ที่เริ่มออกเดินไปโรงเรียนกัน บ้างก็มีคุณแม่มายืนส่งขึ้นรถ เป็นเช้าที่สดใสและสงบสำหรับเรา
เมื่อกลับมาถึงที่โรงแรมเห็นนัมเกลและเซตังยืนแปรงฟันกันอยู่ด้านนอก
เดาว่าคงไม่ได้อาบน้ำแหงๆ คนที่นี่คงไม่อาบน้ำบ่อยเหมือนเรา ไม่รู้อาทิตย์นึงอาบกี่หนกันเชียวขนาดเขาชินกับความหนาวนะ
แต่สำหรับเราหนาวแค่ไหนเหงื่อไม่มีก็ยังต้องอาบ ไม่งั้นไม่รู้สึกสดชื่น มันเป็นความเคยชินที่ยากจะเปลี่ยนแปลงได้
อาหารเช้ามื้อนี้
ฉันเลือกทานไข่เจียว (omelet) กับ aloo paratha ซึ่งก็คือการนำเอาแป้งคล้ายๆ นาน ไปใส่ใส้มันบดและนำไปทอด รสชาติอร่อยดี ยิ่งถ้าได้จิ้มกับ Indian pickle นะ รสชาติเค็มๆ
เปรี้ยวๆ อร่อยแปลกๆ ล้ิน ส่วนพี่ลีขอแบบชัวร์ คือ conflake กับไข่เจียว
เราออกเดินทางจากโรงแรมตอน
8 โมงครึ่งเพื่อแวะไปที่วัดดิสกิต (Diskit Monastery) ซึ่งเป็นวัดของนิกายหมวกเหลือง
ภายในมีรูปองค์ดาไลลามะตอนทรงเยาว์วัยตั้งไว้ให้สักการะด้วย ที่นี่ก็เหมือนกับวัดอื่นๆ
คือเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น นัมเกลเดินนำขึ้นไปหมุนกงล้อมนตราตามธรรมเนียม ห้องแรกเป็นที่ประทับของผู้ปกป้องซึ่งเขาติดป้ายห้ามถ่ายรูปไว้
ส่วนห้องถัดมาเป็นที่ประทับของพระศรีศากยะมุนี ที่นี่จุดเด่นคือภาพเขียนบนผนังซึ่งถูกวาดไว้อย่างสวยงาม
และอีกห้องนั้นเป็นที่เก็บคัมภีร์โบราณ ในสมัยก่อนจะแจกจ่ายให้กับคนในหมู่บ้านได้ไปท่องบทสวดมนต์ให้จบในเวลาที่กำหนดไว้
เพื่อที่คัมภีร์ทั้งหมดจะได้ถูกสวดในช่วงที่กำหนดไว้ของแต่ละปี แต่เดี๋ยวนี้คงให้ไปไม่ได้เพราะไม่งั้นของเก่าแก่อาจจะบุบสลายหรือสูญหาย
เชื่อกันว่าที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของปีศาจร้ายจากมองโกลเลียซึ่งถือเป็นมารร้ายศัตรูของพุทธศาสนา
ปีศาจถูกปราบหนแล้วหนเล่าแต่มันก็ยังกลับมาวนเวียนที่นี่ ในที่สุดหัวและแขนของมันก็ถูกฝังอยู่ภายใต้วัดนี้
บรื๋อออ … น่ากลัวจริง วิญญาณที่มีแต่ความอาฆาตมาดร้าย
ต่อจากนั้นเราไปแวะสักการะพระศรีอาริยเมตไตรย์ ซึ่งได้ถูกสร้างแล้วเสร็จเมื่อประมาณ
3 เดือนก่อนนี้เอง โดยมีท่านดาไลลามะมาทำพิธีเปิดเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา เราช่างโชคดีจริงๆ ที่มีบุญตาได้เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่
สูงตั้งกว่า 30 เมตร เป็นคนแรกๆ
นัมเกลและเซตังก้มลงกราบพระพุทธรูปบนพื้นตามแบบอัศดางคประดิษฐ์
“นัมเกล
ฉันเแปลกใจมากเลยว่าทำไมพระพุทธรูปองค์นี้ถึงถูกสร้างไว้บนเนินเขาในที่โล่งแจ้ง ไม่มีหลังคาปิด ปกติเห็นแต่ประทับอยู่ในภายวัดนี่นา”
“ก็เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งใหญ่น้อยได้มีโอกาสสัมผัสบุญบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยน่ะสิครับ
ไม่งั้นถ้าถูกเก็บรักษาไว้ในวัดแล้วก็มีเพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่ได้ชื่นชมพระบารมี”
“อืมม์
จริงสินะ” ฉันรู้สึกดีในความคิดที่ละเอียดอ่อนและมีเมตตาของคนที่สร้างพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
“คุณเห็นมั้ยครับว่า
ท่านประทับนั่งอยู่ในท่าเอาขาลง ไม่เหมือนองค์อื่นๆ นั่นหมายถึงว่าท่านพร้อมที่จะเสด็จลุกขึ้นมาช่วยมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก” เขาอธิบายต่อ
“คุณว่าพระศรีอาริยเมตไตรย์จะเสด็จมายังโลกมนุษย์เมื่อไหร่”
เขายิ้มๆ
แล้วตอบว่า “ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“เราเชื่อกันว่าท่านจะมาอีกทีในปี
พ.ศ.5000 ป่านนั้นเราก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว”
“เออ
ที่ลาดัคห์ใช้ปฏิทินปีแบบไหนเหรอ ที่เมืองไทยเราปี 2553 แล้ว”
“เราใช้ปี
พ.ศ. เหมือนกันครับ แต่ว่าเราใช้เดือนตามปฏิทินทิเบต ตอนนี้เราเพ่ิงอยู่เดือนที่ 7
ครับ”
เราเดินอยู่ด้านบนซักครู่เพื่อทำจิตใจให้สงบ
เซตังเดินเก็บขยะโดยรอบๆ บริเวณนั้น ดูว่าเขาจะเป็นคนที่มีศรัทธาแรงกล้าคนหนึ่งเลยทีเดียว
เราเร่ิมออกเดินทางกลับเข้าสู่เลห์ด้วยเส้นทางเดิม
แม้ทางจะขรุขระแต่เราเริ่มชินแล้ว ดูเหมือนว่าเซตังนั้นจะเดินทางมาแถบนี้บ่อยๆ เพราะเขาทักทายผู้คนที่ขับรถผ่านไปมาประหนึ่งว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
วันนี้เขาขับรถอย่างเมามันมาก ก้นเราที่เคยนั่งสบายๆ เมื่อวานนี้ต้องโดยกระแทกกระทั้นตลอดทั้งเส้นทาง
โดยเฉพาะช่วง Amazing race ที่เขาแซงขบวนรถบัสกว่า 30 คันที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นลงเขาอย่างเชื่องช้า
เราแวะที่ Khadung La เพื่อเข้าห้องน้ำเช่นเคย เพราะเหมือนว่าจะเป็นห้องน้ำที่ค่อนข้างสะอาดที่สุดในละแวกนั้น
เมื่อเลยช่วงเที่ยงไปหน่อย นัมเกลก็ให้เราแวะพักทานข้าวกันที่จุดพักรถซึ่งมีร้านอาหารเล็กๆ
ไว้คอยบริการผู้ผ่านทางไปมา ซึ่งในเวลานั้นมีทหารอินเดียอยู่กันอย่างหนาแน่นมาก พวกเขามองเราด้วยสายตาประหลาดใจ
เพราะเราเป็นเพียงผู้หญิงต่างแดนเพียงสองคนเท่านั้น ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเราพลัดหลงและต้องติดอยู่ตรงนี้เราจะเป็นยังไง
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกจ้องมองจากดวงตากลมโตเหล่านั้นในระยะใกล้ชิดภายในร้านเล็กๆ ที่
อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วย ท.ทหารอดทนล้วนๆ นัมเกลจัดให้เรานั่งตรงบริเวณโต๊ะเล็กๆ ด้านนอก ฉันหยิบอาหารกล่องออกมาด้วยความหวังว่าจะได้กินอะไรที่แตกต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ก็พบว่าอาหารกลางวันมื้อนี้คือ ไข่ต้ม Paratha ไส้มันบดเหมือนเมื่อเช้าและผักดอง มีแอ้ปเปิ้ลให้หนึ่งลูกและน้ำผลไม้หนึ่งกล่อง ฉันเห็นนัมเกลเอา Paratha จ้ิมกับผักดองก็เลยลองทำตามบ้างซึ่งมีรสชาติเค็มๆ หน่อย อร่อยดีเหมือนกัน เซตังเดินเข้าไปสั่งบะหมี่จากร้านค้า 3 ชาม ฉันไม่ได้สั่งแต่ขออาศัยชิมจากพี่ลี
อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วย ท.ทหารอดทนล้วนๆ นัมเกลจัดให้เรานั่งตรงบริเวณโต๊ะเล็กๆ ด้านนอก ฉันหยิบอาหารกล่องออกมาด้วยความหวังว่าจะได้กินอะไรที่แตกต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ก็พบว่าอาหารกลางวันมื้อนี้คือ ไข่ต้ม Paratha ไส้มันบดเหมือนเมื่อเช้าและผักดอง มีแอ้ปเปิ้ลให้หนึ่งลูกและน้ำผลไม้หนึ่งกล่อง ฉันเห็นนัมเกลเอา Paratha จ้ิมกับผักดองก็เลยลองทำตามบ้างซึ่งมีรสชาติเค็มๆ หน่อย อร่อยดีเหมือนกัน เซตังเดินเข้าไปสั่งบะหมี่จากร้านค้า 3 ชาม ฉันไม่ได้สั่งแต่ขออาศัยชิมจากพี่ลี
“แอ้ปเปิ้ลของคุณสีเขียว”
ฉันตั้งข้อสังเกตุขณะที่กัดแอ้ปเปิ้ลสีแดงลูกใหญ่ของตัวเอง
“ที่ลาดัคห์มีแอ้ปเปิ้ลประมาณ
7 ชนิดครับ” นัมเกลบอก
“อืมม์
… ถ้างั้นฉันก็กินไปแค่ 2 ชนิดเองมั้ง สีแดงลูกใหญ่และลูกเล็ก”
ระหว่างนั้นเราเหลือบไปเห็นหมา
3 ตัว ดูท่าทางผอมโซมากคงไม่ค่อยได้ทานอาหาร ฉันก็เลยหยิบ Paratha ที่ทานไม่หมดโยนไปให้
ดูท่าทางมันดีใจรีบเคี้ยวหมดอย่างรวดเร็ว พี่ลีก็เลยไปหยิบขนมในรถที่ซื้อมาจากเลห์มาแบ่งให้มันกิน
เมื่อเราอิ่มก็พร้อมเดินทางต่อ
“คุณอยากทานแอ้ปเปิ้ลสีเขียวมั้ยครับ”
นัมเกลยื่นแอ้ปเปิ้ลของเขาให้ฉัน
“ขอบคุณนะ”
คิดในใจว่าเขาคงไม่ใช่แม่มดปลอมตัวมายื่นแอ้ปเปิ้ลใส่ยาพิษให้ฉันแน่ … เพราะเขาใจดีเกินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น