยกับโลตัสเท่าไหร่นักเหมือนพูดคุยเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น มารู้ทีหลังว่าเขาเพ่ิงเคยเจอกับโลตัสครั้งแรก
เมื่อเดินทางมาจนเข้าเขตนูบราวัลเลย์นัมเกลก็ให้รถหยุดตรงจุดชมวิวซึ่งมองลงไปเห็นแม่น้ำสายเล็กๆ
จริงๆ แล้วไม่เล็กหรอกแต่เรามองจากมุมที่สูงมากต่างหาก แม่น้ำสายนี้ชื่อว่า “ชายก”
(Shyok) สีฟ้าสดใสไหลคดเคี้ยวไปมาอยู่ด้านล่างมีแหล่งกำเนิดจากธารน้ำแข็งบนภูเขาสูงและไหลลงมายังหุบเขาเป็นแหล่งน้ำสำคัญให้กับชาวบ้านในแถบนี้ได้ใช้ดื่มกินและชำระล้าง
เราลงจากรถไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ฉากหลังเป็นภูเขาสีน้ำตาลสูงใหญ่ทอดตัวยาว
ต่อกันเป็นทิวสูงเสียดฟ้ากว้างสงบนิ่ง ด้านล่างเป็นแม่น้ำสีฟ้าสดไหลรินมีสีเขียวของต้นไม้ประปราย สีของธรรมชาตินั้นดูจะผสมผสานกลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี
ต่อกันเป็นทิวสูงเสียดฟ้ากว้างสงบนิ่ง ด้านล่างเป็นแม่น้ำสีฟ้าสดไหลรินมีสีเขียวของต้นไม้ประปราย สีของธรรมชาตินั้นดูจะผสมผสานกลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้นก็เป็นเวลาที่ท้องเรารอคอย เราหยุดพักที่ร้านเล็กๆ
แห่งหนึ่งข้างทางเพื่อทานอาหารกลางวัน ไม่บอกก็รู้ว่าอะไรอยู่ในกล่อง โรงแรมเตรียมอาหารแบบเดิมๆ มาให้ ฉันก็ได้แต่งับๆไปให้อ่ิมท้องเพราะเบื่อแซนวิชซะเหลือเกิน
ทุกวันฉันมักจะพูดปลอบใจตัวเองเสมอว่า “อย่าเรื่องมาก มีอาหารกินก็ดีแล้ว ยังมีคนอดอยากอีกมากมาย
มีอะไรก็กินกินเข้าไปเถอะ” บางทีฉันก็ชอบที่จะฝึกอดทนกับสิ่งที่มีอยู่ให้ได้ ไม่ร้องขออะไรมากมายทั้งๆ
ที่จริงๆ แล้วฉันค่อนข้างจะเป็นคนเรื่องมากเกี่ยวกับเรื่องกินพอสมควรทีเดียว แต่ในช่วงเวลาท่องเที่ยวเดินทางฉันก็พยายามปรับตัวให้กินง่ายอยู่ง่าย
ใจจะได้เป็นสุข สิ่งสำคัญที่สุดของทุกการเดินทางคงไม่ใช่มาหาอะไรอร่อยๆ กิน แต่เป็นเรื่องของส่ิงที่ได้พบเจอมากกว่า
เราต้องมองข้ามอะไรบางอย่างที่เกินจำเป็นไปบ้าง ไม่งั้นเราก็จะมองไม่เห็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเดินทางนั้นๆ
แอบสงสัยไม่ได้ว่าร้านเล็กๆ ที่เรามักจะแวะพักนั้นเขาจะได้รายได้อะไรบ้างเพราะอาหารและน้ำขวดก็ถูกจัดเตรียมมาพร้อมจากโรงแรม ในใจก็รู้สึกเกรงใจอยู่เหมือนกัน เราจึงมักสั่งบะหมี่หรือชามาทานเพ่ิมเพื่อเป็นการเสริมรายได้ให้เขา
ร้านนี้เจ้าของเป็นหญิงวัยกลางคนเธอผูกลูกน้อยไว้ด้านหลัง ทำอาหารไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย
น่ายกให้เป็น working woman ดีเด่นของปี งานก็ไม่เสียลูกก็ไม่ขาดความอบอุ่น
หลังจากนั้นเราแวะที่วัด
“ซัมสเตนลิ่ง” (Samstanling Monastery) ซึ่งอยู่ระหว่างทาง
ก่อนที่จะไปถึงโรงแรม ทางแยกที่จะเข้าไปยังเขตวัดนั้นต้องผ่านด่านตรวจอีกครั้ง
ก่อนที่จะไปถึงโรงแรม ทางแยกที่จะเข้าไปยังเขตวัดนั้นต้องผ่านด่านตรวจอีกครั้ง
ขณะที่เซตังลงไปทำเรื่องเพื่อผ่านทาง
ฉันก็เปิดประตูรถพร้อมกับยื่นขาลงไปด้านล่าง
นัมเกลจึงหันมามองตาวาวถามฉันว่าจะทำอะไร ประหนึ่งว่ากลัวนักโทษจะแอบหนียังไงยังงั้นเลย
นัมเกลจึงหันมามองตาวาวถามฉันว่าจะทำอะไร ประหนึ่งว่ากลัวนักโทษจะแอบหนียังไงยังงั้นเลย
“เอ่อ
ขอเดินไปถ่ายรูปตรงแม่น้ำแป้บนึงนะ”
“ไม่ได้หรอกครับ
แถวนี้เป็นเขตหวงห้ามเพราะเป็นเขตชายแดน ทหารดูแลอย่างเข้มงวด เขาห้ามถ่ายรูป”
“อ้าวเหรอ
ว้า เสียดายจัง แม่น้ำออกจะสวย”
ฉันปิดประตูรถกลับมานั่งท่าเดิม
หันกลับไปมองทหารหนวดงามผิวดำขลับแล้วส่งย้ิมให้พร้อมกับโบกมือบ้ายบาย ในใจคิดว่าน่าจะเดินไปแอบอ้อนๆ
ขอถ่ายรูปตามประสาคนไทย
พี่หนวดอาจเห็นใจก็เป็นได้ แต่ก็กลัวคนพามาจะเดือดร้อนไปด้วย
พี่หนวดอาจเห็นใจก็เป็นได้ แต่ก็กลัวคนพามาจะเดือดร้อนไปด้วย
วัดซัมสเตนล่ิงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างใหม่เพราะเพ่ิงสร้างมาเพียงแค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น
สภาพโดยรวมแล้วจัดว่าถูกรักษาไว้อย่างดี ภายในห้องสวดมนต์มีพระพุทธรูปหลายพระองค์ กำแพงถูกปกคลุมไว้ด้วยรูปวาดฝาหนังของพระพุทธเจ้ามากมาย
รวมทั้งมีฐานที่ไว้ทำ “มันดารา” (Mandara) ด้วย
มันดารา
เป็นสัญลักษณ์ของจักรวาล มีหลายรูปแบบ ซึ่งการทำมันดารานั้นเป็นการฝึกสมาธิให้กับพระเพราะไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ต้องอาศัยความละเอียด สมาธิ และความอดทนมาก รูปลักษณ์ของมันดาราส่วนใหญ่นั้นคือปราสาทที่มีประตู
4 ด้านไปสู่โลก มีรายละเอียดของเส้นสายและตัวหนังสือมากมาย ซึ่งจะถูกวาดด้วยการโรยทรายย้อมสีเนื้อละเอียดหรือเมล็ดข้าวสารย้อมสีลงไปบนลายเส้นที่วาดไว้เป็นแนวทางก่อนแล้ว และเมื่อทำเสร็จก็จะผ่านพิธีกรรมและถูกลบทันทีเพื่อนำไปทิ้งในแม่น้ำใกล้ๆ
เป็นการกระจายพรไปให้ทั่วๆ และเพื่อเป็นสัญญลักษณ์ในการบ่งบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
ทุกอย่างต้องดับสูญ
เมื่อออกมาจากวัดแล้วเราก็มุ่งหน้าต่อไปยังโรงแรม
“คุณอยากไปขี่อูฐเลยมั้ยครับหรืออยากไปโรงแรมก่อน”
นัมเกลถามเรา
“แล้วที่ขี่อูฐไกลจากโรงแรมมั้ย”
ฉันถาม
“ไม่ไกลหรอกครับ”
“งั้นกลับโรงแรมไปเก็บของก่อนแล้วกันนะ”
ฉันอยากแวะไปเพื่อทำธุระส่วนตัวหน่อยเพราะกลั้นมานานแล้ว
กลัวเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
เราแวะไปที่โรงแรม
“สแตนเดล” (Standel) หรือ “ซังกัม” (Sangam) ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองเดิม เป็นโรงแรมเล็กๆ
มีห้องพักไม่กี่ห้อง อยู่ภายในบริเวณหมู่บ้านดิสกิต (Diskit) ณ เวลานี้มีแขกมาพักไม่มากนัก
และมีพนักงานเพียงไม่กี่คนเนื่องจากเข้าช่วง Low season แล้ว
เมื่อไปถึงเรานัดแนะนัมเกลว่าจะออกเดินทางอีกทีตอนเวลา
4 โมงเย็น ล้างหน้าล้างตาและออกมาเดินเล่นแถวๆ โรงแรมเพื่อสำรวจหมู่บ้านดิสกิตซึ่งส่วนใหญ่จะแวดล้อมไปด้วยบ้านคนแต่บรรยากาศนั้นเงียบเชียบ
ไม่ค่อยมีผู้คนออกมาเดินเล่นมากนัก แต่เมื่อพบหน้าใครเราก็ส่งคำทักทาย “จู๊เล” เป็นการผูกมิตร เขาตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง เด็กเล็ก คนแก่ ต่างก็มีมิตรภาพตอบเแทนให้เรา
เมื่อเวลานัดแนะมาถึง เรานั่งรถไปไม่ไกลจากโรงแรมนักเพื่อไปยังละแวกหมู่บ้าน
ฮันเดอร์ (Hunder) ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องสภาพภูมิประเทศที่มีสันทรายสวยงาม (Sand dune) และมีการเลี้ยงอูฐแบคทรีอัน
(Bactrian) ไว้ใช้งานรวมทั้งทำรายได้จากการให้นักท่องเที่ยวขี่เล่นชมวิว อูฐชนิดนี้มี 2 หนอก ต่างจากอูฐทั่วๆ ไป เป็นอูฐที่ในสมัยก่อนพ่อค้าที่เดินทางค้าขายในละแวกนี้ใช้ขนของข้ามพรมแดน แต่เมื่อความทันสมัยเข้ามาเยือนเขาเปลี่ยนมาใช้อูฐติดเครื่องยนต์นั่นคือรถจี้ปทำให้อูฐพวกนี้ตกงาน
เลยมาทำงานด้านการท่องเที่ยวอยู่ในละแวกนี้แทน
การขี่อูฐชมวิวทิวทัศน์
สันทราย ภูเขาเป็นหนึ่งในกิจกรรมหย่อนใจสำหรับคนที่มาเที่ยว
นูบรา วัลเลย์ เพื่อให้ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด สนนราคาเพียง 150 รูปี เท่านั้น พี่ลี
ไม่ยอมขี่แต่จะเดินดูวิวอยู่แถวๆ ที่พักอูฐโดยมีคุณประจักษ์อยู่เป็นบอดี้การ์ด ฉันเลยทำตัวเป็นชนเผ่าเร่ร่อนท่องทัศนียภาพบริเวณหุบเขานั้นอย่างมีความสุขเพียงคนเดียวโดยมีเจ้า “ตูรู” อูฐหนุ่มอายุอานามไม่มากนักและคนจูงนำเที่ยว
นูบรา วัลเลย์ เพื่อให้ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด สนนราคาเพียง 150 รูปี เท่านั้น พี่ลี
ไม่ยอมขี่แต่จะเดินดูวิวอยู่แถวๆ ที่พักอูฐโดยมีคุณประจักษ์อยู่เป็นบอดี้การ์ด ฉันเลยทำตัวเป็นชนเผ่าเร่ร่อนท่องทัศนียภาพบริเวณหุบเขานั้นอย่างมีความสุขเพียงคนเดียวโดยมีเจ้า “ตูรู” อูฐหนุ่มอายุอานามไม่มากนักและคนจูงนำเที่ยว
เราเดินไปหยุดตรงจุดชมวิวที่ห่างออกไปพอสมควร
“มาดาม
ผมขอกล้องหน่อยครับ” คนเลี้ยงอูฐพูดกับฉัน
ฉันยื่นให้
เขาเดินออกไปกะระยะและหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปฉันทุกมุมมอง ซ้าย-ขวา-ตรง เก็บทุกมุมโดยไม่ต้องบอก
สร้างความประทับใจอย่างมาก เมื่อเดินกลับมาถึงตรงจุดพักฉันจึงให้เงินทิปเขาไปอีกเล็กน้อยเพราะคิดว่าเราอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้ายที่มาที่นี่แล้วก็ได้ เขาอาจจะต้องเก็บสะสมเงินไว้ใช้ในช่วงหน้าหนาว
“นัมเกล
หมู่บ้านฮันเดอร์อยู่ตรงไหนเหรอ”
“อยู่ตรงบริเวณนู้นน่ะครับ
เลยออกไปอีกหน่อย”
“แล้วเลยไปอีกเป็นอะไร”
ฉันถามต่อ
“เป็นหมู่บ้านชายแดนติดกับปากีสถานน่ะครับ
ตรงนั้นนักท่องเที่ยวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
อืมม์
… พรมแดนระหว่างประเทศนี่มันสำคัญและอ่อนไหวมากจริงๆ
คงคล้ายๆ กับเราและเพื่อนบ้านที่มักมีอะไรไม่เข้าหูเข้าตาทำให้เกิดเรื่องกันอยู่เป็นประจำ เรื่องจริงบ้างเรื่องของการสร้างสถานการณ์บ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น